xs
xsm
sm
md
lg

"โฆสิต"ห่วงมาบตาพุด หวั่นไร้ทางออกกระทบโครงสร้างอุตฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - "โฆสิต"ห่วงปัญหามาบตาพุดยืดเยื้อกระทบโครงสร้างอุตสาหกรรมหนักของไทย ทำให้ระบบซัพพลายเชนไม่สมบูรณ์ ส่วนวงเงินสินเชื่อที่ธนาคารปล่อยให้ผู้ประกอบมีมูลค่าทั้งสิ้น 5.3 หมื่นล้าน เป็นส่วนของโครงการที่ปัญหาเบิกใช้ 6 พันล้าน ยันลูกค้ายังชำระหนี้ปกติ ส่วนสินเชื่อรวมของแบงก์ปีนี้หวังโต 0% เสมอตัวดีกว่าติดลบ ส่วนดีลขาย ACL พอใจที่ 11.50 บาท โบ้ยคลังพิจารณาความเหมาะสม

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) เปิดเผยถึงกรณีปัญหาโครงการมาบตาพุดที่ถูกศาลปกครองสั่งชะลอการลงทุนก่อสร้าง 65 โครงการว่า กรณีดังกล่าวหากยังไม่มีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นให้ชัดเจน โดยส่วนตัวไม่มีความเป็นห่วงเรื่องผลกระทบการลงทุนของประเทศมากนัก แต่ที่น่าเป็นห่วงคือในอนาคตจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมของไทยที่คาดว่าจะมีความอ่อนแอลงจนทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้ เนื่องจากโครงการลงทุนในมาบตาพุดส่วนใหญ่จะเป็นประเภทอุตสาหกรรมหนักที่เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชน(การจัดการห่วงโซอุปทาน) ที่ระบบความเกี่ยวโยงดังกล่าวจะไม่สมบูรณ์

"เราห่วงเรื่องซัพพลายเชนในอนาคตที่จะไม่สมบูรณ์ เพราะประเทศเรามีตัวอุตสาหกรรมหนักมาก ซึ่งหากรัฐบาลไม่สามารถหาทางออกในการแก้ปัญหาได้ก็จะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ในอนาคตแน่นอน โดยเฉพาะตัวนักศึกษาที่กำลังจะจบการศึกษาใหม่ที่อาจจะไม่มีงานทำที่เป็นตัวเลขไม่น้อยเหมือนกัน"นายโฆสิต กล่าว

ทั้งนี้ ในส่วนของธนาคารมียอดการอนุมัติวงเงินสินเชื่อให้กับลูกค้าที่ลงทุนในมาบตาพุดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 5.3 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นในส่วนโครงการที่ไม่ได้ถูกศาลปกครองสั่งชะลอลงทุนก่อสร้างประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่อีก 11 โครงการที่ศาลปกครองสั่งชะลอการก่อสร้างมีมูลค่าประมาณ 2.3 หมื่นล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวมี 9 โครงการมีมูลค่า 1.7 หมื่นล้านบาทที่ลูกค้ายังไม่ได้มีการเบิกใช้วงเงิน ส่วนอีก 2 โครงการลูกค้าได้เบิกใช้วงเงินไปแล้วประมาณ 6 พันล้านบาท ซึ่งลูกค้าโครงการดังกล่าวจะเป็นบริษัทกลุ่ม ปตท. จำกัด (มหาชน)(PTT) บริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)(SCC) และบริษัทดาวเคมิคอล ที่ยังมีการชำระหนี้กับธนาคารอย่างปกติและไม่มีปัญหาการลงทุนแต่อย่างใด

"ทั้ง 11 โครงการที่เป็นลูกค้าของเราและถูกชะลอการลงทุนก่อสร้าง ในขณะนี้ยังไม่มีปัญหาอะไร โดยเฉพาะ 2 โครงการที่มีการเบิกวงเงินไปใช้เพื่อการก่อสร้างแล้ว เพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจอีกทั้งเป็นโครงการที่มีการวางแผนระยะยาว จึงยังไม่มีลูกค้ารายใดเข้ามาปรึกษาปัญหากับธนาคาร"นายโฆสิต กล่าว

นอกจากนี้ในส่วนของการปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารในสิ้นปี 2552 นี้ คาดหวังว่าจะเติบโตได้ประมาณ 0% จากช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายอดการปล่อยสินเชื่อติดลบอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร แต่พอถึงเดือนตุลาคมกลับเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจน ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจการค้าการขาย การส่งออก ที่ดีขึ้นตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) โดยคาดว่าจีพีดีไตรมาส 4 ของปีนี้จะพลิกกลับมาเป็นบวก

"สิ้นปีนี้เราก็หวังว่ายอดการเติบโตสินเชื่อรวมของธนาคารจะได้เสมอตัวตัวคือ 0% มากกว่าจะจบแบบติดลบ เพราะที่ผ่านมาเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อก็เลยติดลบเยอะ แต่ถ้าพูดกันตามจริงแล้วก็ยังไม่แน่ใจมากนักว่าจะได้ 0% หรือไม่ เพราะต้องรอตัวเลขในเดือนพฤศจิกายนออกมาก่อนว่าเป็นอย่างไร"นายโฆสิต กล่าว

ด้านนายเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)กล่าวยอมรับว่า สินเชื่อที่ธนาคารปล่อยให้ลูกค้าลงทุนโครงการมาบตาพุดจะเป็นลักษณะการปล่อยสินเชื่อร่วม (ซินดิเคทโลน) ซึ่งก็ไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะในที่สุดแล้วเชื่อว่าจะสามารถหาทางออกของปัญหาได้ แต่รัฐบาลเองต้องออกมาตรการควบคุมเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้ชัดเจน เพราะไม่เช่นนั้นจะส่งผลเสียหายต่อประเทศได้ที่อาจจะไม่เกิดการลงทุนในอนาคตอีก

"โครงการทั้งหมดที่สุดแล้วก็ต้องทำได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นดาวสตรีมเกือบ 90% เราก็เชื่อว่าทุกอย่างไม่น่าจะเป็นห่วง แต่ถ้ามองในแง่ของนักลงทุนเองก็อาจจะมีความไม่แน่ใจ ซึ่งหวังว่ารัฐบาลจะมีความรวดเร็วเพื่อจะได้ทำให้ทุกคนสบายใจ"นายเดชา กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในส่วนสินเชื่อรวมในปีนี้อาจจะได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 0 - 3% โดยคาดว่าจะทำได้เพียงไม่ติดลบ แต่จะทรงตัวซึ่งยังมองว่าธุรกิจที่ยังสามารถเติบโตได้ดี คือ ธุรกิจการส่งออก ภาคการเกษตร ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดี ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่าจีดีพีในปี 2553 จะขยายตัวประมาณ 3 - 4%

สำหรับกรณีดีลการขายหุ้น ธนาคาร สินเอเซีย จำกัด (มหาชน) (ACL) นั้นธนาคารยืนยันว่าราคาหุ้นละ 11.50 บาท ถือเป็นราคาที่น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ดี กระบวนการทั้งหมดในการตัดสินใจ ต้องขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่พิจารณาความเหมาะสม

"กระแสข่าวคลังจะล้มดีล ACL นั้นเราก็เป็นผู้ถือหุ้นน้อยคงให้ความเห็นอะไรไม่ได้ คงต้องให้กระทรวงการคลังซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นคนพิจารณาและตัดสินใจ แต่เราก็ยืนยันว่าราคาที่ 11.50 บาท เราก็พอใจ"นายเดชา กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น