โดย นายหิ่งห้อย
จากกรณีที่นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่งตั้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องโทษจำคุก 2 ปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา
และรัฐบาลไทยขอให้รัฐบาลกัมพูชาส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณมารับโทษตามคำพิพากษา เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปยังประเทศกัมพูชา อันเป็นการขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตามพันธกรณีที่ประเทศไทยกับประเทศกัมพูชามีต่อกัน
ปรากฏว่า นอกจากนายฮุนเซน ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามพันธกรณี ไม่ยอมส่ง พ.ต.ท.ทักษิณมาให้รัฐบาลไทยดำเนินคดีแล้ว นายฮุนเซนยังพูดจาดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมและศาลไทยว่าไม่น่าเชื่อถือ และว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
ทั้งๆ ที่ขณะ พ.ต.ท.ทักษิณถูกดำเนินคดีอยู่นั้น มีพรรคการเมืองซึ่งอยู่ในสังกัดของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรัฐบาลไทย และพ.ต.ท.ทักษิณยินยอมเข้าต่อสู้คดีในศาล แต่กลับหลบหนีไปหลังจากมีการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว
นั่นคงเป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณอาจรู้ดีว่าได้กระทำผิดจริง แต่ไม่สามารถหาหนทางวิ่งเต้นให้พ้นจากความผิดได้ จึงได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ และพยายามกล่าวหาว่าตนถูกกลั่นแกล้ง อันเป็นการดูหมิ่นศาลยุติธรรมเรื่อยมา
ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยดำเนินการทางการทูตตอบโต้การกระทำของนายฮุนเซนด้วยการเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับมานั้น จึงเป็นการกระทำที่เหมาะสมแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่า กระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะศาลยุติธรรมนั้น เป็นที่ยอมรับนับถือของนานาอารยประเทศว่ามีมาตรฐานระดับสากล สามารถให้ความเป็นธรรมแก่ผู้มีอรรถคดีได้โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ
แต่เมื่อหันกลับมาดูกระบวนการยุติธรรมกัมพูชา โดยเฉพาะในคดีที่นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศกัมพูชาแล้ว
ปรากฏว่า ศาลกัมพูชาตัดสินลงโทษนายศิวรักษ์ ให้จำคุก 7 ปี โดยให้เหตุผลว่า นายศิวรักษ์โจรกรรมตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณไปมอบให้เลขานุการเอกของสถานทูตไทยประจำประเทศกัมพูชา
ทั้งๆ ที่ตารางการบินดังกล่าวมิใช่ความลับที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศกัมพูชาแต่อย่างใด การตัดสินของศาลกัมพูชาดังกล่าวจึงเป็นการตัดสินตามอำเภอใจ และเป็นไปตามความต้องการของนายฮุนเซน เพื่อเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น
ครั้นเมื่อนายฮุนเซนต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงบทบาทช่วยเหลือนายศิวรักษ์ โดยมีคนของพรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณร่วมแสดงด้วย เพื่อให้เห็นว่าพวกตนเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือนายศิวรักษ์ได้ดีกว่ารัฐบาล
นายฮุนเซนถึงกับให้รัฐมนตรีออกมาต้อนรับมารดาของนายศิวรักษ์ โดยพาไปเยี่ยมนักโทษสำคัญของกัมพูชาถึงเรือนจำ คล้ายกับว่านายศิวรักษ์และมารดาเป็นคนสำคัญของกัมพูชา และก่อนที่ศาลกัมพูชาจะตัดสินคดีดังกล่าว นักการเมืองในสังกัดของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า จะช่วยดำเนินการติดต่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายศิวรักษ์ และบอกว่าได้เตรียมร่างคำขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาให้นายศิวรักษ์ ก่อนศาลกัมพูชามีคำพิพากษาเสียอีก
จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คนเหล่านี้น่าจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่า ศาลกัมพูชาจะต้องตัดสินลงโทษจำคุกนายศิวรักษ์
ที่ผ่านมา หากมีใครบังอาจพูดแตะต้อง พ.ต.ท.ทักษิณ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม คนของพรรคเพื่อไทยจะพร้อมใจกันดาหน้าออกมาปกป้องนายทักษิณ มิให้นายทักษิณต้องระคายเคืองใจแม้แต่น้อย
แต่กรณีการกล่าวหานายศิวรักษ์ โจรกรรมข้อมูลตารางการบินของคุณทักษิณ ซึ่งคนกลุ่มนี้ออกมาตีโพยตีพายว่า เป็นการร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อจัดการคุณทักษิณ ถึงกับกล่าวหาว่ารัฐบาลจะใช้เครื่องบินเอฟ 16 บังคับให้เครื่องบินที่คุณทักษิณโดยสารมาบินลงประเทศไทย มิฉะนั้นจะยิงทิ้งกลางอากาศ
แต่ครั้งนี้ คุณทักษิณและบริวารกลับใจดีเป็นพิเศษ โดยกุลีกุจอช่วยเหลือติดต่อนายฮุนเซนให้ขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์
นอกจากนั้น เมื่อนายศิวรักษ์ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปีแล้ว ตามกฎหมายของประเทศกัมพูชา นายศิวรักษ์จะต้องรับโทษไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ก่อน จึงจะมีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษได้
แต่กระบวนการยุติธรรมกัมพูชาในกรณีนี้ ดูเหมือนกับเป็นละครน้ำเน่าชั้นเลว จึงเกิดเหตุน่าอัศจรรย์ขึ้น เมื่อนายศิวรักษ์ได้รับการพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์ของกัมพูชา โดยความเห็นชอบของนายฮุนเซน
นายศิวรักษ์ จึงได้รับการอภัยโทษทันที หลังจากศาลตัดสินจำคุกเพียง 1 สัปดาห์ เท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น นายฮุนเซน ยังใจดีเกินเหตุ ประกาศยินยอมให้นายศิวรักษ์ ทำงานในตำแหน่งเดิมในประเทศกัมพูชาได้ต่อไป ทั้งๆ ที่อ้างว่านายศิวรักษ์กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศกัมพูชา
อีกทั้ง ยังจัดทำพิธีรับส่งตัวนายศิวรักษ์ ให้แก่นายทักษิณและบริวาร ราวกับว่านายศิวรักษ์เป็นวีรบุรุษ หรือเป็นบุคคลสำคัญที่ประกอบคุณงามความดีให้แก่กัมพูชาและพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น ผลสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพลล์ จึงปรากฏว่า คนไทยจำนวนมากถึงร้อยละ 67.42 เชื่อว่า คดีนายศิวรักษ์เป็นเพียงการจัดฉากการแสดงละครน้ำเน่าที่เป็นเกมการเมืองเท่านั้น
เมื่อกระบวนการยุติธรรมกัมพูชายังล้าหลังไร้มาตรฐาน เพราะความถูกผิดขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของนายฮุนเซนแต่เพียงผู้เดียว ดังที่ปรากฏข้อเท็จจริงข้างต้น
การที่นายฮุนเซนบังอาจวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมและศาลยุติธรรมไทย และไม่ยอมส่งตัว พ.ต.ท. ทักษิณในฐานะเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ตามพันธกรณีที่นานาอารยประเทศพึงปฏิบัติต่อกัน จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายสิ้นดี
และหากคนไทยกลุ่มใดยังชื่นชมกับการกระทำของนายฮุนเซน หรือยังร่วมมือกับนายฮุนเซนทำร้ายคนไทยผู้บริสุทธิ์ หรือสมคบกับนายฮุนเซน ทำลายศักดิ์ศรีของชาติไทยเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ก็นับได้ว่าคนกลุ่มนั้นมีความเป็นไทยเหลืออยู่น้อยเต็มที
จากกรณีที่นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แต่งตั้งให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องโทษจำคุก 2 ปี ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา
และรัฐบาลไทยขอให้รัฐบาลกัมพูชาส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณมารับโทษตามคำพิพากษา เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปยังประเทศกัมพูชา อันเป็นการขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน ตามพันธกรณีที่ประเทศไทยกับประเทศกัมพูชามีต่อกัน
ปรากฏว่า นอกจากนายฮุนเซน ปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามพันธกรณี ไม่ยอมส่ง พ.ต.ท.ทักษิณมาให้รัฐบาลไทยดำเนินคดีแล้ว นายฮุนเซนยังพูดจาดูหมิ่นกระบวนการยุติธรรมและศาลไทยว่าไม่น่าเชื่อถือ และว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง
ทั้งๆ ที่ขณะ พ.ต.ท.ทักษิณถูกดำเนินคดีอยู่นั้น มีพรรคการเมืองซึ่งอยู่ในสังกัดของ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นรัฐบาลไทย และพ.ต.ท.ทักษิณยินยอมเข้าต่อสู้คดีในศาล แต่กลับหลบหนีไปหลังจากมีการสืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว
นั่นคงเป็นเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณอาจรู้ดีว่าได้กระทำผิดจริง แต่ไม่สามารถหาหนทางวิ่งเต้นให้พ้นจากความผิดได้ จึงได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ และพยายามกล่าวหาว่าตนถูกกลั่นแกล้ง อันเป็นการดูหมิ่นศาลยุติธรรมเรื่อยมา
ดังนั้น การที่รัฐบาลไทยดำเนินการทางการทูตตอบโต้การกระทำของนายฮุนเซนด้วยการเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับมานั้น จึงเป็นการกระทำที่เหมาะสมแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่า กระบวนการยุติธรรมไทย โดยเฉพาะศาลยุติธรรมนั้น เป็นที่ยอมรับนับถือของนานาอารยประเทศว่ามีมาตรฐานระดับสากล สามารถให้ความเป็นธรรมแก่ผู้มีอรรถคดีได้โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ
แต่เมื่อหันกลับมาดูกระบวนการยุติธรรมกัมพูชา โดยเฉพาะในคดีที่นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทย ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศกัมพูชาแล้ว
ปรากฏว่า ศาลกัมพูชาตัดสินลงโทษนายศิวรักษ์ ให้จำคุก 7 ปี โดยให้เหตุผลว่า นายศิวรักษ์โจรกรรมตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณไปมอบให้เลขานุการเอกของสถานทูตไทยประจำประเทศกัมพูชา
ทั้งๆ ที่ตารางการบินดังกล่าวมิใช่ความลับที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศกัมพูชาแต่อย่างใด การตัดสินของศาลกัมพูชาดังกล่าวจึงเป็นการตัดสินตามอำเภอใจ และเป็นไปตามความต้องการของนายฮุนเซน เพื่อเอาใจ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น
ครั้นเมื่อนายฮุนเซนต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงบทบาทช่วยเหลือนายศิวรักษ์ โดยมีคนของพรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณร่วมแสดงด้วย เพื่อให้เห็นว่าพวกตนเท่านั้นที่สามารถช่วยเหลือนายศิวรักษ์ได้ดีกว่ารัฐบาล
นายฮุนเซนถึงกับให้รัฐมนตรีออกมาต้อนรับมารดาของนายศิวรักษ์ โดยพาไปเยี่ยมนักโทษสำคัญของกัมพูชาถึงเรือนจำ คล้ายกับว่านายศิวรักษ์และมารดาเป็นคนสำคัญของกัมพูชา และก่อนที่ศาลกัมพูชาจะตัดสินคดีดังกล่าว นักการเมืองในสังกัดของ พ.ต.ท.ทักษิณก็ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า จะช่วยดำเนินการติดต่อขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายศิวรักษ์ และบอกว่าได้เตรียมร่างคำขอพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์กัมพูชาให้นายศิวรักษ์ ก่อนศาลกัมพูชามีคำพิพากษาเสียอีก
จากพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คนเหล่านี้น่าจะรู้ล่วงหน้าแล้วว่า ศาลกัมพูชาจะต้องตัดสินลงโทษจำคุกนายศิวรักษ์
ที่ผ่านมา หากมีใครบังอาจพูดแตะต้อง พ.ต.ท.ทักษิณ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม คนของพรรคเพื่อไทยจะพร้อมใจกันดาหน้าออกมาปกป้องนายทักษิณ มิให้นายทักษิณต้องระคายเคืองใจแม้แต่น้อย
แต่กรณีการกล่าวหานายศิวรักษ์ โจรกรรมข้อมูลตารางการบินของคุณทักษิณ ซึ่งคนกลุ่มนี้ออกมาตีโพยตีพายว่า เป็นการร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อจัดการคุณทักษิณ ถึงกับกล่าวหาว่ารัฐบาลจะใช้เครื่องบินเอฟ 16 บังคับให้เครื่องบินที่คุณทักษิณโดยสารมาบินลงประเทศไทย มิฉะนั้นจะยิงทิ้งกลางอากาศ
แต่ครั้งนี้ คุณทักษิณและบริวารกลับใจดีเป็นพิเศษ โดยกุลีกุจอช่วยเหลือติดต่อนายฮุนเซนให้ขอพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์
นอกจากนั้น เมื่อนายศิวรักษ์ถูกศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 7 ปีแล้ว ตามกฎหมายของประเทศกัมพูชา นายศิวรักษ์จะต้องรับโทษไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ก่อน จึงจะมีสิทธิขอพระราชทานอภัยโทษได้
แต่กระบวนการยุติธรรมกัมพูชาในกรณีนี้ ดูเหมือนกับเป็นละครน้ำเน่าชั้นเลว จึงเกิดเหตุน่าอัศจรรย์ขึ้น เมื่อนายศิวรักษ์ได้รับการพระราชทานอภัยโทษจากกษัตริย์ของกัมพูชา โดยความเห็นชอบของนายฮุนเซน
นายศิวรักษ์ จึงได้รับการอภัยโทษทันที หลังจากศาลตัดสินจำคุกเพียง 1 สัปดาห์ เท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น นายฮุนเซน ยังใจดีเกินเหตุ ประกาศยินยอมให้นายศิวรักษ์ ทำงานในตำแหน่งเดิมในประเทศกัมพูชาได้ต่อไป ทั้งๆ ที่อ้างว่านายศิวรักษ์กระทำการอันเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศกัมพูชา
อีกทั้ง ยังจัดทำพิธีรับส่งตัวนายศิวรักษ์ ให้แก่นายทักษิณและบริวาร ราวกับว่านายศิวรักษ์เป็นวีรบุรุษ หรือเป็นบุคคลสำคัญที่ประกอบคุณงามความดีให้แก่กัมพูชาและพรรคเพื่อไทย
ดังนั้น ผลสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพลล์ จึงปรากฏว่า คนไทยจำนวนมากถึงร้อยละ 67.42 เชื่อว่า คดีนายศิวรักษ์เป็นเพียงการจัดฉากการแสดงละครน้ำเน่าที่เป็นเกมการเมืองเท่านั้น
เมื่อกระบวนการยุติธรรมกัมพูชายังล้าหลังไร้มาตรฐาน เพราะความถูกผิดขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของนายฮุนเซนแต่เพียงผู้เดียว ดังที่ปรากฏข้อเท็จจริงข้างต้น
การที่นายฮุนเซนบังอาจวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมและศาลยุติธรรมไทย และไม่ยอมส่งตัว พ.ต.ท. ทักษิณในฐานะเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ตามพันธกรณีที่นานาอารยประเทศพึงปฏิบัติต่อกัน จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการกระทำที่ไร้ยางอายสิ้นดี
และหากคนไทยกลุ่มใดยังชื่นชมกับการกระทำของนายฮุนเซน หรือยังร่วมมือกับนายฮุนเซนทำร้ายคนไทยผู้บริสุทธิ์ หรือสมคบกับนายฮุนเซน ทำลายศักดิ์ศรีของชาติไทยเพื่อประโยชน์ของตนและพวกพ้อง ก็นับได้ว่าคนกลุ่มนั้นมีความเป็นไทยเหลืออยู่น้อยเต็มที