ASTVผู้จัดการรายวัน – ศศิธารา วอนเอกชนท่องเที่ยวผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรองกับภาครัฐ ชี้ทางข้างหน้าปัจจัยลบยังมีอยู่มาก รัฐบาลจากทุกประเทศเริ่มลดมาตรการเงินอัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงต้องรีบเตรียมแผนรับมือ
วานนี้(24 ธ.ค.52) ในการประชุมสมาชิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวให้สมาชิกแอตต้าที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ว่า ต้องการให้ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการรวมกลุ่มกันให้เป็นปึกแผ่นอย่างแน่นแฟ้น เพื่อร่วมกันทำงานด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีศักยภาพด้านการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ตลอดจนเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรอง หรือการเรียกรองจากภาครัฐบาลได้ดีขึ้น ที่ผ่านมา การเรียกร้องของภาคเอกชนต่างคนต่างเรียกร้องกันเอง
สำหรับในปี 2553 จากการวิเคราะห์ขององค์การการท่องเที่ยวโลก และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัจจัยลบในปีหน้ายังคงมีอยู่มากมาย เพราะเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก ความผันผวนของอัตราค่าเงิน ภาวะเงินเฟ้อ ยังคงมีอยู่ รวมถึงความผันผวนของราคาพลังงานก็ยังคงมีให้เห็นต่อเนื่อง
ทั้งหมดที่กล่าวมาจะกระทบต่อการตัดสินใจใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น ประกอบกับในส่วนของประเทศไทยเอง มาตรการที่รัฐบาลให้การช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ การยกเว้นเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า ยกเว้นค่าแลนดิ้งฟี การประกันภัยนักท่องเที่ยว เป็นต้น ก็จะเริ่มทยอยหมดอายุมาตรการตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค.53 และมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะไม่ขยายเวลาออกไปแล้ว
ทั้งนี้ เพราะในปี 2553 รัฐบาลจะลดการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเห็นว่า สถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับรัฐบาลของประเทศอื่นๆ ก็จะทยอยลดการใช้เงินเพื่ออัดฉีดเศรษฐกิจเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุด คือภาคเอกชน ต้องรวมตัวกันให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อช่วยกันทำงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวไปพร้อมๆกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และ กระทรวงการท่องเที่ยว นอกจากนั้นยังต้องการให้แอตต้าไปเข้าสมัครเป็นสมาชิก เวิลด์ ทัวริสซึ่ม แอนด์ ทราเวล เคาน์ซิล ซึ่งเป็นสมาคมของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับโลกเพื่อจะได้รับข้อมูลข่าวสารในการวิเคราะห์สถานการณ์และเทรนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนการจัดเก็บตัวเลขนักท่องเที่ยว ล่าสุดเตรียมหารือกับสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) เพื่อขอข้อมูลตัวเลขนักท่องเที่ยว มาประกอบการจัดเก็บตัวเลขนักท่องเที่ยวของสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว(สพท.) จะได้เป็นทิศทางเดียวกัน
ทางด้านนายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า แอตต้าจะร่วมเอกชนด้านการท่องเที่ยวทุกภาคส่วน ในการสร้างกรอบแผนการทำตลาดในปี 2553-2554 เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงการมองหาตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆเข้ามารองรับเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยความไม่แน่นอน โดยเบื้องต้น จะเจาะกลุ่มตลาดเมดิคัลทัวริสซึ่ม
โดยจะทำงานร่วมกับโรงพยาบาล และภาครัฐ ทำหนดกลยุทธ์ร่วมกัน ซึ่งในสัปดาห์หน้า แอตต้าจะประชุมร่วมกับกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
สำหรับสถานการณ์นักท่องเที่ยว ขณะนี้ดีขึ้นมา โดยวันที่ 1-20 ธ.ค.52 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านแอตต้าจำนวน 125,030 คน เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน กว่า 200%
วานนี้(24 ธ.ค.52) ในการประชุมสมาชิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้กล่าวให้สมาชิกแอตต้าที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ว่า ต้องการให้ภาคเอกชนในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการรวมกลุ่มกันให้เป็นปึกแผ่นอย่างแน่นแฟ้น เพื่อร่วมกันทำงานด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้มีศักยภาพด้านการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ตลอดจนเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรอง หรือการเรียกรองจากภาครัฐบาลได้ดีขึ้น ที่ผ่านมา การเรียกร้องของภาคเอกชนต่างคนต่างเรียกร้องกันเอง
สำหรับในปี 2553 จากการวิเคราะห์ขององค์การการท่องเที่ยวโลก และ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัจจัยลบในปีหน้ายังคงมีอยู่มากมาย เพราะเศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก ความผันผวนของอัตราค่าเงิน ภาวะเงินเฟ้อ ยังคงมีอยู่ รวมถึงความผันผวนของราคาพลังงานก็ยังคงมีให้เห็นต่อเนื่อง
ทั้งหมดที่กล่าวมาจะกระทบต่อการตัดสินใจใช้เงินเพื่อการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น ประกอบกับในส่วนของประเทศไทยเอง มาตรการที่รัฐบาลให้การช่วยเหลือแก่อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ การยกเว้นเก็บค่าธรรมเนียมวีซ่า ยกเว้นค่าแลนดิ้งฟี การประกันภัยนักท่องเที่ยว เป็นต้น ก็จะเริ่มทยอยหมดอายุมาตรการตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค.53 และมีความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะไม่ขยายเวลาออกไปแล้ว
ทั้งนี้ เพราะในปี 2553 รัฐบาลจะลดการใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเห็นว่า สถานการณ์เริ่มดีขึ้นแล้ว ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับรัฐบาลของประเทศอื่นๆ ก็จะทยอยลดการใช้เงินเพื่ออัดฉีดเศรษฐกิจเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุด คือภาคเอกชน ต้องรวมตัวกันให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อช่วยกันทำงานด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวไปพร้อมๆกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และ กระทรวงการท่องเที่ยว นอกจากนั้นยังต้องการให้แอตต้าไปเข้าสมัครเป็นสมาชิก เวิลด์ ทัวริสซึ่ม แอนด์ ทราเวล เคาน์ซิล ซึ่งเป็นสมาคมของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับโลกเพื่อจะได้รับข้อมูลข่าวสารในการวิเคราะห์สถานการณ์และเทรนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่วนการจัดเก็บตัวเลขนักท่องเที่ยว ล่าสุดเตรียมหารือกับสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) เพื่อขอข้อมูลตัวเลขนักท่องเที่ยว มาประกอบการจัดเก็บตัวเลขนักท่องเที่ยวของสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว(สพท.) จะได้เป็นทิศทางเดียวกัน
ทางด้านนายสุรพล ศรีตระกูล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) กล่าวว่า แอตต้าจะร่วมเอกชนด้านการท่องเที่ยวทุกภาคส่วน ในการสร้างกรอบแผนการทำตลาดในปี 2553-2554 เพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงการมองหาตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ๆเข้ามารองรับเพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยความไม่แน่นอน โดยเบื้องต้น จะเจาะกลุ่มตลาดเมดิคัลทัวริสซึ่ม
โดยจะทำงานร่วมกับโรงพยาบาล และภาครัฐ ทำหนดกลยุทธ์ร่วมกัน ซึ่งในสัปดาห์หน้า แอตต้าจะประชุมร่วมกับกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
สำหรับสถานการณ์นักท่องเที่ยว ขณะนี้ดีขึ้นมา โดยวันที่ 1-20 ธ.ค.52 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านแอตต้าจำนวน 125,030 คน เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน กว่า 200%