โครงการอีลิทการ์ดตราบาปยุค “นช.แม้ว” ขาดทุนมาเกือบทุกปี นายกฯหนักใจเลิกโครงการหวั่นถูกฟ้อง ชื่อเสียงประเทศเสียหาย เร่ง 3 หน่วยงาน คลัง-สภาพัฒน์-ก.ท่องเที่ยวฯร่างเงื่อนไขให้เอกชนเข้ามาซื้อโครงการไป ขีดเส้น 30 วันแล้วเสร็จ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เมื่อเช้าวานนี้ (22 พ.ย.) ว่า รัฐบาลได้ มีการพิจารณาโครงการ ต่างๆ ที่เป็นปัญหามาโดยตลอด คือ โครงการที่เรียกว่า อีลิทการ์ด ที่รัฐบาลในอดีตไปเสนอขายบัตรที่ให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าที่มาซื้อบัตรนี้ในราคา 1 ล้านบาท แล้วก็โฆษณาว่า เขาสามารถมาท่องเที่ยวใช้สิทธิพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจลงตราเข้าเมือง ไปจนถึงเรื่องของการใช้สนามกอล์ฟ สปา ต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงก็คือว่า บริษัทที่ทำเรื่องนี้ สามารถที่จะระดมสมาชิกเข้ามาได้ ประมาณ 2,500 คนโดยประมาณ ก็มีเงินเข้ามาประมาณ 2,500 ล้านบาท แต่ว่าถึงวันนี้เงินตรงนั้นเกือบหมดแล้ว ในขณะที่คนที่เข้ามาเป็นสมาชิกสามารถใช้สิทธิ์ต่างๆได้อีกมากมาย
“เพราะฉะนั้น โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่ขาดทุนมาเกือบทุกปีค่อนข้างมาก ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเข้ามาพิจารณาในเรื่องนี้ ครั้นจะไปเลิกโครงการเสียทีเดียวทันที ก็อาจจะเกิดปัญหาทางกฎหมาย ถูกฟ้องร้องขึ้นมา ที่สำคัญที่สุดคือว่า ประเทศไทยอาจจะเสียชื่อเสียงไปด้วย เพราะว่าเป็นโครงการซึ่งเคยมีรัฐบาลไทยไปรับรองเอาไว้ ถึงสิทธิต่างๆ ถึงเวลาแล้วถ้าไปเลิกเสีย แล้วคนเหล่านี้ไม่สิทธิ์ต่อไป ก็คงจะเป็นปัญหาทั้งเรื่องชื่อเสียง ทั้งทางกฎหมายแน่นอน”
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ในเบื้องต้นขณะนี้แนวทางที่รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาก็คือ เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่สนใจจะมาทำธุรกิจแบบนี้ ซื้อโครงการออกไป โดยจะกำหนดเป็นเงื่อนไขว่า คงต้องรับในเรื่องของทรัพย์สิน หนี้สิน ความรับผิดชอบทางกฎหมายไปทั้งหมด ภาครัฐจะยังคงสนับสนุนก็คือในส่วนที่เป็นสิทธิที่จำเป็นต้องใช้อำนาจของรัฐ เช่น สิทธิพิเศษในเรื่องของการตรวจลงตรา หรือว่าในเรื่องของการเข้าเมืองอย่างนี้เป็นต้น
ส่วนเงื่อนไขสมาชิกใหม่ภาคเอกชนที่สนใจจะไปกำหนดอย่างไร ก็สามารถที่จะทำได้ เบื้องต้น จะให้ทางกระทรวงการคลังกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปเขียนเงื่อนไขมา เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามารับซื้อโครงการนี้ เงื่อนไขก็คงจะเสร็จภายใน 30 วัน และหลังจากนั้นประมาณ 60 วันไม่น่าจะเกินนั้น คงจะมีความชัดเจนว่า มีภาคเอกชนที่สนใจจะเข้ามารับตรงนี้ไปหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์” เมื่อเช้าวานนี้ (22 พ.ย.) ว่า รัฐบาลได้ มีการพิจารณาโครงการ ต่างๆ ที่เป็นปัญหามาโดยตลอด คือ โครงการที่เรียกว่า อีลิทการ์ด ที่รัฐบาลในอดีตไปเสนอขายบัตรที่ให้สิทธิพิเศษกับลูกค้าที่มาซื้อบัตรนี้ในราคา 1 ล้านบาท แล้วก็โฆษณาว่า เขาสามารถมาท่องเที่ยวใช้สิทธิพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการตรวจลงตราเข้าเมือง ไปจนถึงเรื่องของการใช้สนามกอล์ฟ สปา ต่างๆ ซึ่งในความเป็นจริงก็คือว่า บริษัทที่ทำเรื่องนี้ สามารถที่จะระดมสมาชิกเข้ามาได้ ประมาณ 2,500 คนโดยประมาณ ก็มีเงินเข้ามาประมาณ 2,500 ล้านบาท แต่ว่าถึงวันนี้เงินตรงนั้นเกือบหมดแล้ว ในขณะที่คนที่เข้ามาเป็นสมาชิกสามารถใช้สิทธิ์ต่างๆได้อีกมากมาย
“เพราะฉะนั้น โครงการนี้จึงเป็นโครงการที่ขาดทุนมาเกือบทุกปีค่อนข้างมาก ซึ่งรัฐบาลก็ต้องเข้ามาพิจารณาในเรื่องนี้ ครั้นจะไปเลิกโครงการเสียทีเดียวทันที ก็อาจจะเกิดปัญหาทางกฎหมาย ถูกฟ้องร้องขึ้นมา ที่สำคัญที่สุดคือว่า ประเทศไทยอาจจะเสียชื่อเสียงไปด้วย เพราะว่าเป็นโครงการซึ่งเคยมีรัฐบาลไทยไปรับรองเอาไว้ ถึงสิทธิต่างๆ ถึงเวลาแล้วถ้าไปเลิกเสีย แล้วคนเหล่านี้ไม่สิทธิ์ต่อไป ก็คงจะเป็นปัญหาทั้งเรื่องชื่อเสียง ทั้งทางกฎหมายแน่นอน”
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า ในเบื้องต้นขณะนี้แนวทางที่รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาก็คือ เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนที่สนใจจะมาทำธุรกิจแบบนี้ ซื้อโครงการออกไป โดยจะกำหนดเป็นเงื่อนไขว่า คงต้องรับในเรื่องของทรัพย์สิน หนี้สิน ความรับผิดชอบทางกฎหมายไปทั้งหมด ภาครัฐจะยังคงสนับสนุนก็คือในส่วนที่เป็นสิทธิที่จำเป็นต้องใช้อำนาจของรัฐ เช่น สิทธิพิเศษในเรื่องของการตรวจลงตรา หรือว่าในเรื่องของการเข้าเมืองอย่างนี้เป็นต้น
ส่วนเงื่อนไขสมาชิกใหม่ภาคเอกชนที่สนใจจะไปกำหนดอย่างไร ก็สามารถที่จะทำได้ เบื้องต้น จะให้ทางกระทรวงการคลังกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปเขียนเงื่อนไขมา เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามารับซื้อโครงการนี้ เงื่อนไขก็คงจะเสร็จภายใน 30 วัน และหลังจากนั้นประมาณ 60 วันไม่น่าจะเกินนั้น คงจะมีความชัดเจนว่า มีภาคเอกชนที่สนใจจะเข้ามารับตรงนี้ไปหรือไม่