รมว.คลังพูดชัดเจนพร้อมเปิดทาง "ไอซีบีซี” แบงก์ยักษ์ใหญ่จากจีนฮุบธนาคารสินเอเซีย หลังนายกฯไฟเขียว แนะหารือ ธปท.เพิ่มเพดานหุ้นเกิน 49% พร้อมระบุเหตุผลที่เป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจและลูกค้าคนไทย จับตาชะตากรรมแบงก์นครหลวงไทย อาจจะควบรวมกับธนาคารอื่น ลั่นข้อเสนอให้ลดเงินนำส่งแบงก์ชาติ 0.4% ทำไม่ได้
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารอินดัสเตรียล แอนด์คอมเมอร์เชียลแบงก์ ออฟไชน่า (ICBC) จากจีน ได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย เพื่อเจรจาขอซื้อหุ้นจากกระทรวงการคลังที่ถือในธนาคารสินเอเซีย จำกัด (ACL) ในส่วนกระทรวงการคลังก็พร้อมที่จะพิจารณาให้ถือหุ้นมากกว่า 49% ภายใต้หลักการว่าหาก ICBC ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของจีน มีข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามต้องแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนเข้ามาก่อน พร้อมกับหารือขั้นตอนกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อยืนยันในสัดส่วนหุ้นที่จะถือเกิน 49%
นายกรณ์ย้ำว่า ข้อเสนอที่จะพิจารณาให้ถือหุ้นเกิน 49% จะพิจารณาจากเงื่อนไขว่า จะทำให้ประชาชนมีทางเลือกเพิ่มขึ้นอย่างไร และเพิ่มการแข่งขันในระบบธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร อาทิ มีแผนงานที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจรวมอย่างไร โดยเฉพาะICBCเป็นธนาคารของรัฐบาลจีน อาจจะมีประโยชน์ในความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับจีนที่จะเป็นช่องทางชัดเจนขึ้น ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขพิจารณาอย่างรอบคอบ
“เงื่อนไขแผนงานช่วยการพัฒนาเศรษฐกิจไทยเป็นหลักการ หากมีรายอื่นที่แสดงเจตจำนงเข้ามาแล้วมีเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เราก็พร้อมจะพิจารณา และต้องดูราคาที่เสนอซื้อต้องเป็นราคาที่ดีด้วย” นายกรณ์กล่าวและว่า การหารือดังกล่าวเป็นส่วนของกระทรวงการคลังที่ถือหุ้นในสินเอเซีย 30.6% เท่านั้น ส่วนหุ้นของธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) นั้นเป็นเรื่องที่เอกชนจะพิจารณา
เมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การเจรจาในการซื้อขายหุ้น ACL เป็นการเจรจาระหว่างรัฐบาลและกระทรวงการคลัง หากกระทรวงการคลังตกลงขาย ธนาคารกรุงเทพก็พร้อมขายหุ้นที่ถืออยู่ 19.3% และหลังจากธนาคารICBCมาซื้อหุ้นจากกระทรวงการคลัง ขั้นตอนต่อไปก็ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) จากผู้ถือหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ต้นปี 52 ถึงปัจจุบัน ราคาหุ้น ACL ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากราคา 2 บาท เป็น 6 บาท ล่าสุดกรณีตัวแทนไอซีบีซีเข้าพบนายกรัฐมนตรีของไทยระหว่างนายกฯ ไปเยือนจีนเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า เท่าที่ทราบธนาคารICBC ได้มีการพูดคุยกับกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น ACL แต่กับ ธปท.ถึงขณะนี้ผู้บริหารICBC ยังไม่ได้เข้ามาหารือเรื่องเพิ่มสัดส่วนหุ้นเกิน 49%
หนุน ธปท.ขายหุ้นนครหลวงไทย
สำหรับความคืบหน้าในการขายหุ้นของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) ในธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB) นายกรณ์กล่าวว่า ธปท.ได้มาหารือและมีข้อเสนอว่า จะเป็นการขายหุ้นออกทั้งหมด หรืออาจจะเป็นลักษณะการควบรวมกับธนาคารพาณิชย์อื่น ขึ้นกับเงื่อนไขที่จะพิจารณาช่วงนั้นๆ เพราะเอฟไอดีเอฟจะต้องยุบและปิดกิจการในปี 2556 ขณะที่กระทรวงการคลังเองไม่มีนโยบายที่จะถือหุ้นในธนาคารนครหลวงไทยในเชิงยุทธศาสตร์เหมือนธนาคาร กรุงไทย ที่จะต้องถือลงทุนต่อไป โดยไม่มีนโยบายที่จะขายออกมาแต่อย่างใด
นายกรณ์กล่าวถึงแนวทางการลดเงินนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากจาก 0.4% เพื่อแลกกับการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ว่า ขณะนี้ชัดเจนว่าไม่สามารถทำได้ จากการพิจารณาของสำนักงานกฤษฎีกา ประกอบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่กระเตื้องขึ้นเล้กน้อย หลังจากที่รัฐบาลออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ก็น่าจะแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดอัตราเงินนำส่งลงจากเดิม เพื่อแลกกับการปรับเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากให้แก่ประชาชนมากขึ้น.
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ธนาคารอินดัสเตรียล แอนด์คอมเมอร์เชียลแบงก์ ออฟไชน่า (ICBC) จากจีน ได้เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทย เพื่อเจรจาขอซื้อหุ้นจากกระทรวงการคลังที่ถือในธนาคารสินเอเซีย จำกัด (ACL) ในส่วนกระทรวงการคลังก็พร้อมที่จะพิจารณาให้ถือหุ้นมากกว่า 49% ภายใต้หลักการว่าหาก ICBC ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดของจีน มีข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ อย่างไรก็ตามต้องแสดงเจตจำนงที่ชัดเจนเข้ามาก่อน พร้อมกับหารือขั้นตอนกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อยืนยันในสัดส่วนหุ้นที่จะถือเกิน 49%
นายกรณ์ย้ำว่า ข้อเสนอที่จะพิจารณาให้ถือหุ้นเกิน 49% จะพิจารณาจากเงื่อนไขว่า จะทำให้ประชาชนมีทางเลือกเพิ่มขึ้นอย่างไร และเพิ่มการแข่งขันในระบบธนาคารพาณิชย์ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างไร อาทิ มีแผนงานที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจรวมอย่างไร โดยเฉพาะICBCเป็นธนาคารของรัฐบาลจีน อาจจะมีประโยชน์ในความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนกับจีนที่จะเป็นช่องทางชัดเจนขึ้น ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขพิจารณาอย่างรอบคอบ
“เงื่อนไขแผนงานช่วยการพัฒนาเศรษฐกิจไทยเป็นหลักการ หากมีรายอื่นที่แสดงเจตจำนงเข้ามาแล้วมีเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เราก็พร้อมจะพิจารณา และต้องดูราคาที่เสนอซื้อต้องเป็นราคาที่ดีด้วย” นายกรณ์กล่าวและว่า การหารือดังกล่าวเป็นส่วนของกระทรวงการคลังที่ถือหุ้นในสินเอเซีย 30.6% เท่านั้น ส่วนหุ้นของธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) นั้นเป็นเรื่องที่เอกชนจะพิจารณา
เมื่อสิ้นเดือนที่ผ่านมา นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การเจรจาในการซื้อขายหุ้น ACL เป็นการเจรจาระหว่างรัฐบาลและกระทรวงการคลัง หากกระทรวงการคลังตกลงขาย ธนาคารกรุงเทพก็พร้อมขายหุ้นที่ถืออยู่ 19.3% และหลังจากธนาคารICBCมาซื้อหุ้นจากกระทรวงการคลัง ขั้นตอนต่อไปก็ต้องทำคำเสนอซื้อหุ้น (เทนเดอร์ออฟเฟอร์) จากผู้ถือหุ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ต้นปี 52 ถึงปัจจุบัน ราคาหุ้น ACL ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากราคา 2 บาท เป็น 6 บาท ล่าสุดกรณีตัวแทนไอซีบีซีเข้าพบนายกรัฐมนตรีของไทยระหว่างนายกฯ ไปเยือนจีนเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา
นายสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า เท่าที่ทราบธนาคารICBC ได้มีการพูดคุยกับกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้น ACL แต่กับ ธปท.ถึงขณะนี้ผู้บริหารICBC ยังไม่ได้เข้ามาหารือเรื่องเพิ่มสัดส่วนหุ้นเกิน 49%
หนุน ธปท.ขายหุ้นนครหลวงไทย
สำหรับความคืบหน้าในการขายหุ้นของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) ในธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) (SCIB) นายกรณ์กล่าวว่า ธปท.ได้มาหารือและมีข้อเสนอว่า จะเป็นการขายหุ้นออกทั้งหมด หรืออาจจะเป็นลักษณะการควบรวมกับธนาคารพาณิชย์อื่น ขึ้นกับเงื่อนไขที่จะพิจารณาช่วงนั้นๆ เพราะเอฟไอดีเอฟจะต้องยุบและปิดกิจการในปี 2556 ขณะที่กระทรวงการคลังเองไม่มีนโยบายที่จะถือหุ้นในธนาคารนครหลวงไทยในเชิงยุทธศาสตร์เหมือนธนาคาร กรุงไทย ที่จะต้องถือลงทุนต่อไป โดยไม่มีนโยบายที่จะขายออกมาแต่อย่างใด
นายกรณ์กล่าวถึงแนวทางการลดเงินนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากจาก 0.4% เพื่อแลกกับการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ว่า ขณะนี้ชัดเจนว่าไม่สามารถทำได้ จากการพิจารณาของสำนักงานกฤษฎีกา ประกอบกับดอกเบี้ยเงินฝากที่กระเตื้องขึ้นเล้กน้อย หลังจากที่รัฐบาลออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง ก็น่าจะแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดอัตราเงินนำส่งลงจากเดิม เพื่อแลกกับการปรับเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝากให้แก่ประชาชนมากขึ้น.
