xs
xsm
sm
md
lg

ศาลแพ่งฟัน “ภูธนแสงทอง” ผิด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ศาลแพ่งพิพากษา บริษัทภูธนแสงทองฯ บริษัทรับสร้างบ้านฉ้อโกง ให้จ่ายเงินคืนลูกค้าหลังเรียกเก็บเงินแล้วไม่ก่อสร้างบ้านตามกำหนด ล่าสุดผู้เสียหายแห่ฟ้องคดีแพ่งเพิ่มอีก 1-2 ราย ขณะที่ “ศิวัช ภูธนแสงทอง” วิ่งโร่ขอเจรจายอมจ่ายเงิน300,00 บาท ให้ลูกค้าล้มคดียกฟ้องบริษัท แต่สุดท้ายเผยธาตุแท้ยังเบี้ยวไม่จ่ายเงิน


นายสุข ปรัชญาภรณ์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนสอนศาสนา สภาคริสจักร มูลนิธิ Luteran ประเทศ ไทย หนึ่งในผู้เสียหายจากการหลอกเชื่อไปใช้บริการรับสร้างบ้านกับเครือบริษัท ภูธนแสงทอง จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ตนได้ยื่นฟ้องศาลแพ่งรัชดาให้ดำเนินคดีกับบริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด เพื่อให้มีคำพิพากษาและสั่งให้บริษัทดังกล่าว จ่ายคืนเงินทำสัญญาและเงินมัดจำที่ได้ชำระให้บริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด จำนวน 369,250 บาท

โดยล่าสุด ศาลแพงรัชดาได้พิจารณาและตัดสินให้บริษัท พีทีเอส โฮม จำกัด ชดใช้ค่ายเสียหายและคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% รวมเป็นจำนวนเงิน 397,019บาทต่อตนเองแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจนถึงปัจจุบัน ตนเองก็ยังไม่ได้รับเงินชดใช้ค่าเสียหาย ตามที่ศาลแพ่งรัชดาสั่ง เนื่องจากไม่สามารถติดตามเรียกคืนจากบริษัท พีทีเอส โฮมได้ เพราะนายศิวัช ภูธนแสงทอง กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้งบริษัทดังกล่าว ได้มีการปิดบริษัทย้ายที่ตั้งสำนักงานและไปเปิดบริษัทในชื่อใหม่

เมื่อมีการส่งหนังสือคำสั่งศาลให้บริษัท พีทีเอส โฮม จ่ายเงินคืนแก่ลูกค้าดังกล่าว กลับพบว่าบริษัทดังกล่าวไม่มีสินทรัพย์เหลือพอจ่ายคืนเงินแก่ลูกค้า นอกจากนี้ยังปิดกิจการและย้ายสำนักงานรวม ถึงสินทรัพย์ต่างๆ ของบริษัทถูกโยกย้ายออกจากบริษัททั้งหมดแล้ว ทำให้ในขณะผู้เสียหายยังไม่ได้รับการชดใช้เงินคืนตามคำสั่งศาลดังกล่าว

“การฟ้องคดีแพ่งนั้น เป็นข้อเสียเปรียบของลูกค้าเพราะผู้บริโภคต้องฟ้องที่ตัวบริษัท โดยมีบริษัทเป็นจำเลยที่หนึ่ง ส่วนกรรมการและผู้บริหารเป็นจำเลยถัดไป ส่วนตัวบุคคลคือ นายศิวัช นั้นไม่สามารถเอาผิดหรือฟ้องแพ่งโดยตรงได้ ทำให้ไม่สามารถไล่เบี้ยกับเจ้าของบริษัทได้โดยตรง”

ทั้งนี้ ในกรณีดังกล่าว นิติกรได้แนะนำว่าสำหรับผู้เดือดร้อนจากบริษัทดังกล่าว ให้รวมตัวกันสืบค้นหลักฐานและพยานว่า เจ้าของบริษัทดังกล่าวมีพฤติกรรมการดำเนินธุรกิจในเชิงฉ้อโกงลูกค้า ด้วยวิธีการเปิดบริษัทมาบังหน้าเพื่อหลอกเอาเงินลูกค้าแล้วปิดกิจการ เพื่อไปเปิดบริษัทใหม่ ซึ่งที่ผ่านมา ลูกค้าที่ตามไปเรียกร้องเงินคืนจากบริษัทดังกล่าวนั้น มักพบว่าบริษัทปิดกิจการและย้ายที่ตั้งบริษัทใหม่

“ที่ผ่านมาพฤติกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าของบริษัท พีทีเอส โฮม ปิดกิจการแล้วเปลี่ยนชื่เป็น บริษัท เพรสซิเด้นซ์ โฮม จำกัด เข้ามาประกอบกิจการเพื่อหลอกเอาเงินลูกค้าเช่นกัน”

นายสุขกล่าวว่า สำหรับกรณีของตนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกบริษัทดังกล่าวหลอกให้จ่ายเงินค่าจองซื้อ จำนวน30,000 บาท ในปี 2549 ซึ่งนายศิวัชไปเปิดบูทในงานมหกรรมรับสร้างบ้านที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจ่ายเงินค่าทำสัญญา 2 งวดที่สำนักงานขายแจ้งวัฒนะ รวมจำนวนเงิน 369,250บาท ซึ่งในวันจองสร้างบ้านกับบริษัทดังกล่าวนั้น มีการหารือกันถึงความเป็นไปได้ในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยบ้านที่จองสร้างในงานมีราคา 2 ล้านบาทเศษ แต่เนื่องจากรายได้ต่อเดือนของตนและภรรยารวมกันอาจจะไม่สามารถขอสินเชื่อได้มากพอ แต่ก็ได้รับคำยืนจากนายศิวัชว่า สามารถกู้ได้ทั้ง 100% ทำให้ตัดสินใจจอง และสำสัญญาก่อสร้างในที่สุด แต่หลังจากที่จ่ายเงินทำสัญญา และได้มอบหมายให้บริษัทดังกล่าวดำเนินการขอสินเชื่อให้ ทางสถาบันการเงินแจ้งว่าสามารถอนุมัติเงินได้แค่ 800,000บาท

ดังนั้น จงขอเลิกสัญญาก่อสร้างเพราะไม่มีเงินสดมากพอจ่ายเงินในส่วนที่เหลือ ซึ่งนายศิวัชก็ตกลงที่จะจ่ายคืนให้ แต่กลับยื้อมาโดยตลอด ตั้งแต่ปี 2549-2551 จึงตัดสินใจฟ้องศาลแพ่งรัชดา ล่าสุดศาลมีคำพิพากษาและสั่งให้บริษัท พีทีเอส โฮม จ่ายเงินดังกล่าวคืนให้แก่ตน แต่จนถึงขณะนี้ ไม่สามารถติดตามเอาเงินคืนได้ แม้ว่านายศิวัชจะกล่าวว่าจะนำเงินมาจ่ายคืนให้ แต่ก็ผิดนัดมาโดยตลอด

ด้าน นายปัณณ์ อนันอภิบุตร แกนนำเครือข่ายผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการว่าจ้างบริษัท ภูธนแสงทอง กล่าวว่า ตนได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อให้มีคำพิพากษาและคำสั่งให้จ่ายค่าเสียหายจากกรณีการก่อสร้างบ้านไม่เสร็จ และเบิกเงินเกินจำนวนแต่ไม่ดำเนินการก่อสร้างบ้านต่อจนแล้วเสร็จ ต่อเครือบริษัท ภูธนแสงทอง โดยเรียกค่าเสียหายประมาณ 1,000,000 บาทเศษ

โดยล่าสุด นายศิวัชได้เดินทางเข้ามาไกล่เกลี่ยกับตนที่ศาลแพ่ง และให้สัญญาว่าจะจ่ายคืนเงินจำนวน 300,000 บาท เพื่อให้ยุติการฟ้องร้อง แต่เมื่อครบกำหนดชำระเงินคืนนายศิวัช ก็ยงคงมีพฤติกรรมเช่นเดิม คือผัดผ่อนขอยืดเวลาจ่ายเงินคืนให้ลูกค้า ซึ่งในเรื่องพฤติกรรมดังกล่าวนั้นตนทราบดีจึงยังคงเดินหน้าฟ้องคดีต่อเนื่อง และจะเอาผิดให้จนถึงที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น