ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ และเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะภาคการส่งออก ที่มีอัตราการขยายตัวติดลบต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายปี 2551 เรื่อยมาจนถึงปี 2552 ทำให้กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการปรับรูปแบบการส่งเสริมการส่งออกให้สอดคล้องกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการส่งออกสินค้าไทย
ทั้งนี้ ปรากฎว่าในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา สามารถส่งออกได้มูลค่า 13,840 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนต.ค.2551 ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 12,782 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 2.2% ทำให้เกินดุลการค้า 1,058 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนยอดส่งออกรวม 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) มูลค่า
137,954 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 17.0% การนำเข้ารวมมูลค่า 119,376 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 28.9% และเกินดุลการค้ารวม 18,578 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อการส่งออกเห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน กระทรวงพาณิชย์จึงได้ปรับกลยุทธ์การส่งออกอีกครั้ง โดยนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แต่งตั้งประธานกลุ่มสินค้า (Chiefs of Product) จำนวน 8 คน ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงของกรมส่งเสริมการส่งออก ทำหน้าที่ดูแลสินค้าสำคัญ 10 รายการ สินค้าเอกลักษณ์ไทย สินค้าที่มีศักยภาพในการขยายการส่งออก และกลุ่ม SMEs
“ที่ต้องมีประธานกลุ่มสินค้า เพราะต้องการให้มีคนที่มีความรู้เชิงลึกด้านสินค้าและตลาด สร้างความสัมพันธ์หรือเครือข่ายกับภาคเอกชนและพันธมิตรในกลุ่มสินค้า สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการติดตามสถานการณ์และการวางแผนพัฒนารายสินค้าร่วมกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ รวมถึงขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าสำคัญให้เป็นไปตามเป้าหมายส่งออก โดยเสนอกิจกรรมการตลาดรูปแบบใหม่ๆ เป็นต้น”นางพรทิวากล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ นางพรทิวา ได้นำประธานกลุ่มสินค้าทั้ง 8 คน ไปเปิดตัวกับสมาชิกสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อชี้แจงแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่ และเพิ่มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลักดันการส่งออกสินค้าไทยปี 2553 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เป้าหมายในการเปิดตัว เพื่อให้เกิดการรู้จักกัน เอกชนจะได้รู้ว่าข้าราชการคนนี้ รับผิดชอบสินค้าอะไร จะได้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น โดยประธานกลุ่มสินค้าจะหารือร่วมกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่องในการกำหนดมาตรการส่งเสริมการส่งออกเฉพาะรายสินค้าและตลาด เพื่อรักษาปริมาณและมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในตลาดสำคัญๆ และจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเน้นการแก้ไขปัญหาและขจัดอุปสรรคในการส่งออก
สำหรับประธานกลุ่มสินค้า กลุ่มแรกซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ทำรายได้ส่งออกสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แต่งตั้งให้มีประธานกลุ่มสินค้าจำนวน 5 คนเข้ามาดูแล โดยนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าอาหารและข้าว นางพิรมล เจริญเผ่า รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าสิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ นางมาลี โชคล้ำเลิศ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า นางณัฎฐา รัตนเลิศ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์ยางพารา และนายสุรศักดิ์ เรียงเครือ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ ดูแลสินค้าวัสดุก่อสร้าง และเม็ดพลาสติก
กลุ่มที่ 2 สินค้าเอกลักษณ์ไทย ได้แต่งตั้งให้นางทัศนีย์ สุทธภักติ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ ดูแลสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทย ที่หวังเพิ่มยอดขายโดยการสร้างแบรนด์ไทย เช่น ข้าวหอมมะลิ ผ้าไหม กล้วยไม้ อาหารไทย สปาไทย
กลุ่มที่ 3 สินค้าใหม่ที่มีโอกาสในการขยายตลาดการส่งออก เช่น เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์เภสัช เครื่องมือแพทย์ เครื่องเขียน ธุรกิจสิ่งพิมพ์ ได้แต่งตั้งให้นางสาวกาญจนา เทพารักษ์ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ เป็นผู้ดูแล
กลุ่มที่ 4 สินค้า SMEs และสินค้า OTOP ที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการส่งออก ได้แต่งตั้งนางวิภาศรี ชาลาประวรรตน์ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ เป็นผู้ดูแล
การตั้งประธานกลุ่มสินค้า จะเป็นการทำงานในรูปแบบใหม่ ที่ภาครัฐและเอกชนจะทำงานกันใกล้ชิดมากขึ้น โดยมีเป้าหมายการทำงานร่วมกัน คือ การผลักดันการส่งออกสินค้าไทยในปี 2553 ให้มีอัตราการขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 14% หลังจากที่ได้มีการประเมินกันว่าเศรษฐกิจโลกได้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีหน้า ไทยจึงต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงานเพื่อช่วงชิงการส่งออก เพราะคู่แข่งก็คงไม่หยุดนิ่งแน่
ทั้งนี้ ปรากฎว่าในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา สามารถส่งออกได้มูลค่า 13,840 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกรอบ 12 เดือน นับตั้งแต่เดือนต.ค.2551 ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 12,782 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 2.2% ทำให้เกินดุลการค้า 1,058 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนยอดส่งออกรวม 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) มูลค่า
137,954 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 17.0% การนำเข้ารวมมูลค่า 119,376 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 28.9% และเกินดุลการค้ารวม 18,578 ล้านเหรียญสหรัฐ
เมื่อการส่งออกเห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน กระทรวงพาณิชย์จึงได้ปรับกลยุทธ์การส่งออกอีกครั้ง โดยนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้แต่งตั้งประธานกลุ่มสินค้า (Chiefs of Product) จำนวน 8 คน ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงของกรมส่งเสริมการส่งออก ทำหน้าที่ดูแลสินค้าสำคัญ 10 รายการ สินค้าเอกลักษณ์ไทย สินค้าที่มีศักยภาพในการขยายการส่งออก และกลุ่ม SMEs
“ที่ต้องมีประธานกลุ่มสินค้า เพราะต้องการให้มีคนที่มีความรู้เชิงลึกด้านสินค้าและตลาด สร้างความสัมพันธ์หรือเครือข่ายกับภาคเอกชนและพันธมิตรในกลุ่มสินค้า สร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในการติดตามสถานการณ์และการวางแผนพัฒนารายสินค้าร่วมกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยเฉพาะภาคเอกชนและหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ รวมถึงขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าสำคัญให้เป็นไปตามเป้าหมายส่งออก โดยเสนอกิจกรรมการตลาดรูปแบบใหม่ๆ เป็นต้น”นางพรทิวากล่าว
อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้ นางพรทิวา ได้นำประธานกลุ่มสินค้าทั้ง 8 คน ไปเปิดตัวกับสมาชิกสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เพื่อชี้แจงแนวทางการทำงานรูปแบบใหม่ และเพิ่มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนในการผลักดันการส่งออกสินค้าไทยปี 2553 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เป้าหมายในการเปิดตัว เพื่อให้เกิดการรู้จักกัน เอกชนจะได้รู้ว่าข้าราชการคนนี้ รับผิดชอบสินค้าอะไร จะได้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น โดยประธานกลุ่มสินค้าจะหารือร่วมกับภาคเอกชนอย่างต่อเนื่องในการกำหนดมาตรการส่งเสริมการส่งออกเฉพาะรายสินค้าและตลาด เพื่อรักษาปริมาณและมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยในตลาดสำคัญๆ และจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเน้นการแก้ไขปัญหาและขจัดอุปสรรคในการส่งออก
สำหรับประธานกลุ่มสินค้า กลุ่มแรกซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่ทำรายได้ส่งออกสูงสุด 10 อันดับแรก ได้แต่งตั้งให้มีประธานกลุ่มสินค้าจำนวน 5 คนเข้ามาดูแล โดยนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าอาหารและข้าว นางพิรมล เจริญเผ่า รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าสิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ นางมาลี โชคล้ำเลิศ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า นางณัฎฐา รัตนเลิศ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ดูแลสินค้ายานยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์ยางพารา และนายสุรศักดิ์ เรียงเครือ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ ดูแลสินค้าวัสดุก่อสร้าง และเม็ดพลาสติก
กลุ่มที่ 2 สินค้าเอกลักษณ์ไทย ได้แต่งตั้งให้นางทัศนีย์ สุทธภักติ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ ดูแลสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์และวัฒนธรรมไทย ที่หวังเพิ่มยอดขายโดยการสร้างแบรนด์ไทย เช่น ข้าวหอมมะลิ ผ้าไหม กล้วยไม้ อาหารไทย สปาไทย
กลุ่มที่ 3 สินค้าใหม่ที่มีโอกาสในการขยายตลาดการส่งออก เช่น เครื่องสำอาง สบู่ ผลิตภัณฑ์เภสัช เครื่องมือแพทย์ เครื่องเขียน ธุรกิจสิ่งพิมพ์ ได้แต่งตั้งให้นางสาวกาญจนา เทพารักษ์ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ เป็นผู้ดูแล
กลุ่มที่ 4 สินค้า SMEs และสินค้า OTOP ที่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในการส่งออก ได้แต่งตั้งนางวิภาศรี ชาลาประวรรตน์ นักวิชาการพาณิชย์เชี่ยวชาญ เป็นผู้ดูแล
การตั้งประธานกลุ่มสินค้า จะเป็นการทำงานในรูปแบบใหม่ ที่ภาครัฐและเอกชนจะทำงานกันใกล้ชิดมากขึ้น โดยมีเป้าหมายการทำงานร่วมกัน คือ การผลักดันการส่งออกสินค้าไทยในปี 2553 ให้มีอัตราการขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 14% หลังจากที่ได้มีการประเมินกันว่าเศรษฐกิจโลกได้พ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปีหน้า ไทยจึงต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงานเพื่อช่วงชิงการส่งออก เพราะคู่แข่งก็คงไม่หยุดนิ่งแน่
