xs
xsm
sm
md
lg

‘กตัญญูกตเวที’ เสาหลักค้ำจุนระบบพักพิงผู้สูงวัย

เผยแพร่:   โดย: ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ

‘กตัญญูกตเวที’ ที่ไม่ได้จำกัดความสัมพันธ์แค่ลูกหลานญาติสนิทมิตรสหายในห้วงยามขณะสังคมไทยกำลังก้าวสู่สังคมสูงอายุอย่างเต็มตัวจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรของประเทศที่สัดส่วนประชากรสูงวัย 60 ปีขึ้นไปเพิ่มเป็นร้อยละ 11.1 ในปี 2551 และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มถึงร้อยละ 20 หรือ 14.5 ล้านคนในปี 2568 นั้นนับว่าจำเป็นยิ่งยวด ด้วยนานวันจำนวนผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้จะทวีคูณขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะปี 2550 ประเทศไทยก็มีผู้สูงอายุที่ต้องมีผู้ดูแลทำกิจวัตรประจำวันสูงถึงร้อยละ 10.9 ของผู้สูงอายุทั้งหมดแล้ว และอีกร้อยละ 1.1 ต้องการผู้ดูแลแต่ไม่มี

ที่สำคัญร้อยละ 2.2 ของผู้ดูแลเป็นผู้สูงอายุด้วยกันเอง โดยมีอายุถึง 80 ปีขึ้นไป ที่แม้นใจจะห่วงหาอาทรกันเพียงใด หากแต่ด้วยสังขารขาดสภาพคล่องต้องยักแย่ยักยันยามดูแลกันและกัน ความทุกข์ทรมานเจ็บไข้ได้ป่วยจึงตามมามากมาย เมื่อผนวกพัฒนาการทางการแพทย์ที่ทำให้มนุษย์อายุยืนยาวขึ้นภายใต้บริบททุนนิยมตัวใครตัวมันมากขึ้นก็ทำให้ผู้สูงอายุ 80 ปีขึ้นไปที่จะเพิ่มจากร้อยละ 10 ในปัจจุบันเป็นร้อยละ 12 ในปี 2573 เสี่ยงที่จะพบเผชิญความยากแค้นแสนสาหัสจากการถูกทอดทิ้ง

เพียงแค่ปี 2550 ผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่คนเดียวก็มีสูงถึงร้อยละ 7.5 ขณะผู้สูงอายุที่อยู่ลำพังกับสามีภรรยาเพิ่มเป็นร้อยละ 17 และผู้สูงอายุที่อยู่กับหลานในลักษณะครอบครัวโดดเพิ่มเป็นร้อยละ 3.1

สถานการณ์ผู้สูงอายุที่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิงเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ทำให้ไทยต้องเร่งเตรียมการผู้ดูแลทุกระดับอย่างครบถ้วนรอบด้าน นับแต่ครอบครัว นโยบายรัฐบาล จนถึงภาคประชาสังคม เพื่อผลักดันไม้ใกล้ฝั่งเหล่านี้ให้ห่างไกลจากฟากฝั่งทุกข์ทรมานเพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่ให้รู้สึกเป็นภาระครอบครัว สังคม และประเทศชาติ จนอยากจากพรากเพื่อพ้นภาวะเลวร้าย

การพัฒนาระบบการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงที่ครอบคลุมการดูแลทุกมิติทั้งทางสังคม สุขภาพ เศรษฐกิจ และสภาพแวดล้อม สำหรับผู้สูงวัยที่ประสบภาวะยากลำบากอันเนื่องมาจากเจ็บป่วยเรื้อรัง หรือพิการทุพพลภาพ ช่วยเหลือตนเองได้บางส่วนหรือไม่สามารถช่วยตนเองได้ในชีวิตประจำวัน โดยผู้ดูแลที่เป็นทางการอย่างบุคลากรด้านสุขภาพและสังคม และไม่เป็นทางการทั้งครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน รวมถึงการบริการในครอบครัว ชุมชนหรือสถานบริการ จึงเป็นเครื่องมือและกลไกความกตัญญูกตเวทีที่สังคมไทยต้องเร่งรังสรรค์และเผยแพร่

เพราะเวลาผ่านไป การไม่รู้คุณหรือสนองคุณคนเฒ่าคนแก่กลับกว้างขวาง ด้วยแม้มารดาบิดามีอุปการะมากและเป็นผู้บำรุงเลี้ยงแสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย หากแต่แก่เฒ่าโรยราลงไปก็ไม่ค่อยได้รับการแยแสนัก เนื่องจากวิถีชีวิตปากกัดตีบถีบหนึ่ง อีกหนึ่งคือความสัมพันธ์ระหว่างกันไม่กระชับแนบแน่นดังก่อน ตลอดจนผู้ดูแลยังมีภาระรับผิดชอบการเงิน สุขภาพ และวัสดุอุปกรณ์ดูแลผู้สูงอายุ

ยิ่งกว่านั้น ผู้ดูแลส่วนใหญ่ยังอยู่ในสถานะบทบาทเชิงซ้อน (Sandwich roles) ต้องรับบทบาทหลายด้านเวลาเดียวกัน ทั้งบทบาทภรรยา แม่บ้าน ทำงาน ดูแลลูกและพ่อแม่ โดยผู้ดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะทุพพลภาพในครอบครัวและฐานะยากจนต้องประสบปัญหาการดูแลเพราะขาดความรู้ มีปัญหาสุขภาพกายและจิต รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจของผู้ดูแลด้วยถ้าต้องดูแลผู้สูงอายุเวลานาน เพราะผู้สูงอายุร้อยละ 4.8 มีภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรงจนต้องได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์

ความเครียดกดดันจากการดูแลผู้สูงวัยที่ถั่งโถมใส่ผู้ดูแลอย่างหนักหน่วงนั้นส่วนหนึ่งก็ด้วยเครือข่ายการดูแลผู้สูงอายุไทยที่กอปรด้วยภาครัฐและสังคมเปราะบางลงเรื่อยๆ เพราะเผชิญความเป็นปัจเจกไม่มีจิตอาสาเอาธุระกับวิกฤตสังคม ไม่แม้แต่ช่วยเหลือผู้เคยมีคุณูปการต่อตนเองและสังคม

ถึงกระนั้นที่ผ่านมาก็มีภาคประชาสังคมตื่นตระหนักในวิกฤตผู้สูงอายุที่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิง และถูกทอดทิ้ง โดยจัดอาสาสมัครเข้าไปดูแลผู้สูงอายุที่บ้านตามโครงการอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ (อผส.) โดยปี 2551 มีอาสาสมัคร 6,800 คน ดูแลผู้สูงอายุถึง 75,597 คนทั่วประเทศ ขณะองค์กรสาธารณประโยชน์อย่างสมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ ก็ทำโครงการเพื่อนช่วยเพื่อนเพื่ออบรมสมาชิกชมรมผู้สูงอายุให้เป็นอาสาสมัครเข้าช่วยเหลือดูแลเยี่ยมเยียนผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ในชุมชน ตลอดจนมีชมรมผู้สูงอายุที่ตั้งโดยชุมชนหรือองค์กรอื่นๆ อีกมหาศาล

การช่วยเหลือผู้สูงอายุโดยผู้สูงอายุเพื่อผู้สูงอายุระดับพื้นที่นี้มีประสิทธิภาพเพราะสะท้อนเรื่องราวความต้องการได้ตรงประเด็นสุดถูกต้องสุดเนื่องจากคนเยี่ยมและคนถูกเยี่ยมมีสภาวการณ์ด้านจิตใจและร่างกายละม้ายคล้ายกัน สามารถเติมเต็มให้กันและกันโดยใช้ต้นทุนสังคมที่มีได้

ทั้งนี้ ถ้าได้รับการสนับสนุนจากรัฐอย่างขันแข็งจะสร้างผลสัมฤทธิ์ได้เร็วขึ้น ยิ่งทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กับภาคประชาสังคมด้วยแล้วยิ่งดี ดังแบบปฏิบัติที่ดี (Good practice) ของกองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลที่ใช้เงินสมทบจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อปท. และชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนทุกกลุ่มอายุมีสวัสดิการชุมชน และเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง โดยการบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วมของชุมชนเช่นนี้ถือเป็นนวัตกรรมด้านสุขภาพและสังคมที่ส่งเสริมการจัดบริการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ด้วยเหตุปัจจัยนี้ ระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวจึงริเริ่มขึ้นแล้วโดยภาคประชาชนที่ใช้บ้านและชุมชนเป็นแหล่งให้บริการ หากแต่ภาคประชาชนก็ทำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไม่ทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่ ขึ้นกับความพร้อมและศักยภาพของแต่ละพื้นที่ จึงจำเป็นต้องมีระบบสนับสนุนอย่างจริงจัง

ดังนั้น การพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวจึงต้องบูรณาการบริการสุขภาพและสังคมเข้าด้วยกัน โดยใช้มาตรการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุทุกคนให้เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพกายและจิตดี ลดความทุพพลภาพหรือพิการซ้ำซ้อน กระทั่งเข้าสู่วาระสุดท้ายของชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยพัฒนาโปรแกรมการดูแลสุขภาพเพื่อชะลอการพึ่งพิงสำหรับผู้สูงอายุ ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีจิตอาสาช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแล้ว โดยต้องมีรายได้เพียงพอช่วยตนเองได้ด้วย

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงต้องมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วน โดยให้ครอบครัวมีบทบาทหลักในการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวอยู่ที่บ้านและชุมชนอย่างมีคุณภาพสอดคล้องกับวัฒนธรรมไทย

ขณะเดียวกันก็ต้องปลูกฝัง ‘ความกตัญญูกตเวที’ แก่ชุมชนและภาคประชาสังคมให้ช่วยเหลือเกื้อกูลครอบครัวที่ต้องดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ถึงแม้ไม่ใช่พ่อแม่ตนเอง แต่ก็ต้องตระหนักถึงเขาเหล่านั้นในฐานะผู้ทำคุณประโยชน์ต่อชุมชนและประเทศชาติ อันเป็นการสร้างจิตสำนึกร่วมสู่ ‘สังคมไม่ทอดทิ้งกัน’ ควบคู่กับพัฒนาศักยภาพ อปท.ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการดูแลผู้สูงอายุ

รวมถึงส่งเสริมภาคเอกชนและองค์กรการกุศลให้มีส่วนร่วมจัดการดูแลผู้สูงอายุ และพัฒนาศักยภาพบุคลากรด้านสุขภาพและสังคมที่ดูแลผู้สูงอายุให้เพียงพอทั้งกลุ่มวิชาชีพและไม่ใช่วิชาชีพ ตลอดจนกำหนดมาตรฐานและมาตรการกำกับดูแลสถานดูแลผู้สูงอายุระยะยาวภาครัฐและเอกชนเพื่อรองรับผู้สูงอายุที่ครอบครัวไม่อาจดูแลได้โดยใช้คุณธรรมเป็นเสาหลักค้ำยัน ไม่ใช่เงินตราค่าจ้าง เช่นเดียวกันกับการใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 80 พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 มาตรา 11 และแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545-2564) ก็เพื่อเสริมสร้างความกตัญญูกตเวทีโดยมีสถานะอำนาจทางกฎหมายรองรับกระบวนการเคลื่อนไหว

เนื่องด้วยถึงที่สุดแล้วเสาหลักที่จะค้ำจุนระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวได้ไม่ใช่อำนาจกฎหมายหรือเงินตรา หากคือคุณธรรม ‘กตัญญูกตเวที’ ที่ถูกปลูกฝังลึกลงไปในจิตใจคนหนุ่มคนสาวจนคนเฒ่าคนแก่สามารถพักพิงอาศัยได้ ไม่ต่างจากโลกทุกวันนี้ที่มนุษย์พักพิงอิงไออุ่นอยู่ได้ก็เพราะมีความกตัญญูกตเวทีค้ำจุน …มลายหายเมื่อใดทั้งโลกและผู้สูงวัยก็ม้วยมรณาทั้งเป็นเมื่อนั้น!

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
กำลังโหลดความคิดเห็น