เมเจอร์เตรียมเทเม็ดเงิน 800-1,000 ล้านบาท ผุดโรงภาพยนตร์อีก30-40 โรง เชื่อปีหน้าอุตสาหกรรมภาพยนตร์รวม คาดโต 10-12% ล่าสุดลุ้นโค้งสุดท้ายช่วยเข็นรายได้ขายตั๋วหนังแตะ 2,900 ล้านบาท เติบโตอีก 13%
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากที่คาดการณ์กันไว้ว่าปีหน้าภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะไม่โต เนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มีน้อย แต่ภาพยนตร์ไทยจะโต ทั้งนี้เชื่อว่าในภาพรวมก็น่าจะยังมีอัตราการเติบโตได้ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 10-12% เพราะดูจากภาพยนตร์ที่จะเข้าฉาย ส่วนใหญ่ยังเป็นภาพยนตร์ทำเงินทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศและภาพยนตร์ไทย เช่น แฮร์รี่พอร์ตเตอร์ ภาคจบ, นิวมูนภาค3,นเรศวร ภาค 3 และ 4 และองค์บาก
ส่งผลให้ในปีหน้าบริษัทยังพร้อมลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 800-1,000 ล้านบาท ขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มอีก30-40 โรง ทั้งในสาขาเก่าและสาขาใหม่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาทำเลที่มีความเหมาะสมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งในช่วงต้นปีหน้านี้พร้อมที่จะเปิดแล้วอีก 16 โรง
นอกจากนี้บริษัยังมีแผนที่จะขยายสาขาโรงภาพยนตร์เอสพละนาดในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาทำเลที่มีความเหมาะสม โดยมองว่าการขยายสาขาโรงภาพยนตร์เอสพละนาดในตลาดต่างจังหวัดเนื่องมาจากการขยายสาขาในรูปแบบสแตนอโลนค่อนข้างประสบความสำเร็จ ภายหลังจากให้บริการโรงภาพยนตร์เอสพละนาด สาขารัชดาภิเษก และล่าสุดได้เปิดให้บริการที่สาขา งามวงศ์วาน-แคราย ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจเช่าพื้นที่แล้วจำนวน 90% จากพื้นที่ขายทั้งหมด 10,000 ตร.ม. เนื่องจากไม่ต้องจ่ายค่าเช่าและสร้างโรงภาพยนตร์ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้า
นายวิชา กล่าวต่อว่า เดิมปีนี้บริษัทมองว่า ภาพรวมรายได้จากการจำหน่ายตั๋วหนัง จะทรงตัวไม่เติบโต เนื่องจากปัจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้นช่วงต้นปี แต่พอเข้าสู่ช่วงไตรมาสี่ ซึ่งมีภาพยนตร์เข้าฉายทำเงินหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น 2012 , นิวมูน หรือรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ซึ่งสร้างรายได้เรื่องละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมรายได้จากการขายตั๋วในสิ้นปีนี้น่าจะเติบโตขึ้น 10% หรือกว่า 200 ล้านบาท และหากรวมเรื่อง อวตาร์ เข้าไปด้วยแล้ว คาดว่า สิ้นปีน่าจะเติบโตถึง 13% คิดเป็นมูลค่าได้กว่า 2,900 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-12% ด้วย
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากที่คาดการณ์กันไว้ว่าปีหน้าภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์จะไม่โต เนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์มีน้อย แต่ภาพยนตร์ไทยจะโต ทั้งนี้เชื่อว่าในภาพรวมก็น่าจะยังมีอัตราการเติบโตได้ใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 10-12% เพราะดูจากภาพยนตร์ที่จะเข้าฉาย ส่วนใหญ่ยังเป็นภาพยนตร์ทำเงินทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ต่างประเทศและภาพยนตร์ไทย เช่น แฮร์รี่พอร์ตเตอร์ ภาคจบ, นิวมูนภาค3,นเรศวร ภาค 3 และ 4 และองค์บาก
ส่งผลให้ในปีหน้าบริษัทยังพร้อมลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนที่จะใช้งบประมาณ 800-1,000 ล้านบาท ขยายโรงภาพยนตร์เพิ่มอีก30-40 โรง ทั้งในสาขาเก่าและสาขาใหม่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาทำเลที่มีความเหมาะสมทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ซึ่งในช่วงต้นปีหน้านี้พร้อมที่จะเปิดแล้วอีก 16 โรง
นอกจากนี้บริษัยังมีแผนที่จะขยายสาขาโรงภาพยนตร์เอสพละนาดในจังหวัดหัวเมืองใหญ่ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาทำเลที่มีความเหมาะสม โดยมองว่าการขยายสาขาโรงภาพยนตร์เอสพละนาดในตลาดต่างจังหวัดเนื่องมาจากการขยายสาขาในรูปแบบสแตนอโลนค่อนข้างประสบความสำเร็จ ภายหลังจากให้บริการโรงภาพยนตร์เอสพละนาด สาขารัชดาภิเษก และล่าสุดได้เปิดให้บริการที่สาขา งามวงศ์วาน-แคราย ซึ่งขณะนี้มีผู้สนใจเช่าพื้นที่แล้วจำนวน 90% จากพื้นที่ขายทั้งหมด 10,000 ตร.ม. เนื่องจากไม่ต้องจ่ายค่าเช่าและสร้างโรงภาพยนตร์ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับการเช่าพื้นที่ในศูนย์การค้า
นายวิชา กล่าวต่อว่า เดิมปีนี้บริษัทมองว่า ภาพรวมรายได้จากการจำหน่ายตั๋วหนัง จะทรงตัวไม่เติบโต เนื่องจากปัจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้นช่วงต้นปี แต่พอเข้าสู่ช่วงไตรมาสี่ ซึ่งมีภาพยนตร์เข้าฉายทำเงินหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น 2012 , นิวมูน หรือรถไฟฟ้ามาหานะเธอ ซึ่งสร้างรายได้เรื่องละไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้ภาพรวมรายได้จากการขายตั๋วในสิ้นปีนี้น่าจะเติบโตขึ้น 10% หรือกว่า 200 ล้านบาท และหากรวมเรื่อง อวตาร์ เข้าไปด้วยแล้ว คาดว่า สิ้นปีน่าจะเติบโตถึง 13% คิดเป็นมูลค่าได้กว่า 2,900 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ก็คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-12% ด้วย