ASTVผู้จัดการรายวัน – กัมพูชาสั่งห้ามคนไทยเข้าปฏิบัติหน้าที่ในบริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส พร้อมส่งจ้าหน้าที่สำนักนายกฯเข้าทำงานแทน ‘วัฒน์ชัย’ นายใหญ่กลุ่มสามารถฯ วอนรัฐบาลเร่งช่วยเหลือด่วน อย่าปล่อยนักลงทุนไทยเผชิญชะตากรรมโดยลำพัง
รายงานข่าวจากบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่นแจ้งว่าสืบเนื่องจากการจับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงศ์ ด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการจารกรรมข้อมูลรัฐบาลกัมพูชาจึงได้แต่งตั้งผู้แทนของสำนักนายกฯ เข้ามาดูแลกิจการของ บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นการชั่วคราวและไม่อนุญาตให้พนักงานชาวไทยเข้าไปปฎิบัติหน้าที่ในบริษัทฯ ดังกล่าวนั้น ขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและได้ประสานงานกับรัฐบาลไทยในการติดต่อกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ส่งหนังสือแจ้งเข้ามายังบริษัทแคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส ช่วงเช้าวานนี้ (18พ.ย.)และให้มีผลทันที โดยพนักงานคนไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ในบริษัทดังกล่าวมีประมาณ 9-10 คนในระดับกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารดูแลเรื่องการเงิน วิศวกร ที่เหลือเป็นชาวกัมพูชาส่วนใหญ่โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการควบคุมการจราจรทางอากาศจะเป็นชาวกัมพูชาเนื่องจากบริษัทเข้าใจถึงความกังวลในเรื่องความมั่นคง
‘ตั้งแต่เกิดเรื่องคนไทยก็เข้าบริษัทไม่ได้มา 2-3 วันแล้ว แต่วันนี้ (18) ถึงได้มีหนังสือแจ้งมา ซึ่งก็ต้องทำตามและไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน’
ส่วนกรณีที่นายศิวรักษ์ถูกตั้งข้อกล่าวหาจารกรรมข้อมูลนั้นนายวัฒน์ชัยกล่าวว่าเนื่องจากกรณีดังกล่าวเกี่ยวโยงกับความมั่นคงของประเทศ บริษัทฯ จึงได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเจรจากับกับรัฐบาลกัมพูชา โดยในขณะนี้ จากการที่ทุกฝ่ายได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือแก่นายศิวรักษ์อย่างเต็มที่ คาดว่าน่าจะได้รับข่าวดีในเร็วๆ นี้ ซึ่งนั่นก็หมายถึง บริษัทฯ ไม่น่าจะได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องมาจากคดีดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯก็ยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งนี้ ธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทฯ ในประเทศกัมพูชาไม่ได้รับผลกระทบแต่ประการใด
บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซสเป็นบริษัทย่อยที่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น ถือหุ้นร้อยเปอร์เซนต์ โดยบริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจจัดตั้งระบบและให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชา ภายใต้สัญญาสัมปทานที่ได้รับจากรัฐบาลกัมพูชา รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 32 ปี จากปี พ.ศ 2544 – 2576 โดยประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีข้อตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างกัน(Investment Protection Agreement )
‘ผมต้องขอให้รัฐบาลไทยเข้ามาให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้เอกชนไทยหรือนักลงทุนเผชิญปัญหาระหว่างประเทศตามลำพัง ซึ่งการห้ามคนไทยเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ถือว่ายังไม่ใช่การยึดบริษัท เพราะยังมีเรื่อง Investment Protection Agreement คุ้มครองอยู่ แต่เราไม่มั่นใจว่าเราจะเป็นเหยื่อรายแรกหรือไม่เท่านั้น'
แหล่งข่าวจากนักลงทุนให้ความเห็นว่าท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาที่ปฏิบัติกับบริษัทไทยเช่นนี้ กระทบกับการลงทุนแน่นอน โดยเฉพาะการปล่อยกู้จากสถาบันการเงินเพราะถือว่ามีความเสี่ยงสูง ยิ่งถ้าหากคดีนายศิวรักษ์นั้น หากเป็นฝ่ายแพ้ กัมพูชาก็อาจเหมารวมว่ารัฐบาลไทยเป็นผู้สั่งการให้มีการขโมยข้อมูลดังกล่าว ในขณะที่บริษัทปฏิเสธมาตลอดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นบริษัทแคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส อาจถูกรัฐบาลกัมพูชายึด และบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จะสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทยได้หรือไม่ รวมทั้งกรณีดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบกับนักลงทุนไทยที่ทำธุรกิจในกัมพูชาแน่นอน
‘ตอนนี้เลยขั้นความสัมพันธ์ส่วนตัวไปแล้ว เพราะในวงการธุรกิจใครๆก็รู้ว่ากลุ่มสามารถมีคอนเน็กชั่นที่ดีขนาดไหน แต่ตอนนี้กลุ่มสามารถกลายเป็นเหยื่อของการเมืองระหว่างประเทศไปแล้ว’
รายงานข่าวจากบริษัท สามารถ คอร์ปอเรชั่นแจ้งว่าสืบเนื่องจากการจับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงศ์ ด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการจารกรรมข้อมูลรัฐบาลกัมพูชาจึงได้แต่งตั้งผู้แทนของสำนักนายกฯ เข้ามาดูแลกิจการของ บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด เป็นการชั่วคราวและไม่อนุญาตให้พนักงานชาวไทยเข้าไปปฎิบัติหน้าที่ในบริษัทฯ ดังกล่าวนั้น ขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริงและได้ประสานงานกับรัฐบาลไทยในการติดต่อกับรัฐบาลกัมพูชาเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส จำกัด ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ
นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น กล่าวว่ารัฐบาลกัมพูชาได้ส่งหนังสือแจ้งเข้ามายังบริษัทแคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส ช่วงเช้าวานนี้ (18พ.ย.)และให้มีผลทันที โดยพนักงานคนไทยที่ปฏิบัติหน้าที่ในบริษัทดังกล่าวมีประมาณ 9-10 คนในระดับกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารดูแลเรื่องการเงิน วิศวกร ที่เหลือเป็นชาวกัมพูชาส่วนใหญ่โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติการควบคุมการจราจรทางอากาศจะเป็นชาวกัมพูชาเนื่องจากบริษัทเข้าใจถึงความกังวลในเรื่องความมั่นคง
‘ตั้งแต่เกิดเรื่องคนไทยก็เข้าบริษัทไม่ได้มา 2-3 วันแล้ว แต่วันนี้ (18) ถึงได้มีหนังสือแจ้งมา ซึ่งก็ต้องทำตามและไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน’
ส่วนกรณีที่นายศิวรักษ์ถูกตั้งข้อกล่าวหาจารกรรมข้อมูลนั้นนายวัฒน์ชัยกล่าวว่าเนื่องจากกรณีดังกล่าวเกี่ยวโยงกับความมั่นคงของประเทศ บริษัทฯ จึงได้ประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศในการตรวจสอบข้อเท็จจริงและเจรจากับกับรัฐบาลกัมพูชา โดยในขณะนี้ จากการที่ทุกฝ่ายได้ยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือแก่นายศิวรักษ์อย่างเต็มที่ คาดว่าน่าจะได้รับข่าวดีในเร็วๆ นี้ ซึ่งนั่นก็หมายถึง บริษัทฯ ไม่น่าจะได้รับผลกระทบอันสืบเนื่องมาจากคดีดังกล่าว ซึ่งบริษัทฯก็ยืนยันมาตั้งแต่ต้นว่ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งนี้ ธุรกิจอื่นๆ ของบริษัทฯ ในประเทศกัมพูชาไม่ได้รับผลกระทบแต่ประการใด
บริษัท แคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซสเป็นบริษัทย่อยที่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น ถือหุ้นร้อยเปอร์เซนต์ โดยบริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจจัดตั้งระบบและให้บริการควบคุมการจราจรทางอากาศในประเทศกัมพูชา ภายใต้สัญญาสัมปทานที่ได้รับจากรัฐบาลกัมพูชา รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 32 ปี จากปี พ.ศ 2544 – 2576 โดยประเทศไทยและประเทศกัมพูชามีข้อตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างกัน(Investment Protection Agreement )
‘ผมต้องขอให้รัฐบาลไทยเข้ามาให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน รัฐบาลไม่ควรปล่อยให้เอกชนไทยหรือนักลงทุนเผชิญปัญหาระหว่างประเทศตามลำพัง ซึ่งการห้ามคนไทยเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ถือว่ายังไม่ใช่การยึดบริษัท เพราะยังมีเรื่อง Investment Protection Agreement คุ้มครองอยู่ แต่เราไม่มั่นใจว่าเราจะเป็นเหยื่อรายแรกหรือไม่เท่านั้น'
แหล่งข่าวจากนักลงทุนให้ความเห็นว่าท่าทีของรัฐบาลกัมพูชาที่ปฏิบัติกับบริษัทไทยเช่นนี้ กระทบกับการลงทุนแน่นอน โดยเฉพาะการปล่อยกู้จากสถาบันการเงินเพราะถือว่ามีความเสี่ยงสูง ยิ่งถ้าหากคดีนายศิวรักษ์นั้น หากเป็นฝ่ายแพ้ กัมพูชาก็อาจเหมารวมว่ารัฐบาลไทยเป็นผู้สั่งการให้มีการขโมยข้อมูลดังกล่าว ในขณะที่บริษัทปฏิเสธมาตลอดว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นบริษัทแคมโบเดีย แอร์ทราฟฟิค เซอร์วิสเซส อาจถูกรัฐบาลกัมพูชายึด และบริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จะสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทยได้หรือไม่ รวมทั้งกรณีดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบกับนักลงทุนไทยที่ทำธุรกิจในกัมพูชาแน่นอน
‘ตอนนี้เลยขั้นความสัมพันธ์ส่วนตัวไปแล้ว เพราะในวงการธุรกิจใครๆก็รู้ว่ากลุ่มสามารถมีคอนเน็กชั่นที่ดีขนาดไหน แต่ตอนนี้กลุ่มสามารถกลายเป็นเหยื่อของการเมืองระหว่างประเทศไปแล้ว’