ทั้งๆ ที่เชื่อกันว่า การจับกุม ศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกร ของบริษัท TACS ซึ่งเป็นบริษัทควบคุมการจราจรทางอากาศของเขมร และถูกคุมขังอยู่ในคุกที่กรุงพนมเปญเดือนเศษนั้น เป็นการจัดฉากของ"ฮุนเซน-ทักษิณ" เพื่อหวังผลทางการเมืองของคนทั้งคู่
เมื่อ ศิวรักษ์ ได้รับการอภัยโทษ และเดินทางกลับประเทศไทย หลายฝ่ายต่างคาดหวังว่าต่อจากนี้ไปบรรยากาศความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เขมร น่าจะดีขึ้น
แต่ ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกรัฐบาลยังคงยืนยันว่า ปัญหาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เขมร ที่เลวร้ายลงถึงขั้นแต่ละฝ่ายมีการเรียกเอกอัครราชทูตของตนเองกลับประเทศนั้น ต้นเหตุไม่ใช่เกิดจากการที่นายศิวรักษ์ ไปจารกรรมตารางการบินของทักษิณ ตามที่ทางการกัมพูชากล่าวอ้าง
แต่มีสาเหตุมาจากการที่ ฮุนเซน เลือกยืนข้างทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคุก โดยไม่ยอมส่งตัวให้มาดำเนินคดีในไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แถมยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของไทยว่าสองมาตรฐาน แทรกแซง ก้าวก่าย กิจการการเมืองในประเทศไทย และยังตั้งทักษิณ เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลเขมร รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของฮุนเซน เสียอีก
หากจะฟื้นความสัมพันธ์ให้กลับมาดีดังเดิม ฮุนเซน ต้องเลิกกระทำในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น
แทนที่ ฮุนเซนจะรู้สำนึก แล้วนำท่าทีของฝ่ายไทยไปตรึกตรอง เพื่อทบทวนบทบาทของตัวเอง กลับออกมาให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ตอบโต้ทันควันว่า ตราบใดที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเป็นผู้นำรัฐบาลไทยอยู่ เรื่องการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตนั้นอย่าหวัง
"ผมบอกกับคุณเลยว่า (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย) ผมกำลังเฝ้ารอรัฐบาลคณะต่อไปก้าวสู่อำนาจ และรอให้พวกเขาส่งเอกอัครราชทูตกลับมา"
"คุณยกประเด็นทักษิณขึ้นมา แต่คุณลืมประเด็นเขาพระวิหาร...ผมบอกได้เลยว่า ความสัมพันธ์คงไม่อาจกลับมาเป็นปกติได้ ตราบเท่าที่คุณยังคงรุกรานผม"
ฮุนเซน กล่าวอย่างไม่ยี่หระต่อท่าทีของฝ่ายไทย แถมยังบิดเบือนต่อชาวโลกว่า ไทยไปรุกรานเขมรในกรณีเขาพระวิหารเสียอีก ทั้งๆ ที่ฝ่ายเขมรเข้ามายึดครองพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นดินแดนไทย และพยายามจะนำไปจดทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ โดดขวางเอาไว้
หากจะคืนดีกัน ไทยต้องยอมตามใจเขมรเรื่องเขาพระวิหาร
เมื่อฮุนเซนประกาศตัวเป็นฝ่าย "เสื้อแดงเขมร" ที่ยืนตรงข้ามกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างนี้ เห็นทีคงต้องปิดประตูตายในเรื่องการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันไปจนกว่า
อภิสิทธิ์-ฮุนเซน ใครคนใดคนหนึ่งจะลงจากอำนาจ
เมื่อ ศิวรักษ์ ได้รับการอภัยโทษ และเดินทางกลับประเทศไทย หลายฝ่ายต่างคาดหวังว่าต่อจากนี้ไปบรรยากาศความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เขมร น่าจะดีขึ้น
แต่ ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกรัฐบาลยังคงยืนยันว่า ปัญหาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-เขมร ที่เลวร้ายลงถึงขั้นแต่ละฝ่ายมีการเรียกเอกอัครราชทูตของตนเองกลับประเทศนั้น ต้นเหตุไม่ใช่เกิดจากการที่นายศิวรักษ์ ไปจารกรรมตารางการบินของทักษิณ ตามที่ทางการกัมพูชากล่าวอ้าง
แต่มีสาเหตุมาจากการที่ ฮุนเซน เลือกยืนข้างทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคุก โดยไม่ยอมส่งตัวให้มาดำเนินคดีในไทยตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน แถมยังออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของไทยว่าสองมาตรฐาน แทรกแซง ก้าวก่าย กิจการการเมืองในประเทศไทย และยังตั้งทักษิณ เป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลเขมร รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของฮุนเซน เสียอีก
หากจะฟื้นความสัมพันธ์ให้กลับมาดีดังเดิม ฮุนเซน ต้องเลิกกระทำในสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น
แทนที่ ฮุนเซนจะรู้สำนึก แล้วนำท่าทีของฝ่ายไทยไปตรึกตรอง เพื่อทบทวนบทบาทของตัวเอง กลับออกมาให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ ตอบโต้ทันควันว่า ตราบใดที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังเป็นผู้นำรัฐบาลไทยอยู่ เรื่องการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตนั้นอย่าหวัง
"ผมบอกกับคุณเลยว่า (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย) ผมกำลังเฝ้ารอรัฐบาลคณะต่อไปก้าวสู่อำนาจ และรอให้พวกเขาส่งเอกอัครราชทูตกลับมา"
"คุณยกประเด็นทักษิณขึ้นมา แต่คุณลืมประเด็นเขาพระวิหาร...ผมบอกได้เลยว่า ความสัมพันธ์คงไม่อาจกลับมาเป็นปกติได้ ตราบเท่าที่คุณยังคงรุกรานผม"
ฮุนเซน กล่าวอย่างไม่ยี่หระต่อท่าทีของฝ่ายไทย แถมยังบิดเบือนต่อชาวโลกว่า ไทยไปรุกรานเขมรในกรณีเขาพระวิหารเสียอีก ทั้งๆ ที่ฝ่ายเขมรเข้ามายึดครองพื้นที่โดยรอบปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นดินแดนไทย และพยายามจะนำไปจดทะเบียนเป็นมรดกโลก แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ โดดขวางเอาไว้
หากจะคืนดีกัน ไทยต้องยอมตามใจเขมรเรื่องเขาพระวิหาร
เมื่อฮุนเซนประกาศตัวเป็นฝ่าย "เสื้อแดงเขมร" ที่ยืนตรงข้ามกับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างนี้ เห็นทีคงต้องปิดประตูตายในเรื่องการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันไปจนกว่า
อภิสิทธิ์-ฮุนเซน ใครคนใดคนหนึ่งจะลงจากอำนาจ