xs
xsm
sm
md
lg

ค่าเงินดอลล์ ดูไบ มาบตาพุด และปรับ ครม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

กรณ์ จาติกวณิช
"สมการการเมือง"
โดย...พาณิชย์ ภูมิพระราม

แม้ว่าตามรายงานของศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย. 2552 ปรับตัวดีขึ้น จาก 68.0 ในเดือนตุลาคม มาอยู่ที่  69.1 อีกทั้งดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานเพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคมที่ระดับ 66.9 มาอยู่ที่ 67.8 

แต่ดัชนีความเชื่อมั่นยังไม่ได้แสดงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง

เป็นเพียงปัจจัยที่บ่งบอกถึง “ความเป็นไปได้” อันเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของคนในประเทศ

คล้ายๆ กับข้อเสนอให้รัฐบาลหันมาสนใจสร้าง “ความเชื่อถือ” ซึ่งเป็นอุปสงค์ของระบบเศรษฐกิจ

เป็นการสร้างความหวัง การคาดการณ์เชิงบวกกับระบบเศรษฐกิจ เพราะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านด้านอุปทานได้ 

ความเชื่อมั่นในเดือน พ.ย.ที่ปรับตัวดีขึ้นนั้น ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเห็นว่า มีปัจจัยบวกมาจากการที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้น เงินบาทแข็งค่าเล็กน้อย การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เริ่มปรับตัวดีขึ้น ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลไม่มีการเปลี่ยนแปลง โครงการลงทุนตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งเริ่มมีเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ

แต่กระนั้นปัจจัยลบที่สำคัญคือ ผู้บริโภคยังกังวลสถานการณ์การเมือง  ปัญหาการระงับโครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด  ความไม่แน่นอนในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ภาวะการค้าระหว่างประเทศ

ผลการสำรวจดังกล่าวยังสอดคล้องกับผลการสำรวจของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เกี่ยวกับทัศนะประชาชนต่อการเมืองและสวัสดิการสังคมเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางสังคม เมื่อเร็วๆนี้ เกี่ยวกับ ปัญหาของประเทศที่ควรได้รับการแก้ไขมากที่สุด พบว่า ร้อยละ 23 เห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจเป็นปัญหาใหญ่ที่ควรได้รับการแก้ไข รองลงมา คือ ปัญหายาเสพติดและความยากจน ถัดมาคือปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง

ทั้งนี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ โดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

การที่ค่าเงินดอลลาร์พุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับเงินยูโรติดต่อกันหลายวัน ขณะที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐ (0.25%) ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของยูโร (1.00%) รวมทั้งการขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐ ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับอุปสรรคที่เศรษฐกิจโลกยังเผชิญอยู่

ที่สำคัญ เบน เบอร์นันเก้ ผู้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ ยังตอกย้ำถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจสหรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่ง

ทำให้โอกาสที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำไว้ระยะหนึ่งมีสูงมาก

นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ มีแนวโน้มอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง เพราะอัตราดอกเบี้ยสหรัฐยังอยู่ในระดับต่ำต่อไปจนกระทั่งครึ่งหลังของปี 2553 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ มีแนวโน้มลดลง ซึ่งทำให้แรงกดดันต่ออัตราอัตราดอกเบี้ยลดลง

นอกจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาล ตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อเป็นหลักประกัน ทำให้สภาพคล่องมีอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการว่างงาน และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยในอดีตที่ผ่านมา ธนาคารกลางสหรัฐ มักรอให้อัตราการว่างปรับตัวขึ้นไปสูงสุดก่อน จึงจะพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

ที่สำคัญการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐจำนวนมาก และเรื้อรัง กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในปีหน้า

ดังนั้นในระยะยาว ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งทองคำ น้ำมัน ถ่านหิน จึงมีแนวโน้มขาขึ้นเป็นสำคัญ

ตรงกันข้ามกับการที่เงินดอลลาร์แข็งค่า เมื่อเทียบกับสกุลทั่วโลก ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ก็ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสินค้าโภคภัณฑ์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน และทองคำ ที่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง ในระยะสั้น

จนกระทั่งนักวิเคราะห์บางส่วนเริ่มเห็นว่า ฟองสบู่ราคาทองคำ กำลังปริแตก

ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า ราคาทองคำ อาจจะปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 1,300 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในปีหน้า

การที่ราคาน้ำมันลดลงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการแข็งค่าต่อเนื่องของค่าเงินดอลล์สหรัฐฯ เพราะมีความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ การวิตกต่อรายงานสต็อกน้ำมัน
คาดการณ์กันว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบน่าจะอยู่ที่ระดับ 70-72 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล

ที่สำคัญกว่านั้น วิกฤติการเงินที่ ดูไบ ทำให้ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจโลกเริ่มมีมากขึ้น เพราะตลาดมีความกังวลว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอาจจะล่าช้ากว่าที่คาด

ความวิตกต่อดูไบรุนแรงมากขึ้น หลังจากมูดี้ส์ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่เกี่ยวกับดูไบ 6 แห่ง และจำเป็นต้องขายทรัพย์สินเพื่อระดมทุน แก้ปัญหาหนี้สินของดูไบเวิลด์



ปัญหาใหญ่อีกประการหนึ่งก็คือ ปัญหามาบตาพุด

แม้ “กรณ์ จาติกวณิช” รมว.คลัง ยืนกรานว่า ปัญหาดูไบ จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน เพราะดูไบมีหลักทรัพย์ค้ำประกันที่มีมูลค่าสูง

แต่ “ความเชื่อถือ” ต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกยังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ เพราะดูไบสะท้อนปัญหาที่ซ่อนอยู่ภายใน

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า มี 53 โครงการที่อยู่ในความรับผิดชอบของ กนอ. จากการถูกสั่งระงับของศาลฯ มีมูลค่าลงทุนรวม 213,855 ล้านบาท

แบ่งเป็น 1.โครงการที่ประกอบกิจการแล้ว 5 โครงการมูลค่า 27,189 ล้านบาท 2.โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 287 โครงการ มูลค่า 149,952 ล้านบาท 3.โครงการที่อยู่ระหว่างยื่นคำขอ 17 โครงการ มูลค่าลงทุน 25,443 ล้านบาท และ 4.โครงการที่ยังไม่ได้ยื่นคำขอ 4 โครงการ มูลค่า 11,271 ล้านบาท

ทั้งนี้ศาลปกครองสูงสุดมีคำวินิจฉัยกรณีอุทธรณ์คำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน ให้ระงับการดำเนินงาน 76 โครงการในพื้นที่มาบตาพุด, บ้านฉาง และบริเวณใกล้เคียงในจังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 52 สรุปว่า ให้ 11 โครงการ จาก 76 โครงการ สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนอีก 65โครงการที่เหลือให้ยืนยันคำสั่งศาลปกครองกลาง คือให้ระงับการดำเนินงานเป็นการชั่วคราว

นอกจากนี้ ผลกระทบที่สำคัญคือ เงินให้สินเชื่อแก่ทั้ง 76 โครงการรวมแล้วประมาณ 4 แสนล้านบาท อาจจะกลายเป็นหนี้ที่มีปัญหาในอนาคต

โดยธนาคารกรุงเทพ มีวงเงินให้สินเชื่อประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 6.6% ของยอดสินเชื่อรวม ณ สิ้นเดือนตุลาคม ธนาคารไทยพาณิชย์ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 6% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นเดือนตุลาคม ธนาคารกรุงไทย จำนวน 4 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 4% ของสินเชื่อรวม นครหลวงไทยวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 4% ของสินเชื่อรวม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 4,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.4% ของสินเชื่อรวม กสิกรไทยจำนวน 2,000 ล้านบาท คิดเป็น 0.2% ของสินเชื่อรวม

ก่อนหน้านี้ แบงก์ชาติประเมินความเสียหายไว้ว่า จะทำให้รายได้สุทธิของโครงการหายไปประมาณ 9.4 หมื่นล้านบาท และทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลงไปประมาณ 0.5%

ที่สำคัญที่สุด คือ กระบวนการแก้ไขต้องใช้ระยะเวลาอีกนานพอสมควร เพื่อดำเนินการปรับปรุงโครงการให้ผ่านมาตรฐานสุขภาพ (HIA) และมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) เนื่องจากต้องผ่านหลายขั้นตอน

นั่นทำให้ความคาดหวังของนักลงทุนต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ ยิ่งสูงขึ้นอีก

เช่นเดียวกับความคาดหวังของประชาชนที่ต้องการเห็นการปรับคณะรัฐมนตรี แม้ว่าจะยังไม่มีการเบิกจ่ายงบประมาณไทยเข้มแข็งเต็มที่มากนัก

จนทำให้ อภิสิทธิ์ไม่กล้าตอบคำถามการปรับครม. อย่างตรงๆ ด้วยเสียงดังๆ

แม้จะรู้เต็มอกว่า ผลงานยังไม่เข้าตากรรมการมากนัก รวมทั้งอำนาจการตัดสินใจก็ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การปรับครม. จำเป็นต้องเกิดขึ้น

มิเช่นนั้น ความคาดหวังที่เคยมีอยู่สูงอาจจะกลายเป็นความผิดหวังได้ไม่ยาก !!
กำลังโหลดความคิดเห็น