คอลัมน์ ตลาดทุนไทยในสายตาต่างชาติ
โดยบริษัท เน็กซ์วิว ประเทศไทย จำกัด
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เริ่มจัดงานสัมมนา “เปิดโลกตลาดโภคภัณฑ์ โอกาสการทำกำไรในทองคำ และยางพารา” ในวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม โดยได้รับความร่วมมือจาก สาขาวิศวกรรมการเงิน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย อำนวยความสะดวกในเรื่องของสถานที่จัดงาน ซึ่งต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ และที่ลืมไม่ได้คือ ผู้สนับสนุนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยากร จาก บริษัท เจ.เอส.พี ฟิวเจอร์ส จำกัด ตลอดจนโบรกเกอร์ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการนำเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์การเงินอันเป็นประโยชน์ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด และ บริษัท ที ซี ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด เป็นต้น
โดยภาพรวมแล้วต้องขอบอกว่าภาพรวมของงานจัดออกมาได้ดี และน่าจะเป็นที่พึงพอใจของนักลงทุน และผู้สนใจเข้าฟังสัมมนา ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณนักศึกษาชั้นปี 4 สาขาวิศวกรรมการเงิน และ สาขาคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยลัยหอการค้าไทย ที่ช่วยกันผลักดันจนงานสัมมนาครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี
เหมือนเป็นดวงที่ต้องทำงานหนักตลอดเวลา แทบจะเรียกได้ว่า ทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน ก็ว่าได้ เพราะวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีคอร์สสอนนักลงทุน ในหัวข้อ ”ลงทุนออนไลน์อย่างเซียน คุณก็ทำได้” โดยมีนักลงทุนให้ความสนใจสมัครเข้ามาเรียน 10 ท่านด้วยกัน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ทุกครั้งที่มีการสอนไม่ว่าจะหลักสูตรใดก็ตาม ผมจะต้องใช้ความพยายามในการโน้มน้าวให้นักลงทุนที่เข้ามาเรียน ช่วยกันวิเคราะห์เพื่อหาแนวโน้มของตลาดฯ ในวันถัดไป (วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2552) เพื่อทดสอบความรู้ที่ได้เรียนไปว่าสามารถใช้ได้ผลดีเพียงใด ซึ่งผลที่ได้ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เพราะผลจากการวิเคราะห์ในกลุ่มนักลงทุนที่เรียนนั้น ทำให้ตัวผมเองสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา แตกต่างไปจากมุมมองที่ผ่านมา (ภายใต้พื้นฐานด้านการวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิคล้วนๆ ไม่ได้พึ่งพาปัจจัยพื้นฐาน หรือข่าวจากแหล่งอื่นใดทั้งสิ้น)
มุมมองที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกันคือ เรามองเห็นสัญญาณแปลกๆ ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเทียบกับ DJI และ HSI ซึ่งบอกถึง โอกาสที่ดัชนีในบ้านเราจะกระชากตัวแรงในลักษณะแนวโน้มขาขึ้นในวันจันทร์ ซึ่งจากการวิเคราะห์ดังกล่าว ทำให้มีการถามนักลงทุนที่เข้ามาเรียนว่า มีใครเปิดสัญญา Short เอาไว้บ้าง เพราะมีโอกาสที่ตลาดจะกระชากขึ้นกว่า 10 จุด ในวันจันทร์ ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากนักเรียนท่านหนึ่ง ซึ่งเปิดสัญญาเอาไว้ โดยเข้าทำสัญญา ณ ตำแหน่ง 454 จุด ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น ก็มีโอกาสขาดทุนกว่า 10 จุด เมื่อเทียบกับทฤษฏีที่ใช้ในการพยากรณ์แนวโน้มตลาดในระยะสั้น ที่ผมได้รสอนไว้ ในหลักสูตร “ทำกำไรในตลาดล่วงหน้า ด้วย Technical Analysis” ในรุ่นที่ 4 ที่ผ่านมา (มีโครงการจะเปิดรุ่นที่ 5 ในช่วงสิ้นเดือนกันยายน นี้ หากสนใจ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณปุ๊ก ที่หมายเลข 02 627 3360-2)
หากมองในมุมของคลื่น โดยใช้ทฤษฏีของ Elliott เข้ามาพิจารณา จะพบว่าการแกว่งตัวระยะสั้นในรูปแบบ Channel ซึ่งไม่ได้บอกถึงการจบของคลื่น 4 อย่างแท้จริง ทำให้เมื่อนำมาประกอบการพิจารณา จะทำให้ทราบว่า คลื่น 3 และ 4 จากการวิเคราะห์ที่ผ่านมา ค่อนข้างสั้นเกินไป เมื่อเทียบกับเคลื่อน 1 และ 2 ทำให้มีโอกาสสูง ที่คลื่น 5 ของ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จะยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ (พิจารณารูปประกอบ)
ผมไม่ อาจสรุปได้ว่า มุมมองในครั้งแรก จะถูก หรือ มุมมองในครั้งที่ 2 จะผิด แต่ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคนั้น เราต้องการสัญญาณยืนยัน ซึ่งจากการวิเคราะห์นั้น มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดกรอบเอาไว้ดังนี้ (สามารถดูได้จากเว็บไซต์ www.technicalday.com)
- หากดัชนี SET50 ปรับตัวสูงกว่า 458 จุด และยังยืนยันว่าจะไปต่อ ให้นักลงทุน ปรับกลยุทธ์เป็นถือสัญญา Long แทน
- หากดัชนี SET50 ปรับตัวต่ำกว่า 440 จุด ให้ยืนยันในบทวิเคราะห์ ที่ได้ให้ไว้เดิมครับ
สำหรับข้อแนะนำ ณ ตอนนี้ นักลงทุนไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าทำสัญญา หรือลงทุนอะไรมากเกินไป เพราะตลาดแกว่งตัวแบบหาทิศทางได้ค่อนข้างยาก และมีโอกาสขาดทุนสูง ดังนั้นจึงควรรอให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนก่อน แต่หากนักลงทุนท่านใด ที่ต้องการทำกำไรระยะสั้น อาจใช้อินดิเคเตอร์ Li’s Sandwich ในการหาสัญญาเข้า-ออก ตลาด ซึ่งอาจช่วยได้บ้าง หากพิจารณาจากรูป อาจได้เห็นสัญญาณ Short ระยะสั้นในวันพุธ หรือ พฤหัส ก็เป็นได้
โดยบริษัท เน็กซ์วิว ประเทศไทย จำกัด
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เริ่มจัดงานสัมมนา “เปิดโลกตลาดโภคภัณฑ์ โอกาสการทำกำไรในทองคำ และยางพารา” ในวันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม โดยได้รับความร่วมมือจาก สาขาวิศวกรรมการเงิน คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย อำนวยความสะดวกในเรื่องของสถานที่จัดงาน ซึ่งต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ และที่ลืมไม่ได้คือ ผู้สนับสนุนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยากร จาก บริษัท เจ.เอส.พี ฟิวเจอร์ส จำกัด ตลอดจนโบรกเกอร์ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการนำเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์การเงินอันเป็นประโยชน์ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด และ บริษัท ที ซี ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด เป็นต้น
โดยภาพรวมแล้วต้องขอบอกว่าภาพรวมของงานจัดออกมาได้ดี และน่าจะเป็นที่พึงพอใจของนักลงทุน และผู้สนใจเข้าฟังสัมมนา ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณนักศึกษาชั้นปี 4 สาขาวิศวกรรมการเงิน และ สาขาคอมพิวเตอร์แอนิเมชั่น คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยลัยหอการค้าไทย ที่ช่วยกันผลักดันจนงานสัมมนาครั้งนี้ประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี
เหมือนเป็นดวงที่ต้องทำงานหนักตลอดเวลา แทบจะเรียกได้ว่า ทำงานสัปดาห์ละ 7 วัน ก็ว่าได้ เพราะวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีคอร์สสอนนักลงทุน ในหัวข้อ ”ลงทุนออนไลน์อย่างเซียน คุณก็ทำได้” โดยมีนักลงทุนให้ความสนใจสมัครเข้ามาเรียน 10 ท่านด้วยกัน ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ทุกครั้งที่มีการสอนไม่ว่าจะหลักสูตรใดก็ตาม ผมจะต้องใช้ความพยายามในการโน้มน้าวให้นักลงทุนที่เข้ามาเรียน ช่วยกันวิเคราะห์เพื่อหาแนวโน้มของตลาดฯ ในวันถัดไป (วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม 2552) เพื่อทดสอบความรู้ที่ได้เรียนไปว่าสามารถใช้ได้ผลดีเพียงใด ซึ่งผลที่ได้ค่อนข้างน่าประหลาดใจ เพราะผลจากการวิเคราะห์ในกลุ่มนักลงทุนที่เรียนนั้น ทำให้ตัวผมเองสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในบ้านเรา แตกต่างไปจากมุมมองที่ผ่านมา (ภายใต้พื้นฐานด้านการวิเคราะห์โดยใช้ปัจจัยทางเทคนิคล้วนๆ ไม่ได้พึ่งพาปัจจัยพื้นฐาน หรือข่าวจากแหล่งอื่นใดทั้งสิ้น)
มุมมองที่ค่อนข้างจะสอดคล้องกันคือ เรามองเห็นสัญญาณแปลกๆ ในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเทียบกับ DJI และ HSI ซึ่งบอกถึง โอกาสที่ดัชนีในบ้านเราจะกระชากตัวแรงในลักษณะแนวโน้มขาขึ้นในวันจันทร์ ซึ่งจากการวิเคราะห์ดังกล่าว ทำให้มีการถามนักลงทุนที่เข้ามาเรียนว่า มีใครเปิดสัญญา Short เอาไว้บ้าง เพราะมีโอกาสที่ตลาดจะกระชากขึ้นกว่า 10 จุด ในวันจันทร์ ซึ่งก็ได้รับคำตอบจากนักเรียนท่านหนึ่ง ซึ่งเปิดสัญญาเอาไว้ โดยเข้าทำสัญญา ณ ตำแหน่ง 454 จุด ซึ่งถ้าเป็นไปตามนั้น ก็มีโอกาสขาดทุนกว่า 10 จุด เมื่อเทียบกับทฤษฏีที่ใช้ในการพยากรณ์แนวโน้มตลาดในระยะสั้น ที่ผมได้รสอนไว้ ในหลักสูตร “ทำกำไรในตลาดล่วงหน้า ด้วย Technical Analysis” ในรุ่นที่ 4 ที่ผ่านมา (มีโครงการจะเปิดรุ่นที่ 5 ในช่วงสิ้นเดือนกันยายน นี้ หากสนใจ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ คุณปุ๊ก ที่หมายเลข 02 627 3360-2)
หากมองในมุมของคลื่น โดยใช้ทฤษฏีของ Elliott เข้ามาพิจารณา จะพบว่าการแกว่งตัวระยะสั้นในรูปแบบ Channel ซึ่งไม่ได้บอกถึงการจบของคลื่น 4 อย่างแท้จริง ทำให้เมื่อนำมาประกอบการพิจารณา จะทำให้ทราบว่า คลื่น 3 และ 4 จากการวิเคราะห์ที่ผ่านมา ค่อนข้างสั้นเกินไป เมื่อเทียบกับเคลื่อน 1 และ 2 ทำให้มีโอกาสสูง ที่คลื่น 5 ของ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ จะยังไม่จบแต่เพียงเท่านี้ (พิจารณารูปประกอบ)
ผมไม่ อาจสรุปได้ว่า มุมมองในครั้งแรก จะถูก หรือ มุมมองในครั้งที่ 2 จะผิด แต่ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิคนั้น เราต้องการสัญญาณยืนยัน ซึ่งจากการวิเคราะห์นั้น มีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดกรอบเอาไว้ดังนี้ (สามารถดูได้จากเว็บไซต์ www.technicalday.com)
- หากดัชนี SET50 ปรับตัวสูงกว่า 458 จุด และยังยืนยันว่าจะไปต่อ ให้นักลงทุน ปรับกลยุทธ์เป็นถือสัญญา Long แทน
- หากดัชนี SET50 ปรับตัวต่ำกว่า 440 จุด ให้ยืนยันในบทวิเคราะห์ ที่ได้ให้ไว้เดิมครับ
สำหรับข้อแนะนำ ณ ตอนนี้ นักลงทุนไม่ควรบุ่มบ่ามเข้าทำสัญญา หรือลงทุนอะไรมากเกินไป เพราะตลาดแกว่งตัวแบบหาทิศทางได้ค่อนข้างยาก และมีโอกาสขาดทุนสูง ดังนั้นจึงควรรอให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนก่อน แต่หากนักลงทุนท่านใด ที่ต้องการทำกำไรระยะสั้น อาจใช้อินดิเคเตอร์ Li’s Sandwich ในการหาสัญญาเข้า-ออก ตลาด ซึ่งอาจช่วยได้บ้าง หากพิจารณาจากรูป อาจได้เห็นสัญญาณ Short ระยะสั้นในวันพุธ หรือ พฤหัส ก็เป็นได้