นางพรพริ้ง สุขสันติสุวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน)หรือ FSS เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้มีการควบรวมเสร็จนั้นทำให้มีเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง)ได้ทยอยเข้ามาทำงานกับบริษัท เนื่องจาก จะมีการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ ทำให้มาร์เกตติ้งต้องการทำงานกับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ติด 1 ใน 10 อันดับแรก และมีความแข็งแรงในการทำธุรกิจในอนาคต
ทั้งนี้ ทำให้บริษัทมีมาร์เกตติ้งเพิ่มอีก 50 คนเป็น 450 คน จากหลังควบรวมกิจการระหว่างบล.ไซรัส บล.ฟินัสซ่า และ สินเอเซีย มีมาร์เกตติ้ง จำนวน 400 คน โดยมาร์เกตติ้งที่เพิ่มขึ้นมอีก 50 คนนั้น ทำให้มาร์เกตแชร์ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 1.5% โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4% และตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปีหน้าระดับ 6%
" หลังจากที่บริษัทมีการควบรวมเสร็จนั้นมีมาร์เกตติ้งได้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทเพิ่มอีก 50 คน ทำให้ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 450 คน ซึ่งตอนที่บริษัทควบรวมเสร็จมีมาร์เกตติ้งรวม 400 คน ซึ่งการที่มาร์เกตติ้งย้ายมาอยู่กับบริษัทเนื่องจากช่วงก่อนเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นนั้น ทำให้มาร์เกตติ้งต้องการย้ายไปทำงานกับโบรกเกอร์ที่มี-ขนาดใหญ่ติด 1ใน 10 อันดับแรก แม้เราจะไม่ได้อยู่อันดับต้นๆ แต่ก็ติดอันดับ 1 ใน 10 "
สำหรับปี 53 บริษัทจะเริ่มให้บริการธุรกิจยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) เพื่อเป็นการกระจายฐานรายได้ของบริษัท และจะให้บริการลูกค้ากรณีไปลงทุนต่างประเทศโดยผ่านบล.ฟินันเซียไซรัส เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ลูกค้าลงทุนแต่ในเวียดนาม ซึ่งจะขยายให้ลูกค้าไปลงทุนในจีน ฮ่องกง เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยจะทำให้จำนวนลูกที่ลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีลูกค้าลงทุนแล้วประมาณ 15-20 ราย
อย่างไรก็ตาม จากการที่ลูกค้าของบริษัทได้ลงทุนหุ้นในเวียดนามที่ผ่านมานั้นถือว่าให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูง และไม่ได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินของสกุลเงินของเวียดนาม เพราะนักลงทุนได้ขายหุ้นออกก่อนที่จะเกิดปัญหาดังกล่าว
นางพรพริ้ง กล่าวว่า บริษัทคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีกำไรประมาณ 50 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทควบรวมกิจการ ทำให้ลดต้นทุนการดำเนินงานประกอบกับมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส3 ปี 52 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงและไตรมาส4 ปี52 วอลุ่มก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดี ส่วนการที่ปีหน้าจะเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดนั้น จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท เนื่องจากฐานลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นรายย่อยกับรายกลาง โดยลูกค้ารายใหญ่ปริมาณการซื้อขายเกิน 20 ล้านบาทต่อวันน้อยมาก มีไม่เกิน 10 ราย จึงกระทบต่อบริษัทน้อยมาก
ทั้งนี้ ทำให้บริษัทมีมาร์เกตติ้งเพิ่มอีก 50 คนเป็น 450 คน จากหลังควบรวมกิจการระหว่างบล.ไซรัส บล.ฟินัสซ่า และ สินเอเซีย มีมาร์เกตติ้ง จำนวน 400 คน โดยมาร์เกตติ้งที่เพิ่มขึ้นมอีก 50 คนนั้น ทำให้มาร์เกตแชร์ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 1.5% โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีมาร์เกตแชร์อยู่ที่ 5% จากปัจจุบันอยู่ที่ 4% และตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปีหน้าระดับ 6%
" หลังจากที่บริษัทมีการควบรวมเสร็จนั้นมีมาร์เกตติ้งได้เข้ามาร่วมงานกับบริษัทเพิ่มอีก 50 คน ทำให้ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 450 คน ซึ่งตอนที่บริษัทควบรวมเสร็จมีมาร์เกตติ้งรวม 400 คน ซึ่งการที่มาร์เกตติ้งย้ายมาอยู่กับบริษัทเนื่องจากช่วงก่อนเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นนั้น ทำให้มาร์เกตติ้งต้องการย้ายไปทำงานกับโบรกเกอร์ที่มี-ขนาดใหญ่ติด 1ใน 10 อันดับแรก แม้เราจะไม่ได้อยู่อันดับต้นๆ แต่ก็ติดอันดับ 1 ใน 10 "
สำหรับปี 53 บริษัทจะเริ่มให้บริการธุรกิจยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL) เพื่อเป็นการกระจายฐานรายได้ของบริษัท และจะให้บริการลูกค้ากรณีไปลงทุนต่างประเทศโดยผ่านบล.ฟินันเซียไซรัส เพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่ลูกค้าลงทุนแต่ในเวียดนาม ซึ่งจะขยายให้ลูกค้าไปลงทุนในจีน ฮ่องกง เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น โดยจะทำให้จำนวนลูกที่ลงทุนหุ้นต่างประเทศมากขึ้น จากปัจจุบันที่มีลูกค้าลงทุนแล้วประมาณ 15-20 ราย
อย่างไรก็ตาม จากการที่ลูกค้าของบริษัทได้ลงทุนหุ้นในเวียดนามที่ผ่านมานั้นถือว่าให้ผลตอบแทนการลงทุนที่สูง และไม่ได้รับผลกระทบจากการลดค่าเงินของสกุลเงินของเวียดนาม เพราะนักลงทุนได้ขายหุ้นออกก่อนที่จะเกิดปัญหาดังกล่าว
นางพรพริ้ง กล่าวว่า บริษัทคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีกำไรประมาณ 50 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทควบรวมกิจการ ทำให้ลดต้นทุนการดำเนินงานประกอบกับมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ช่วงไตรมาส3 ปี 52 ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงและไตรมาส4 ปี52 วอลุ่มก็ยังคงอยู่ในระดับที่ดี ส่วนการที่ปีหน้าจะเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดนั้น จะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัท เนื่องจากฐานลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นรายย่อยกับรายกลาง โดยลูกค้ารายใหญ่ปริมาณการซื้อขายเกิน 20 ล้านบาทต่อวันน้อยมาก มีไม่เกิน 10 ราย จึงกระทบต่อบริษัทน้อยมาก