ASTVผู้จัดการรายวัน- “บีโอไอ”โล่งปีนี้เม็ดเงินลงทุนเกิน 4 แสนล้านบาทเกินเป้าหมายแน่หลัง 11 เดือนเม็ดเงินแตะ 3.9 แสนล้านบาทแล้ว ตั้งเป้าหมายปี 53 ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ขณะที่ผลหารือหอการค้าต่างประเทศหวั่นข้อพิพาทแรงงานในไทยเพิ่มขึ้น บีโอไอเตรียมถกกระทรวงอุตฯ แรงงาน หาทางออก
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยหลังการหารือร่วมกับหอการค้าต่างประเทศในไทย วานนี้(2ธ.ค.) ว่า แนวโน้มการลงทุนตรงจากต่างประเทศ(FDI) ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้เพิ่มขึ้นส่งผลให้ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งปีจะเกินระดับ 4 แสนล้านบาทแน่นอนโดยล่าสุด 11 เดือนมียอดขอรับส่งเสริมฯ 1,040 รายมูลค่า 3.93 แสนล้านบาท และในจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนของ FDI ประมาณ 1.54 แสนล้านบาท
สำหรับปี 2553 ยอมรับว่าประเด็นปัญหาของมาบตาพุดจะมีผลให้การดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่น ปิโตรเคมี เหล็ก จะเป็นเรื่องที่ลำบากมากขึ้นดังนั้นจะต้องมองอุตสาหกรรมอื่นทดแทนซึ่งมูลค่าการลงทุนคงจะไม่มากนักแต่ก็คงจะต้องดำเนินการ อย่างไรก็ตามบีโอไอก็จะยังคงเป้าหมายที่จะเห็นระดับการขอรับการส่งเสริมฯปีหน้าที่ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้จากการหารือกับเอกชนครั้งนี้ส่วนใหญ่นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงานที่มีเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออกและส่วนใหญ่เกิดจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องเกี่ยวกับชิ้นส่วนประกอบจำนวนมากเมื่อมีปัญหากับบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็จะกระทบภาพรวมของอุตสาหกรรมหลักส่งผลให้ที่ผ่านมาบางครั้งถึงขั้นต้องปิดกิจการไปแล้วก็มีดังนั้นที่ประชุมจึงได้เสนอให้มีการหารือร่วมกันอีกครั้งระหว่างบีโอไอ กระทรวงอุตสาหกรรม หอการค้าต่างประเทศในไทยและกระทรวงแรงงานเพื่อหาวิธีการแก้ไข
“ประเด็นนี้จะต้องมีการนัดคุยกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาทางแก้ไขเพราะเขาก็เริ่มวิตกกันมากขึ้นหากปล่อยไว้จะกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นการลงทุนไทยได้ นอกจากนี้นักลงทุนยังห่วงเรื่องพระราชบัญญัติแรงงานต่างด้าวว่าจะกระทบต่อการลงทุนหรือไม่อย่างไร ทางบีโอไอก็ได้ชี้แจงแล้วว่าประเด็นดังกล่าวจะไม่กระทบแน่นอน
นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยหลังการหารือร่วมกับหอการค้าต่างประเทศในไทย วานนี้(2ธ.ค.) ว่า แนวโน้มการลงทุนตรงจากต่างประเทศ(FDI) ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้เพิ่มขึ้นส่งผลให้ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนทั้งปีจะเกินระดับ 4 แสนล้านบาทแน่นอนโดยล่าสุด 11 เดือนมียอดขอรับส่งเสริมฯ 1,040 รายมูลค่า 3.93 แสนล้านบาท และในจำนวนดังกล่าวเป็นส่วนของ FDI ประมาณ 1.54 แสนล้านบาท
สำหรับปี 2553 ยอมรับว่าประเด็นปัญหาของมาบตาพุดจะมีผลให้การดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่เช่น ปิโตรเคมี เหล็ก จะเป็นเรื่องที่ลำบากมากขึ้นดังนั้นจะต้องมองอุตสาหกรรมอื่นทดแทนซึ่งมูลค่าการลงทุนคงจะไม่มากนักแต่ก็คงจะต้องดำเนินการ อย่างไรก็ตามบีโอไอก็จะยังคงเป้าหมายที่จะเห็นระดับการขอรับการส่งเสริมฯปีหน้าที่ไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท
ทั้งนี้จากการหารือกับเอกชนครั้งนี้ส่วนใหญ่นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทแรงงานที่มีเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออกและส่วนใหญ่เกิดจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีอุตสาหกรรมต่อเนื่องเกี่ยวกับชิ้นส่วนประกอบจำนวนมากเมื่อมีปัญหากับบริษัทใดบริษัทหนึ่งก็จะกระทบภาพรวมของอุตสาหกรรมหลักส่งผลให้ที่ผ่านมาบางครั้งถึงขั้นต้องปิดกิจการไปแล้วก็มีดังนั้นที่ประชุมจึงได้เสนอให้มีการหารือร่วมกันอีกครั้งระหว่างบีโอไอ กระทรวงอุตสาหกรรม หอการค้าต่างประเทศในไทยและกระทรวงแรงงานเพื่อหาวิธีการแก้ไข
“ประเด็นนี้จะต้องมีการนัดคุยกันอีกครั้งหนึ่งเพื่อหาทางแก้ไขเพราะเขาก็เริ่มวิตกกันมากขึ้นหากปล่อยไว้จะกระทบต่อภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นการลงทุนไทยได้ นอกจากนี้นักลงทุนยังห่วงเรื่องพระราชบัญญัติแรงงานต่างด้าวว่าจะกระทบต่อการลงทุนหรือไม่อย่างไร ทางบีโอไอก็ได้ชี้แจงแล้วว่าประเด็นดังกล่าวจะไม่กระทบแน่นอน