ผู้นำทั้งสองต่างผูกไทสีแดง สวมสูทสีเข้ม และใส่เชิร์ตสีขาว ขณะที่ประธานาธิบดีหูจิ่นเทาของจีนมีท่าทางเย็นเฉยไม่มีหลุกหลิกใดๆ อยู่บนเวที ราวกับไม่ได้นึกถึงใครอยู่ในหัวเลย ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐฯกลับหัวศีรษะไปข้างหนึ่ง คอยจับตามองคู่เจรจาของเขาที่กำลังพูดด้วยสายตาที่ดูเหมือนแสดงความอบอุ่นและความใส่ใจ
ดังนี้เอง ด้วยบุคลิกส่วนตัวที่แตกต่างกันไปคนละขั้ว ทว่าด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่แทบจะเหมือนๆ กัน เมื่อวันอังคาร(17)ที่ผ่านมา ผู้นำของประเทศทั้งสองก็ได้ประกาศสิ่งที่หากไม่เรียกว่าเป็นการแต่งงาน อย่างน้อยก็น่าจะพูดได้ว่าเป็นการหมั้นหมาย สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของการหมั้นหมายนี้ ก็คือคำแถลงร่วมของบุคคลทั้งสองที่มีความยาว 9 หน้า และเต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาในลักษณะพูดเป็นหลักการแต่ขาดการระบุถึงการปฏิบัติการอย่างเจาะจงชัดเจน
นี่คือ การหมั้นหมายตามหลักทฤษฎี ชนิดที่ฝ่ายจีนปรารถนามานาน เป็นการพูดแจกแจงรายละเอียดของความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวระหว่างประเทศทั้งสอง สำหรับฝ่ายจีนแล้ว ข้อตกลงหมั้นหมายเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทรงความสำคัญยิ่งเสียกว่าข้อตกลงทางธุรกิจเดี่ยวๆ ใดๆ หรือยุทธวิธีประสานร่วมมือกันแบบระยะสั้นๆ ใดๆ
ในเอกสารฉบับนี้ ปักกิ่งไม่ได้รับฐานะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” (strategic partnership) ดังที่มุ่งมาตรปรารถนาจะได้จากสหรัฐฯ ทว่าก็ได้รับ “ความไว้เนื้อเชื่อใจกันระดับทวิภาคีในเชิงยุทธศาสตร์” (strategic bilateral trust) นี่อาจจะเป็นวิธีปิดบังซ่อนเร้นเจตนารมณ์ของสหรัฐฯก็เป็นไปได้ เนื่องจากบัดนี้ย่อมเป็นที่กระจ่างชัดเจนแล้วว่า สหรัฐฯนั้นยินดีต้อนรับประเทศจีนที่เข้มแข็งและมั่งคั่งรุ่งเรือง สำหรับปักกิ่งนั้น “ความไว้เนื้อเชื่อใจกันระดับทวิภาคีในเชิงยุทธศาสตร์”คือหลักประกันว่าสหรัฐฯจะไม่พยายามหยุดยั้งการเจริญเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองของจีน ด้วยการปฏิบัติการแบบบ่อนทำลายภายในประเทศจีน หรือด้วยวิธีปิดล้อมจากภายนอก
เพื่อตอบแทนสิ่งนี้ จีนก็ให้การยอมรับผลประโยชน์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯในเอเชีย โดยที่รับรู้ว่าสหรัฐฯนั้นมีฐานะเป็นมหาอำนาจรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สิ่งนี้ยังมีความหมายต่อเนื่องไปอีกว่า จีนอาจจะพรักพร้อมให้การสนับสนุนหรือกระทั่งช่วยเหลือการที่อเมริกันจะดำเนินการแทรกแซงต่างๆ ในภูมิภาคแถบนี้ นี่เป็นเรื่องที่ทรงความสำคัญมากๆ ในอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความเสื่อมถอยทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองอย่างต่อเนื่องของญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็นหนึ่งในมหาอำนาจระดับภูมิภาค
กรอบโครงคราวนี้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับสิ่งที่สหรัฐฯกับจีนได้เคยทำกันไว้ ในยุคของเหมาเจ๋อตงและต่อมาก็ในสมัยของเติ้งเสี่ยวผิงในทศวรรษ 1970 ย้อนกลับไปในตอนนั้น จีนตกลงที่จะร่วมมือกับอเมริกันในการปิดล้อมต่อต้านสหภาพโซเวียต และเพื่อเป็นการตอบแทน วอชิงตันก็ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้เงินลงทุนจากโลกตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศจีน ซึ่งตอนแรกกลายเป็นการจุดชนวนและต่อมาก็กลายเป็นเชื้อเพลิงขับดันการเจริญเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองของจีนตลอดเวลายี่สิบสามสิบปีหลังจากนั้น
ในคราวนี้ สหรัฐฯสัญญาที่จะให้ความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศ, การบิน, และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม อันล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีด้านที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งเพื่อกิจการทางพลเรือนและกิจการทางทหาร กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ วอชิงตันกำลังตระเตรียมที่จะยกเลิก (หรือในทางเป็นจริงแล้วก็คือกำลังยกเลิก) มาตรการห้ามส่งอาวุธให้แก่จีน ซึ่งได้ประกาศใช้กันมาภายหลังเหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 การส่งออกเทคโนโลยีดังกล่าวเหล่านี้ไปยังจีน สามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงระยะแห่งการขยายตัวครั้งใหม่สำหรับอุตสาหกรรมประเภทเหล่านี้ของอเมริกา ซึ่งอาจจะส่งผลพวงต่อเนื่องในการฉุดลากสหรัฐฯให้หลุดพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน
ทำนองเดียวกันในยุคทศวรรษ 1970 จากการที่จีนกับสหรัฐฯสามารถทำข้อตกลงเพื่อความเข้าใจระหว่างกันกันอย่างไม่เป็นทางการฉบับใหม่ได้ในคราวนี้ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่จะต้องเป็นผู้สูญเสียก็คือ “สิทธิมนุษยชน” ในประเด็นนี้ คำแถลงร่วมหู-โอบามากล่าวว่า เรื่องสิทธิมนุษยชนควรจะหาทางแก้ไขกันโดยผ่านการสนทนากัน แต่ขณะเดียวกันก็ควรต้องยอมรับถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่แตกต่างกันของประเทศทั้งสอง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับรองอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันในเรื่อง “ผลประโยชน์ที่เป็นหัวใจ” ของแต่ละฝ่าย
นี่หมายความว่าไม่มีอีกแล้วที่จะหยิบยกเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนมาใช้เป็นเสมือนไม้กระบองทางการเมือง เพื่อแพ่นกระบาลปักกิ่งทุกๆ ครั้งที่เห็นว่าสะดวกเหมาะสม และที่สำคัญมากคือจะต้องไม่มีการทำเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการโอนอ่อนอย่างสำคัญให้แก่จีน ทางปักกิ่งจึงจะต้องมีอะไรตอบแทนคืนมาอย่างสมน้ำสมเนื้อ
การแถลงหลักการต่างๆ จำนวนมากในคำแถลงร่วมคราวนี้ อยู่ในลักษณะที่กลับกลายเปลี่ยนแปลงจากท่าทีร่วมแบบ “เอนเอียงไปทางจีน” ตามที่ทั้งสองประเทศได้เคยใช้กันมา ในทางเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้ว คุณมีการตกลงกันในเชิงหลักการ แต่ในทางปิดลับหลังฉาก คุณก็เดินหน้าทำความตกลงกันอย่างเป็นรูปธรรม พยายามประคับประคองการเจรจาให้มีความยืดหยุ่นเพื่อที่จะรักษาหน้ากันไว้
(เก็บความและตัดตอนจากเรื่องHu and Obama seal real deals โดย Francesco Sisci บรรณาธิการด้านเอเชีย ของหนังสือพิมพ์ ลา สตัมปา ในประเทศอิตาลี)
ดังนี้เอง ด้วยบุคลิกส่วนตัวที่แตกต่างกันไปคนละขั้ว ทว่าด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่แทบจะเหมือนๆ กัน เมื่อวันอังคาร(17)ที่ผ่านมา ผู้นำของประเทศทั้งสองก็ได้ประกาศสิ่งที่หากไม่เรียกว่าเป็นการแต่งงาน อย่างน้อยก็น่าจะพูดได้ว่าเป็นการหมั้นหมาย สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของการหมั้นหมายนี้ ก็คือคำแถลงร่วมของบุคคลทั้งสองที่มีความยาว 9 หน้า และเต็มไปด้วยคำมั่นสัญญาในลักษณะพูดเป็นหลักการแต่ขาดการระบุถึงการปฏิบัติการอย่างเจาะจงชัดเจน
นี่คือ การหมั้นหมายตามหลักทฤษฎี ชนิดที่ฝ่ายจีนปรารถนามานาน เป็นการพูดแจกแจงรายละเอียดของความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระยะยาวระหว่างประเทศทั้งสอง สำหรับฝ่ายจีนแล้ว ข้อตกลงหมั้นหมายเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทรงความสำคัญยิ่งเสียกว่าข้อตกลงทางธุรกิจเดี่ยวๆ ใดๆ หรือยุทธวิธีประสานร่วมมือกันแบบระยะสั้นๆ ใดๆ
ในเอกสารฉบับนี้ ปักกิ่งไม่ได้รับฐานะ “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” (strategic partnership) ดังที่มุ่งมาตรปรารถนาจะได้จากสหรัฐฯ ทว่าก็ได้รับ “ความไว้เนื้อเชื่อใจกันระดับทวิภาคีในเชิงยุทธศาสตร์” (strategic bilateral trust) นี่อาจจะเป็นวิธีปิดบังซ่อนเร้นเจตนารมณ์ของสหรัฐฯก็เป็นไปได้ เนื่องจากบัดนี้ย่อมเป็นที่กระจ่างชัดเจนแล้วว่า สหรัฐฯนั้นยินดีต้อนรับประเทศจีนที่เข้มแข็งและมั่งคั่งรุ่งเรือง สำหรับปักกิ่งนั้น “ความไว้เนื้อเชื่อใจกันระดับทวิภาคีในเชิงยุทธศาสตร์”คือหลักประกันว่าสหรัฐฯจะไม่พยายามหยุดยั้งการเจริญเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองของจีน ด้วยการปฏิบัติการแบบบ่อนทำลายภายในประเทศจีน หรือด้วยวิธีปิดล้อมจากภายนอก
เพื่อตอบแทนสิ่งนี้ จีนก็ให้การยอมรับผลประโยชน์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ของสหรัฐฯในเอเชีย โดยที่รับรู้ว่าสหรัฐฯนั้นมีฐานะเป็นมหาอำนาจรายหนึ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สิ่งนี้ยังมีความหมายต่อเนื่องไปอีกว่า จีนอาจจะพรักพร้อมให้การสนับสนุนหรือกระทั่งช่วยเหลือการที่อเมริกันจะดำเนินการแทรกแซงต่างๆ ในภูมิภาคแถบนี้ นี่เป็นเรื่องที่ทรงความสำคัญมากๆ ในอนาคตข้างหน้า โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความเสื่อมถอยทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองอย่างต่อเนื่องของญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็นหนึ่งในมหาอำนาจระดับภูมิภาค
กรอบโครงคราวนี้มีความละม้ายคล้ายคลึงกับสิ่งที่สหรัฐฯกับจีนได้เคยทำกันไว้ ในยุคของเหมาเจ๋อตงและต่อมาก็ในสมัยของเติ้งเสี่ยวผิงในทศวรรษ 1970 ย้อนกลับไปในตอนนั้น จีนตกลงที่จะร่วมมือกับอเมริกันในการปิดล้อมต่อต้านสหภาพโซเวียต และเพื่อเป็นการตอบแทน วอชิงตันก็ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้เงินลงทุนจากโลกตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศจีน ซึ่งตอนแรกกลายเป็นการจุดชนวนและต่อมาก็กลายเป็นเชื้อเพลิงขับดันการเจริญเติบโตทั้งทางเศรษฐกิจและทางการเมืองของจีนตลอดเวลายี่สิบสามสิบปีหลังจากนั้น
ในคราวนี้ สหรัฐฯสัญญาที่จะให้ความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีการบินและอวกาศ, การบิน, และเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม อันล้วนแต่เป็นเทคโนโลยีด้านที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งเพื่อกิจการทางพลเรือนและกิจการทางทหาร กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ วอชิงตันกำลังตระเตรียมที่จะยกเลิก (หรือในทางเป็นจริงแล้วก็คือกำลังยกเลิก) มาตรการห้ามส่งอาวุธให้แก่จีน ซึ่งได้ประกาศใช้กันมาภายหลังเหตุการณ์ปราบปรามการชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 1989 การส่งออกเทคโนโลยีดังกล่าวเหล่านี้ไปยังจีน สามารถกลายเป็นจุดเริ่มต้นของช่วงระยะแห่งการขยายตัวครั้งใหม่สำหรับอุตสาหกรรมประเภทเหล่านี้ของอเมริกา ซึ่งอาจจะส่งผลพวงต่อเนื่องในการฉุดลากสหรัฐฯให้หลุดพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปัจจุบัน
ทำนองเดียวกันในยุคทศวรรษ 1970 จากการที่จีนกับสหรัฐฯสามารถทำข้อตกลงเพื่อความเข้าใจระหว่างกันกันอย่างไม่เป็นทางการฉบับใหม่ได้ในคราวนี้ เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่จะต้องเป็นผู้สูญเสียก็คือ “สิทธิมนุษยชน” ในประเด็นนี้ คำแถลงร่วมหู-โอบามากล่าวว่า เรื่องสิทธิมนุษยชนควรจะหาทางแก้ไขกันโดยผ่านการสนทนากัน แต่ขณะเดียวกันก็ควรต้องยอมรับถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่แตกต่างกันของประเทศทั้งสอง ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับรองอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกันในเรื่อง “ผลประโยชน์ที่เป็นหัวใจ” ของแต่ละฝ่าย
นี่หมายความว่าไม่มีอีกแล้วที่จะหยิบยกเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนมาใช้เป็นเสมือนไม้กระบองทางการเมือง เพื่อแพ่นกระบาลปักกิ่งทุกๆ ครั้งที่เห็นว่าสะดวกเหมาะสม และที่สำคัญมากคือจะต้องไม่มีการทำเช่นนี้ต่อหน้าสาธารณชน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นการโอนอ่อนอย่างสำคัญให้แก่จีน ทางปักกิ่งจึงจะต้องมีอะไรตอบแทนคืนมาอย่างสมน้ำสมเนื้อ
การแถลงหลักการต่างๆ จำนวนมากในคำแถลงร่วมคราวนี้ อยู่ในลักษณะที่กลับกลายเปลี่ยนแปลงจากท่าทีร่วมแบบ “เอนเอียงไปทางจีน” ตามที่ทั้งสองประเทศได้เคยใช้กันมา ในทางเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้ว คุณมีการตกลงกันในเชิงหลักการ แต่ในทางปิดลับหลังฉาก คุณก็เดินหน้าทำความตกลงกันอย่างเป็นรูปธรรม พยายามประคับประคองการเจรจาให้มีความยืดหยุ่นเพื่อที่จะรักษาหน้ากันไว้
(เก็บความและตัดตอนจากเรื่องHu and Obama seal real deals โดย Francesco Sisci บรรณาธิการด้านเอเชีย ของหนังสือพิมพ์ ลา สตัมปา ในประเทศอิตาลี)