วิธีคิดและตัดสินใจของ “แอน-สิเรียม” พลาดอย่างแรงที่หลบหน้าผู้คนไปโดยไม่บอกไม่กล่าว อย่างน้อยกับ “ปัญญา นิรันดร์กุล” เจ้านายที่ให้โอกาสสิเรียมได้เกิดอีกหนในวงการพิธีกรโทรทัศน์หลังจากที่บทบาท “นางเอก” หน้าตกกระถึงคราว “หมดอายุ”
ข่าวบางกระแสบอกว่าสิเรียมพา “นนนี่” ลูกสาวคนเดียวหนีไปอยู่อังกฤษ แต่บางกระแสบอกว่าเธอพาลูกหลบไปอยู่อเมริกา
ไม่ว่าจะกระแสไหน ที่แน่ๆ คือ สิเรียมพาลูกสาวหลบพายุชีวิตและ “พายัพ” ไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถูกสังคมรอบข้างกดดันอย่างหนัก จะสาหัสแค่ไหน? ก็แค่แม่แอน-ลูกนนนี่กอดกันร้องไห้ทุกวัน และ “แม่อ๋อย” ของสิเรียมถูกข่มขู่ทางสายโทรศัพท์ ส่วนบ้านช่องก็ถูกติดตามรังควานไม่หยุดหย่อน
โรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็นสิเรียมจะได้เห็นใจคนก็คราวนี้ เพราะหลังจากเจ้าพ่อเวิร์ค พ้อยท์ กลับมาจากต่างประเทศ และพบว่า แม่เหล็กของรายการชิงช้าสวรรค์หนีเองช้ำเองไปต่างแดน ดูเหมือนมหาเศรษฐีชิงร้อยชิงร้านจะคุกรุ่นอยู่ไม่น้อย ด้วยถ้อยสัมภาษณ์คล้ายตัดบัวไม่เหลือใย และไม่ง้อสิเรียมให้คืนกลับเวที
ส่วนสาวสิเรียมก็ลี้หนีหน้าหายเข้ากลีบเมฆในมหานครลอสแองเจลิส และซานฟรานซิสโก กับงานโชว์ตัวช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ กว่าจะคืนเมืองไทยก็จะปาเข้าไปปลายเดือนมกราคม และจะกลับมาทำมาหากินในวงการบันเทิงไทยต่อไปหรือไม่ สิเรียมตอบผ่านแม่อ๋อยเบาๆ ว่า “ขอคิดดูก่อน ตอนนี้อยากพัก อยากสงบใจ”
ด้าน “นนนี่” ลูกสาวสุดสวาทขาดใจ ถูกเพื่อนๆ แม่สิเรียมพาไปฝากไว้ที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ โดยพา “สาวใช้” คนสนิทไปอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวระหว่างเข้าชั้นเรียนเพื่อปรับพื้นฐานภาษา เพราะวาดอนาคตไว้ว่า ถ้านนนี่เข้มแข็งทั้งจิตใจและภาษาอังกฤษดีแล้ว เป้าหมายสุดท้าย คือ ซานฟรานซิสโก
ข้าง “บิลลี่” ร็อกเสื้อเหลือง-พ่อของนนนี่ ที่ก่อนหน้านี้เคยอพยพไปทำงานร้านอาหารไทยที่อเมริกามาพักใหญ่ ก่อนจะกลับเมืองไทยแล้วยังไม่ได้ทำงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน เพื่อให้สมศักดิ์ศรี “บิลลี่เข้ม” เลยสักนิด แต่ด้วยความเป็นพ่อบังเกิดเกล้า บิลลี่พยายามแล้วพยายามเล่าเพื่อดึงลูกสาวไว้กับอ้อมอก จนเกิดปากเสียงกับสิเรียมยกใหญ่ เมื่อนางเอก-พิธีกรสาวสวยทนไม่ไหวกับสายตาผู้คนที่กดดันอย่างหนัก หลังความลับเรื่องความรักครั้งใหม่ของเธอแตกดังโพล๊ะจากเพื่อนสาวปากเสีย จนสุดท้ายก็ใช้วิธีหอบลูกหนีเสียงนินทา และหนีพายัพไปต่างแดน
ฝ่าย “พายัพ” ซึ่งหายเงียบไปกับข่าวสิเรียมหอบลูกสาวหนี ยังกบดานทำไม่รู้ไม่ชี้กรณีข่มขู่แม่อ๋อยของสิเรียมจนกลัวลาน แต่ลูกชายของพายัพคนหนึ่งเรียนอยู่อเมริกา ส่วนอีกคนบวชให้พ่อ-แม่ได้บุญที่อินเดีย และที่สิเรียมเลือกหนีไปอเมริกาก็ไม่ใช่เพราะอะไร แค่พายัพออกจะเหนื่อยหากต้องขอวีซ่าอเมริกาเท่านั้นเอง
หลายคนถามกันเซ็งแซ่ว่า แอน-สิเรียมหนีพายัพไปกับใคร ตอบได้สั้นๆ ว่า พันธมิตรฯ รักคุณเท่าฟ้า – พันธมิตรฯ สุขุมวิท และพันธมิตรฯ อเมริกา ล้วนแต่เป็นแม่อุปถัมภ์ เป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ และ เป็นคนดีที่ทนเห็นสิเรียมตกอยู่ในอ้อมอกพายัพน้องทักษิณไม่ได้ คณะญาติกลุ่มนี้ช่วยกันคนละไม้ละมือ ทั้งหาโรงเรียนให้น้องนนนี่ และหาที่อยู่ที่กินพร้อมงานโชว์ตัวในช่วงหลบภัยให้สิเรียม
ชีวิตจริงเหน็ดเหนื่อยร้อนแรงยิ่งกว่านิยาย หรือละครเรื่องใดที่สิเรียมเคยสวมบทบาท ทำท่าว่างานนี้ออกจะเรื่องยาว เมื่อปัญญา นิรันดร์กุลออกมาฟูมฟายฟาดงวงฟาดงาใส่สิเรียมราวกับเธอไปไม่ลามาไม่ไหว้ ไม่น่าเอ็นดูจะออกแนวอกตัญญูไปเสียฉิบ
ถามไถ่คนใกล้ตัวสิเรียมที่อเมริกาความว่า ก่อนหน้าจะหอบลูกหนีพายัพ สิเรียมเคยพยายามบอกปัญญาว่าขอลาก่อน แต่ปัญญาคงใหญ่มากและยุ่งขิง จึงไม่อินังขังขอบกับหน้าตาอิดโรยราวคนแบกทุกข์ของสิเรียม
อดีตนางเอกที่หวังน้ำบ่อหน้าแต่พลาดท่าไปดูไบกับเสี่ยพายัพจนชีวิตยับย่อย เลยหอบใจยับเยินตัดสินใจหนีไปไม่บอกซ้ำ แต่ย้ำฝากคนไกลมายังคนเคยใกล้ว่า “มกราคมปีหน้าอาจกลับมา...ปัญญาจะรอไหวไหมจ๊ะ”
จะรอได้หรือไม่ใครจะรู้...รู้แต่ว่าที่เสี่ยปัญญาทำท่าว่า ใครๆ ก็แทนสิเรียมได้ เห็นจะเป็นคำตอบสุดท้ายแก้ขวยเขินละกระมัง เพราะสปอนเซอร์รายการชิงช้าสวรรค์เริ่มงอแงเมื่อไม่มีสิเรียม...ชะชะช่ามาซีลอน...สิเรียมเสน่ห์แรง
เฮ้อ...เพราะเรื่องชาวบ้านคืองานของเราแท้ๆ หมดเรื่องสิเรียมแล้ว ขอเลยเถิดมาถึงเรื่องข่าวคราวความเจ็บไข้ได้ป่วยของบรรดานักการเมืองกันบ้าง
“บิ๊กจิ๋ว” ซึ่งเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยวซ้ำซากจนทนไม่ไหว พาท้องอืดๆ ไปพบแพทย์ที่รพ.พระมงกุฏฯ ในช่วงทักษิณเหยียบพนมเปญ ปรากฏว่าหมอไปตรวจพบ “ก้อนเนื้อ” ในลำไส้ใหญ่ เลยพาบิ๊กจิ๋วขึ้นเขียงตัดเนื้อร้ายที่กำลังกลายเป็นมะเร็งขั้นเบบี๋ และตอนส่งกลับ หมอสั่งว่า ให้ระมัดระวังการกิน เพราะก้อนเนื้อร้ายสามารถหวนกลับมาได้ทุกเวลา
“พี่เหลิม” แฟนฉันตอนนี้ต้องปรับปรุงการใช้ชีวิตและสุขภาพด่วน เพราะอยู่ดีๆ เกิดอาการจุกเสียดหน้าอกจนหูอื้อตาลายเสียอาการทรงตัว เลยหอบร่างร่อแร่ไปหาหมอที่ ร.พ.พระมงกุฏฯ เช่นกัน และในเวลาไล่เลี่ยกับพี่จิ๋วด้วย
รายนี้หมอตรวจเจอกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเส้นเลือดหัวใจอุดตันนิดหน่อย
หมอวินิจฉัยโรคเสร็จบอกให้เตรียมตัวไว้ จะผ่าตัดจะบายพาสปีหน้าก็ยังทัน แต่พี่เหลิมทั้งรักสุขภาพและหวาดกลัวตัวตาย แถมไม่อยากไปหาทักษิณถึงพนมเปญ เลยปีนขึ้นเขียงบังคับให้หมอผ่าหัวใจให้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น ตอนนี้กลับบ้านนอนถนอมหัวใจให้เต้นต่อไป เพราะไม่อยากกลับบ้านเก่าไปก่อนถึงวัยอันควร
“ป๋าเหนาะ” รายนี้ด้วยความที่พันธมิตรฯ มีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง อยู่ๆ ก็มีพันธมิตรฯ วิ่งโร่มาแจ้งข่าวว่า เขาเจอป๋าเหนาะผอมโกรกนั่งรถเข็นเข้าโรงพยาบาลใหญ่กลางสุขุมวิท พันธมิตรฯ ของเราก็เร็วจี๋วิ่งตามไปดักหน้าขอมองป๋าให้เต็มตาในฐานะคนเคยขึ้นเวทีด่าทักษิณ-พจมานด้วยกันเมื่อคราว “กู้ชาติ” ท้องสนามหลวง
เมื่อเห็นป๋าเต็มตาพันธมิตรฯ ถึงครางว่า “ยายเนื่อมมีจริง” เพราะป๋าผ่ายผอมไม่ใช่ตรอมใจแต่เป็นเพราะโรคภัย แต่ก็ไม่แน่ใจอยากให้ป้าอุไรวรรณช่วยตอบทีที่เขาลือกันว่า ป๋าปั้นนายกฯ คนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะมะเร็งร้ากำลังจ๊ะเอ๋ที่ถุงน้ำดีของป๋า จริงป่ะ...ป้าตอบที
จะว่าไปก็น่ากลัวเนอะ...มะเร็งทำงานหนักจริง ตั้งแต่ผู้คนที่ทำเรื่อง “เขาพระวิหาร” ไปดูสิ ล้วนแต่เป็นมะเร็งตายตกไปตามๆ กันทั้งนั้นเลย ที่เหลือใช่ว่าจะรอด รอคอยวันมาถึงเท่านั้นเอง
เนี่ยมีข่าวว่าพี่ตักขี้จะขี่เครื่องบินหรูจากมอนเตเนโกรมาลงพนมเปญอีกแล้ว ความว่าต้องตรวจสุขภาพประจำปี พร้อมๆ กับ “บี้” กันให้หมดจดในเกมสุดท้ายที่จ่ายหนักด้วย “เงินครึ่งหนึ่ง” จากทั้งกองใหญ่
แค่ได้ยิน “ผีโม่แป้ง” ก็ตาโต น้ำลายไหลแล้ว
นึกๆ ก็ให้เสียดาย...ถ้ากฎหมายทำงานแทนที่มะเร็งร้าย อะไรๆ ในบ้านเมืองเราคงจะดีกว่านี้แน่
ข่าวบางกระแสบอกว่าสิเรียมพา “นนนี่” ลูกสาวคนเดียวหนีไปอยู่อังกฤษ แต่บางกระแสบอกว่าเธอพาลูกหลบไปอยู่อเมริกา
ไม่ว่าจะกระแสไหน ที่แน่ๆ คือ สิเรียมพาลูกสาวหลบพายุชีวิตและ “พายัพ” ไปอยู่ต่างประเทศ เพราะถูกสังคมรอบข้างกดดันอย่างหนัก จะสาหัสแค่ไหน? ก็แค่แม่แอน-ลูกนนนี่กอดกันร้องไห้ทุกวัน และ “แม่อ๋อย” ของสิเรียมถูกข่มขู่ทางสายโทรศัพท์ ส่วนบ้านช่องก็ถูกติดตามรังควานไม่หยุดหย่อน
โรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็นสิเรียมจะได้เห็นใจคนก็คราวนี้ เพราะหลังจากเจ้าพ่อเวิร์ค พ้อยท์ กลับมาจากต่างประเทศ และพบว่า แม่เหล็กของรายการชิงช้าสวรรค์หนีเองช้ำเองไปต่างแดน ดูเหมือนมหาเศรษฐีชิงร้อยชิงร้านจะคุกรุ่นอยู่ไม่น้อย ด้วยถ้อยสัมภาษณ์คล้ายตัดบัวไม่เหลือใย และไม่ง้อสิเรียมให้คืนกลับเวที
ส่วนสาวสิเรียมก็ลี้หนีหน้าหายเข้ากลีบเมฆในมหานครลอสแองเจลิส และซานฟรานซิสโก กับงานโชว์ตัวช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ กว่าจะคืนเมืองไทยก็จะปาเข้าไปปลายเดือนมกราคม และจะกลับมาทำมาหากินในวงการบันเทิงไทยต่อไปหรือไม่ สิเรียมตอบผ่านแม่อ๋อยเบาๆ ว่า “ขอคิดดูก่อน ตอนนี้อยากพัก อยากสงบใจ”
ด้าน “นนนี่” ลูกสาวสุดสวาทขาดใจ ถูกเพื่อนๆ แม่สิเรียมพาไปฝากไว้ที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ โดยพา “สาวใช้” คนสนิทไปอยู่เป็นเพื่อนลูกสาวระหว่างเข้าชั้นเรียนเพื่อปรับพื้นฐานภาษา เพราะวาดอนาคตไว้ว่า ถ้านนนี่เข้มแข็งทั้งจิตใจและภาษาอังกฤษดีแล้ว เป้าหมายสุดท้าย คือ ซานฟรานซิสโก
ข้าง “บิลลี่” ร็อกเสื้อเหลือง-พ่อของนนนี่ ที่ก่อนหน้านี้เคยอพยพไปทำงานร้านอาหารไทยที่อเมริกามาพักใหญ่ ก่อนจะกลับเมืองไทยแล้วยังไม่ได้ทำงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน เพื่อให้สมศักดิ์ศรี “บิลลี่เข้ม” เลยสักนิด แต่ด้วยความเป็นพ่อบังเกิดเกล้า บิลลี่พยายามแล้วพยายามเล่าเพื่อดึงลูกสาวไว้กับอ้อมอก จนเกิดปากเสียงกับสิเรียมยกใหญ่ เมื่อนางเอก-พิธีกรสาวสวยทนไม่ไหวกับสายตาผู้คนที่กดดันอย่างหนัก หลังความลับเรื่องความรักครั้งใหม่ของเธอแตกดังโพล๊ะจากเพื่อนสาวปากเสีย จนสุดท้ายก็ใช้วิธีหอบลูกหนีเสียงนินทา และหนีพายัพไปต่างแดน
ฝ่าย “พายัพ” ซึ่งหายเงียบไปกับข่าวสิเรียมหอบลูกสาวหนี ยังกบดานทำไม่รู้ไม่ชี้กรณีข่มขู่แม่อ๋อยของสิเรียมจนกลัวลาน แต่ลูกชายของพายัพคนหนึ่งเรียนอยู่อเมริกา ส่วนอีกคนบวชให้พ่อ-แม่ได้บุญที่อินเดีย และที่สิเรียมเลือกหนีไปอเมริกาก็ไม่ใช่เพราะอะไร แค่พายัพออกจะเหนื่อยหากต้องขอวีซ่าอเมริกาเท่านั้นเอง
หลายคนถามกันเซ็งแซ่ว่า แอน-สิเรียมหนีพายัพไปกับใคร ตอบได้สั้นๆ ว่า พันธมิตรฯ รักคุณเท่าฟ้า – พันธมิตรฯ สุขุมวิท และพันธมิตรฯ อเมริกา ล้วนแต่เป็นแม่อุปถัมภ์ เป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ และ เป็นคนดีที่ทนเห็นสิเรียมตกอยู่ในอ้อมอกพายัพน้องทักษิณไม่ได้ คณะญาติกลุ่มนี้ช่วยกันคนละไม้ละมือ ทั้งหาโรงเรียนให้น้องนนนี่ และหาที่อยู่ที่กินพร้อมงานโชว์ตัวในช่วงหลบภัยให้สิเรียม
ชีวิตจริงเหน็ดเหนื่อยร้อนแรงยิ่งกว่านิยาย หรือละครเรื่องใดที่สิเรียมเคยสวมบทบาท ทำท่าว่างานนี้ออกจะเรื่องยาว เมื่อปัญญา นิรันดร์กุลออกมาฟูมฟายฟาดงวงฟาดงาใส่สิเรียมราวกับเธอไปไม่ลามาไม่ไหว้ ไม่น่าเอ็นดูจะออกแนวอกตัญญูไปเสียฉิบ
ถามไถ่คนใกล้ตัวสิเรียมที่อเมริกาความว่า ก่อนหน้าจะหอบลูกหนีพายัพ สิเรียมเคยพยายามบอกปัญญาว่าขอลาก่อน แต่ปัญญาคงใหญ่มากและยุ่งขิง จึงไม่อินังขังขอบกับหน้าตาอิดโรยราวคนแบกทุกข์ของสิเรียม
อดีตนางเอกที่หวังน้ำบ่อหน้าแต่พลาดท่าไปดูไบกับเสี่ยพายัพจนชีวิตยับย่อย เลยหอบใจยับเยินตัดสินใจหนีไปไม่บอกซ้ำ แต่ย้ำฝากคนไกลมายังคนเคยใกล้ว่า “มกราคมปีหน้าอาจกลับมา...ปัญญาจะรอไหวไหมจ๊ะ”
จะรอได้หรือไม่ใครจะรู้...รู้แต่ว่าที่เสี่ยปัญญาทำท่าว่า ใครๆ ก็แทนสิเรียมได้ เห็นจะเป็นคำตอบสุดท้ายแก้ขวยเขินละกระมัง เพราะสปอนเซอร์รายการชิงช้าสวรรค์เริ่มงอแงเมื่อไม่มีสิเรียม...ชะชะช่ามาซีลอน...สิเรียมเสน่ห์แรง
เฮ้อ...เพราะเรื่องชาวบ้านคืองานของเราแท้ๆ หมดเรื่องสิเรียมแล้ว ขอเลยเถิดมาถึงเรื่องข่าวคราวความเจ็บไข้ได้ป่วยของบรรดานักการเมืองกันบ้าง
“บิ๊กจิ๋ว” ซึ่งเกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อเรอเหม็นเปรี้ยวซ้ำซากจนทนไม่ไหว พาท้องอืดๆ ไปพบแพทย์ที่รพ.พระมงกุฏฯ ในช่วงทักษิณเหยียบพนมเปญ ปรากฏว่าหมอไปตรวจพบ “ก้อนเนื้อ” ในลำไส้ใหญ่ เลยพาบิ๊กจิ๋วขึ้นเขียงตัดเนื้อร้ายที่กำลังกลายเป็นมะเร็งขั้นเบบี๋ และตอนส่งกลับ หมอสั่งว่า ให้ระมัดระวังการกิน เพราะก้อนเนื้อร้ายสามารถหวนกลับมาได้ทุกเวลา
“พี่เหลิม” แฟนฉันตอนนี้ต้องปรับปรุงการใช้ชีวิตและสุขภาพด่วน เพราะอยู่ดีๆ เกิดอาการจุกเสียดหน้าอกจนหูอื้อตาลายเสียอาการทรงตัว เลยหอบร่างร่อแร่ไปหาหมอที่ ร.พ.พระมงกุฏฯ เช่นกัน และในเวลาไล่เลี่ยกับพี่จิ๋วด้วย
รายนี้หมอตรวจเจอกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ และเส้นเลือดหัวใจอุดตันนิดหน่อย
หมอวินิจฉัยโรคเสร็จบอกให้เตรียมตัวไว้ จะผ่าตัดจะบายพาสปีหน้าก็ยังทัน แต่พี่เหลิมทั้งรักสุขภาพและหวาดกลัวตัวตาย แถมไม่อยากไปหาทักษิณถึงพนมเปญ เลยปีนขึ้นเขียงบังคับให้หมอผ่าหัวใจให้เร็วกว่าที่ควรจะเป็น ตอนนี้กลับบ้านนอนถนอมหัวใจให้เต้นต่อไป เพราะไม่อยากกลับบ้านเก่าไปก่อนถึงวัยอันควร
“ป๋าเหนาะ” รายนี้ด้วยความที่พันธมิตรฯ มีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง อยู่ๆ ก็มีพันธมิตรฯ วิ่งโร่มาแจ้งข่าวว่า เขาเจอป๋าเหนาะผอมโกรกนั่งรถเข็นเข้าโรงพยาบาลใหญ่กลางสุขุมวิท พันธมิตรฯ ของเราก็เร็วจี๋วิ่งตามไปดักหน้าขอมองป๋าให้เต็มตาในฐานะคนเคยขึ้นเวทีด่าทักษิณ-พจมานด้วยกันเมื่อคราว “กู้ชาติ” ท้องสนามหลวง
เมื่อเห็นป๋าเต็มตาพันธมิตรฯ ถึงครางว่า “ยายเนื่อมมีจริง” เพราะป๋าผ่ายผอมไม่ใช่ตรอมใจแต่เป็นเพราะโรคภัย แต่ก็ไม่แน่ใจอยากให้ป้าอุไรวรรณช่วยตอบทีที่เขาลือกันว่า ป๋าปั้นนายกฯ คนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว เพราะมะเร็งร้ากำลังจ๊ะเอ๋ที่ถุงน้ำดีของป๋า จริงป่ะ...ป้าตอบที
จะว่าไปก็น่ากลัวเนอะ...มะเร็งทำงานหนักจริง ตั้งแต่ผู้คนที่ทำเรื่อง “เขาพระวิหาร” ไปดูสิ ล้วนแต่เป็นมะเร็งตายตกไปตามๆ กันทั้งนั้นเลย ที่เหลือใช่ว่าจะรอด รอคอยวันมาถึงเท่านั้นเอง
เนี่ยมีข่าวว่าพี่ตักขี้จะขี่เครื่องบินหรูจากมอนเตเนโกรมาลงพนมเปญอีกแล้ว ความว่าต้องตรวจสุขภาพประจำปี พร้อมๆ กับ “บี้” กันให้หมดจดในเกมสุดท้ายที่จ่ายหนักด้วย “เงินครึ่งหนึ่ง” จากทั้งกองใหญ่
แค่ได้ยิน “ผีโม่แป้ง” ก็ตาโต น้ำลายไหลแล้ว
นึกๆ ก็ให้เสียดาย...ถ้ากฎหมายทำงานแทนที่มะเร็งร้าย อะไรๆ ในบ้านเมืองเราคงจะดีกว่านี้แน่