ASTVผู้จัดการรายวัน - “เฟรเกนท์” ทุ่ม 10 ล้านควงพันธมิตรโรงพยาบาล แบงก์ บริษัทเอกชนโรดโชว์ 10 ประเทศแถบเอเชีย ประเดิมประเทศพม่า หวังดึงเศรษฐีนอกใช้บริการสินค้าและลงทุนในไทย เชื่อไทยยังมีศักยภาพสูง แม้การเมืองบั่นทอนความเชื่อมั่น ระบุปี 53คอนโดฯปรับราคาขึ้น 5-10% ตามต้นทุน แถมดอกเบี้ยปรับขึ้นแน่หวั่นกระทบโครงการระดับกลาง-ล่าง
นาย เจมส์ ดูอัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเกนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช, ธนาคารกรุงไทย, คู่ค้าธุรกิจทั้งกลุ่มวัสดุก่อสร้าง บริษัทรับเหมารวมถึงบริษัทเอกชนไทยอื่นๆ เพื่อไปนำเสนอผลิตภัณฑ์ การให้บริการต่อนักลงทุนและกลุ่มลูกค้าระดับบนใน 10 ประเทศแถบเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ บังกลาเทศ ดูไบ เป็นต้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Bangkok Your Second Home” เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นเข้ามาใช้บริการทั้งซื้อบ้าน ใช้บริการทางการเงิน โรงพยาบาลหรือสั่งซื้อสินค้าของไทย
“สาเหตุที่เน้นเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย แทนที่จะไปยุโรปเพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้รู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี มีความศัทราต่อประเทศไทย มีศักยภาพในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการให้บริการ อีกทั้ง ราคาที่อยู่อาศัย ค่าใช้บริการหรือค่ารองชีพถูกกว่าในหลายๆ ประเทศ แต่คุณภาพเท่าเทียมกันหรือดีกว่าด้วยซ้ำ”
ส่วนสาเหตุที่บริษัทมีแนวคิดดังกล่าว เนื่องจากมีพันธมิตรในหลายประเทศ จึงอาศัยช่องทางนี้ในการนำเสนอโครงการ แต่จะต้องร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง เพิ่มความน่าสนใจและอำนาจการต่อรอง คาดว่าจะใช้เม็ดเงินในการโรดโชว์กว่า 10 ล้านบาท โดยวันที่ 11 ธ.ค.52 นี้จะนำร่องที่ประเทศพม่าเป็นประเทศแรก โดยเชิญนักธุรกิจกว่า 200 รายเข้ามาร่วมงาน หลังจากนั้นจะไปที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์,เวียดนาม,กัมพูชา,สิงคโปร์และบังคลาเทศ ซึ่งจะทำการโรดโชว์ประเทศละ 3 วัน ซึ่งในปีแรก 53 จะโรดโชว์ใน 5 ประเทศ ส่วนที่เหลือจะไปโรดโชว์ในปี 54
“พม่า เป็นประเทศแรกที่เราไปจัดโรดโชว์ ในรูปแบบของอีเวนต์ และสัมมนา ด้วยการเชิญนักธุรกิจพม่า มาฟังถึงผลประโยชน์จากการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยว่ายังดี ราคาถูก หากซื้อแล้วสามารถอยู่อาศัยเองหรือปล่อยให้เช่าได้ รวมไปถึงเรื่องกฎหมายการถือครองที่ดิน ก็เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนด ส่วนการเมืองในประเทศก็ถือว่าไม่รุนแรงมากนัก โดยบริษัทจะนำโครงการ Circle ไปโรดโชว์ แม้ว่าจะไม่เห็นผลในเรื่องของยอดขายแต่บริษัทเชื่อว่าจะเป็นการสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักต่อต่างชาติ และถือเป็นการวางอนาคตให้แก่บริษัท”
ระบุเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าสุด
นายเจมส์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 52 ตลาดโลกมีผลกระทบกันอย่างทั่วถึง อสังหาฯที่ในหลายประเทศราคาปรับลดลงมามากถึง 20-40% เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ดูไบ จีน แต่หลายประเทศมีการฟื้นตัวเร็วมากโดยเฉพาะจีนที่ใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนเท่านั้นเนื่องจากรัฐบาลทุ่มงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก
ในขณะที่ไทยราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ปรับตัวลงไปมากนัก แต่การฟื้นตัวกลับล่าช้ามาก สาเหตุอาจเนื่องมาจากรัฐบาลไทยไม่ได้มีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก อย่างไรก็ดีแม้ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมไม่ได้ลดลงมาก แต่อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในมือของนักลงทุนหรือนักเกร็งกำไร รวมถึงคอนโดมิเนียมที่อยู่รอบนอกเขตซีบีดี ราคากลับลดลงมาถึง 10-20% ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากตื่นตกใจจากภาวะเศรษฐกิจ จึงเทขายออกมา
สำหรับคอนโดมิเนียมในย่านCBD ราคาไม่ปรับลดลงมากนัก แต่ในช่วงที่มีปัญหาทางการเมืองในประเทศก็ส่งผลให้ลูกค้าชาวต่างชาติขาดความเชื่อมั่นและชะลอการตัดสินใจซื้อไปพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 53 ราคาขายคอนโดฯย่านCBD จะปรับตัวขึ้นอีกประมาณ 5-10% ตามแนวโน้มต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ
“นอกจากราคาคอนโดฯที่จะปรับขึ้นในปีหน้า ปัจจัยลบอีกประการคือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคที่ซื้อบ้านในระดับกลาง-ล่างได้รับผลกระทบต้องผ่อนชำระค่างวดเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการอนุมัติสินเชื่อของแบงก์ ทั้งเพื่อพัฒนาโครงการและลูกค้ารายย่อยยังยากขึ้นอีกด้วย” นายเจมส์ กล่าว
ปี53เปิดคอนโดฯใหม่ 1โครงการ
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 53 จะพัฒนาอีกอย่างน้อย 1 โครงการ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการ Circle ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 4 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมฯรูปแบบใกล้เคียงกับ Circle แต่มีขนาดห้องที่ใหญ่และราคาสูงกว่า รวมประมาณ 400-500 ยูนิต มูลค่าโครงการเกินกว่า 3,000 ล้านบาท ส่วนรายละเอียดต่างๆยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ คงต้องศึกษาข้อมูลและแนวโน้มตลาดในขณะนั้นด้วย ส่วนตลาดต่างจังหวัดคงไม่ไปลงทุน เนื่องจากไม่มีความชำนาญ สำหรับที่ดินบริเวณถนนจันทร์ ที่ทางบอร์ดบริษัทฯซื้อเก็บไว้ 1 แปลงนั้น ขณะนี้ยังคงไม่มีแผนนำมาพัฒนาแต่อย่างใด
“หลังจากที่เราขายห้องชุดในโครงการ Circle พบว่าการก่อสร้างห้องขนาดเล็กเกินไปไม่ใช่การทำตลาดที่ดี เพราะลูกค้าส่วนมากต้องการห้องที่มีขนาดใหญ่ ขนาด 2-3 ห้องนอนโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่จะมาพักผ่อนเป็นครอบครัว และส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง จะเป็นกลุ่มลูกค้าจากตะวันออกกลางกว่า 20% หากช่วงไหนที่ไม่ได้มาพักก็จะให้บริษัทบริหารจัดหาผู้เช่าให้ ส่วนลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุนมีไม่ถึง 20%”
สำหรับความคืบหน้าโครงการ ไพร์ม 11 บริเวณซอยสุขุมวิท11 ที่พัฒนาในรูปแบบอาคาร สูง 31 ชั้น จำนวน 196 ยูนิต ขนาด 34- 38 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 2-22 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ขณะนี้เหลือขายเพียง 8 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาด 3 ห้องนอน และเพ้นท์เฮาส์ โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 800 ล้านบาท
ส่วนโครงการ Circle ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เป็นคอนโดฯสูง 30 และ 43 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 901 ยูนิต ราคาขายตั้งแต่ 2.7-20 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ขณะนี้เหลือขายเพียง 140 ยูนิต คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 53 โดยปี 52 นี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 800 ล้านบาท จากปี 51 ที่มีรายได้ประมาณ 400-500 ล้านบาท
นาย เจมส์ ดูอัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเกนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนร่วมกับพันธมิตรธุรกิจ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช, ธนาคารกรุงไทย, คู่ค้าธุรกิจทั้งกลุ่มวัสดุก่อสร้าง บริษัทรับเหมารวมถึงบริษัทเอกชนไทยอื่นๆ เพื่อไปนำเสนอผลิตภัณฑ์ การให้บริการต่อนักลงทุนและกลุ่มลูกค้าระดับบนใน 10 ประเทศแถบเอเชีย โดยเฉพาะกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา มาเลเซีย สิงคโปร์ บังกลาเทศ ดูไบ เป็นต้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Bangkok Your Second Home” เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นเข้ามาใช้บริการทั้งซื้อบ้าน ใช้บริการทางการเงิน โรงพยาบาลหรือสั่งซื้อสินค้าของไทย
“สาเหตุที่เน้นเฉพาะประเทศในแถบเอเชีย แทนที่จะไปยุโรปเพราะกลุ่มประเทศเหล่านี้รู้จักประเทศไทยเป็นอย่างดี มีความศัทราต่อประเทศไทย มีศักยภาพในด้านต่างๆ โดยเฉพาะการให้บริการ อีกทั้ง ราคาที่อยู่อาศัย ค่าใช้บริการหรือค่ารองชีพถูกกว่าในหลายๆ ประเทศ แต่คุณภาพเท่าเทียมกันหรือดีกว่าด้วยซ้ำ”
ส่วนสาเหตุที่บริษัทมีแนวคิดดังกล่าว เนื่องจากมีพันธมิตรในหลายประเทศ จึงอาศัยช่องทางนี้ในการนำเสนอโครงการ แต่จะต้องร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจ เพื่อสร้างความแข็งแกร่ง เพิ่มความน่าสนใจและอำนาจการต่อรอง คาดว่าจะใช้เม็ดเงินในการโรดโชว์กว่า 10 ล้านบาท โดยวันที่ 11 ธ.ค.52 นี้จะนำร่องที่ประเทศพม่าเป็นประเทศแรก โดยเชิญนักธุรกิจกว่า 200 รายเข้ามาร่วมงาน หลังจากนั้นจะไปที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์,เวียดนาม,กัมพูชา,สิงคโปร์และบังคลาเทศ ซึ่งจะทำการโรดโชว์ประเทศละ 3 วัน ซึ่งในปีแรก 53 จะโรดโชว์ใน 5 ประเทศ ส่วนที่เหลือจะไปโรดโชว์ในปี 54
“พม่า เป็นประเทศแรกที่เราไปจัดโรดโชว์ ในรูปแบบของอีเวนต์ และสัมมนา ด้วยการเชิญนักธุรกิจพม่า มาฟังถึงผลประโยชน์จากการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยว่ายังดี ราคาถูก หากซื้อแล้วสามารถอยู่อาศัยเองหรือปล่อยให้เช่าได้ รวมไปถึงเรื่องกฎหมายการถือครองที่ดิน ก็เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนด ส่วนการเมืองในประเทศก็ถือว่าไม่รุนแรงมากนัก โดยบริษัทจะนำโครงการ Circle ไปโรดโชว์ แม้ว่าจะไม่เห็นผลในเรื่องของยอดขายแต่บริษัทเชื่อว่าจะเป็นการสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จักต่อต่างชาติ และถือเป็นการวางอนาคตให้แก่บริษัท”
ระบุเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้าสุด
นายเจมส์ กล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมตลาดหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 52 ตลาดโลกมีผลกระทบกันอย่างทั่วถึง อสังหาฯที่ในหลายประเทศราคาปรับลดลงมามากถึง 20-40% เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ดูไบ จีน แต่หลายประเทศมีการฟื้นตัวเร็วมากโดยเฉพาะจีนที่ใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนเท่านั้นเนื่องจากรัฐบาลทุ่มงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมาก
ในขณะที่ไทยราคาอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ปรับตัวลงไปมากนัก แต่การฟื้นตัวกลับล่าช้ามาก สาเหตุอาจเนื่องมาจากรัฐบาลไทยไม่ได้มีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมากนัก อย่างไรก็ดีแม้ว่าราคาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมไม่ได้ลดลงมาก แต่อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในมือของนักลงทุนหรือนักเกร็งกำไร รวมถึงคอนโดมิเนียมที่อยู่รอบนอกเขตซีบีดี ราคากลับลดลงมาถึง 10-20% ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากตื่นตกใจจากภาวะเศรษฐกิจ จึงเทขายออกมา
สำหรับคอนโดมิเนียมในย่านCBD ราคาไม่ปรับลดลงมากนัก แต่ในช่วงที่มีปัญหาทางการเมืองในประเทศก็ส่งผลให้ลูกค้าชาวต่างชาติขาดความเชื่อมั่นและชะลอการตัดสินใจซื้อไปพอสมควร แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าในปี 53 ราคาขายคอนโดฯย่านCBD จะปรับตัวขึ้นอีกประมาณ 5-10% ตามแนวโน้มต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการ
“นอกจากราคาคอนโดฯที่จะปรับขึ้นในปีหน้า ปัจจัยลบอีกประการคือแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคที่ซื้อบ้านในระดับกลาง-ล่างได้รับผลกระทบต้องผ่อนชำระค่างวดเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการอนุมัติสินเชื่อของแบงก์ ทั้งเพื่อพัฒนาโครงการและลูกค้ารายย่อยยังยากขึ้นอีกด้วย” นายเจมส์ กล่าว
ปี53เปิดคอนโดฯใหม่ 1โครงการ
สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 53 จะพัฒนาอีกอย่างน้อย 1 โครงการ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการ Circle ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 4 ไร่ มีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมฯรูปแบบใกล้เคียงกับ Circle แต่มีขนาดห้องที่ใหญ่และราคาสูงกว่า รวมประมาณ 400-500 ยูนิต มูลค่าโครงการเกินกว่า 3,000 ล้านบาท ส่วนรายละเอียดต่างๆยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ คงต้องศึกษาข้อมูลและแนวโน้มตลาดในขณะนั้นด้วย ส่วนตลาดต่างจังหวัดคงไม่ไปลงทุน เนื่องจากไม่มีความชำนาญ สำหรับที่ดินบริเวณถนนจันทร์ ที่ทางบอร์ดบริษัทฯซื้อเก็บไว้ 1 แปลงนั้น ขณะนี้ยังคงไม่มีแผนนำมาพัฒนาแต่อย่างใด
“หลังจากที่เราขายห้องชุดในโครงการ Circle พบว่าการก่อสร้างห้องขนาดเล็กเกินไปไม่ใช่การทำตลาดที่ดี เพราะลูกค้าส่วนมากต้องการห้องที่มีขนาดใหญ่ ขนาด 2-3 ห้องนอนโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่จะมาพักผ่อนเป็นครอบครัว และส่วนใหญ่จะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง จะเป็นกลุ่มลูกค้าจากตะวันออกกลางกว่า 20% หากช่วงไหนที่ไม่ได้มาพักก็จะให้บริษัทบริหารจัดหาผู้เช่าให้ ส่วนลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุนมีไม่ถึง 20%”
สำหรับความคืบหน้าโครงการ ไพร์ม 11 บริเวณซอยสุขุมวิท11 ที่พัฒนาในรูปแบบอาคาร สูง 31 ชั้น จำนวน 196 ยูนิต ขนาด 34- 38 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 2-22 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ขณะนี้เหลือขายเพียง 8 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นห้องขนาด 3 ห้องนอน และเพ้นท์เฮาส์ โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 800 ล้านบาท
ส่วนโครงการ Circle ซึ่งตั้งอยู่บริเวณถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เป็นคอนโดฯสูง 30 และ 43 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 901 ยูนิต ราคาขายตั้งแต่ 2.7-20 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ขณะนี้เหลือขายเพียง 140 ยูนิต คาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ภายในปี 53 โดยปี 52 นี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 800 ล้านบาท จากปี 51 ที่มีรายได้ประมาณ 400-500 ล้านบาท