xs
xsm
sm
md
lg

คนTOTมัดแม้วโกงโทรศัพท์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - คดียึดทรัพย์แม้ว 7.6 หมื่นล้านใกล้จบ อดีตประธานสหภาพทีโอทีเบิกความ ระบุเคยค้านลดค่าจัดเก็บพรีเพดเอไอเอสแต่ไม่สำเร็จ แฉบิ๊กบอร์ดทีโอทีเรียกไปเคลียร์ อ้างเคยเป็นครูฝึกให้ นรต.ทักษิณ อัยการเตรียมเรียก "สุรเกียรติ-กล้านรงค์" เบิกความตอกฝาโลง 22 ธ.ค.นี้

วานนี้ (15 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายสมศักดิ์ เนตรมัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมองค์คณะ รวม 9 คน ไต่สวนพยานอัยการ คดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ธุรกิจครอบครัว อันเป็นการทับซ้อนประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม รวมทั้งทรัพย์สินที่มีชื่อบุคคลในครอบครัว และบุคคลใกล้ชิดรวม 22 ราย ซึ่งเป็นผู้คัดค้าน มูลค่า 7.6 หมื่นล้านบาท ที่ได้จากการขายหุ้นในเครือบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตกเป็นของแผ่นดิน

นัดนี้ พนักงานอัยการนำ นายมิตร เจริญวัลย์ อดีตประธานสหภาพองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หรือ ทีโอที เบิกความโดยสรุปว่า ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งประธานสหภาพ ระหว่างปี 2534-2547 มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารบริษัททีโอที 3 ครั้งตามนโยบายของ นายสุเมธ ตันติเวชกุล ที่เป็นคณะกรรมการบริหารขณะนั้น เพราะต้องการให้การบริหารองค์กรเป็นไปด้วยความโปร่งใส เนื่องจากทีโอที ถูกมองว่าเป็นแดนสนธยา ซึ่งการเข้าร่วมประชุมตัวแทนสหภาพสามารถให้ความเห็นเพื่อท้วงติงได้ แต่ไม่มีอำนาจในการออกเสียงหรือตัดสินใจ อย่างไรก็ตามมีการประชุมครั้งหนึ่ง มีการพิจารณาอนุมัติเปลี่ยนสัญญาการจัดเก็บค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน (พรีเพด) ของบริษัทเอไอเอส ที่คณะกรรมการบริหารอนุมัติตามข้อเสนอให้จัดเก็บร้อยละ 20 ซึ่งสหภาพไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าผิดกับสัญญาหลัก อาจส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของทีโอทีลดลง และส่งผลกระทบต่อพนักงานได้ ซึ่งเรื่องดังกล่าวได้มีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ให้ตรวจสอบ แต่จนถึงขณะนี้ตนยังไม่ทราบผลการร้องเรียน

นายมิตร เบิกความต่อว่า ส่วนที่เคยให้ปากคำกับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กรณีที่มีคณะกรรมการบางคนในทีโอทีมีความเกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ถือเป็นความเห็นส่วนตัว เพราะตามกฎหมายแรงงาน จัดให้มีคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ซึ่งประกอบด้วยตัวแทนสหภาพ กับ ฝ่ายบริหาร ขณะนั้นมี พล.อ.สมชัย สมประสงค์ เป็นรองประธานฯ เคยพูดทำนองว่าหากมีปัญหาอะไรสามารถโทรหาตนสายตรงได้เลย เพราะสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจตนเป็นครูฝึกดังนั้นมีอะไรให้คุยกันได้ ทำให้ตนเข้าใจว่ามีความเป็นไปได้ที่ พล.อ.สมชัย มีความเกี่ยวพันกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

**ไปรษณีย์ค้านไอพีสตาร์แล้ว

ด้านนายวิวัฒน์ สุทธิภาค อดีตรองอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข เบิกความสรุปว่า ช่วงเป็นคณะกรรมการประสานงานดาวเทียม กระทรวงคมนาคม มีหน้าที่ดูแลให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามกำหนดสัญญา ทั้งนี้ได้พิจารณาคำขอส่งดาวเทียมไอพีสตาร์ของบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ แทนดาวเทียมไทยคม 4 โดยได้ตอบกลับไปว่าแม้ว่าดาวเทียมไอพีสตาร์จะไม่มีช่องสัญญาณซีแบนด์ เหมือนกับดาวเทียมไทยคม 3 แต่มีลักษณะทันสมัยและดีที่สุดและมีความครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากกว่า ทั้งยังสามารถรองรับความถี่ซีแบนด์ได้ แต่ต้องมีสถานีสัญญาณ ซึ่งตามสัญญาที่ระบุว่าจะต้องมีดาวเทียมหลัก ดาวเทียมสำรองนั้นเป็นคำนิยามตามเทคนิค เพราะข้อเท็จจริงแล้ว ดาวเทียมแต่ละดวงสามารถใช้แทนกันได้ทั้งดาวเทียมหลักและรอง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการบริการไม่ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในการจัดทำสัญญาของกระทรวงคมนาคมนอกจากสัญญาฉบับแรกแล้วที่กำหนดว่า การยิงดาวเทียมไทยคม 1 เป็นดาวเทียมหลัก ต้องยิงดาวเทียมไทยคม 2 เป็นดาวเทียมสำรอง แต่การยิงดาวเทียมหลังจากนั้นไม่มีกำหนดขึ้นอยู่กับความเห็นชอบของกระทรวงคมนาคม ดังนั้นหากถามว่าการยิงดาวเทียมไอพีสตาร์ แทนดาวเทียมไทยคม 4 ผิดกับสัญญาหรือไม่คงตอบได้ไม่เต็มที่ เพราะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกระทรวงคมนาคม ซึ่งกรอบสัญญาระบุแค่ให้มีสัญญาณดาวเทียมใช้อย่างต่อเนื่อง

ภายหลังศาลไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้ว นัดไต่สวนพยานครั้งต่อไป วันที่ 22 ธ.ค. นี้ เวลา 09.30 น. โดยอัยการเตรียมนำ นายสุรเกียรติ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนายกล้านรงค์ จันทิก อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส)เข้าเบิกความ

**2 ปากสุดท้ายตอกฝาโลง

ด้านนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการฝ่ายคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน หนึ่งในคณะทำงานอัยการ กล่าวว่า นายสุรเกียรติ และนายกล้านรงค์ จะเป็นพยานอัยการ 2 ปากสุดท้ายที่จะนำเข้าเบิกความต่อศาล แต่ยังไม่ทราบว่าจะเสร็จสิ้นการไต่สวนในคดีนี้เลยหรือไม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจขององค์คณะผู้พิพากษาหากมีข้อที่ต้องการสอบถามบางประเด็นก็อาจมีหมายเรียกพยานบางปากเข้าไต่สวนได้ซึ่งถือว่าเป็นพยานของศาลโดยตรง

ส่วนกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มเสื้อแดง ออกมาให้ข่าวว่าศาลจะนัดฟังคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 6 ม.ค.2553 นั้น ในการไต่สวนพยานศาลไม่ได้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวกับคู่ความ ซึ่งตนเห็นว่าเป็นการคาดเดาซึ่งไม่มีความเป็นไปได้ คดีนี้เป็นระบบไต่สวน ตราบใดที่ศาลยังไม่บันทึกว่าเสร็จสิ้นกระบวนการพิจารณา นัดคู่ความส่งคำแถลงปิดคดี และนัดฟังคำพิพากษา ไม่มีทางทราบว่าศาลจะนัดพิพากษาวันใด ส่วนการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเข้าข่ายดูหมิ่นหรือละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ เป็นดุลยพินิจขององค์คณะผู้พิพากษา.
กำลังโหลดความคิดเห็น