หลังโดน “สมเด็จฮุนเซน” กับ “นช.ทักษิณ” แย่งซีนบู๊สะบั้นหั่นแหลกไป จากการจับมือกันถล่มประเทศไทย ทำเอา “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ประธานพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนจาก “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” มาเป็น “จ๋อยเหงาจัง” เพราะดีกรีการทำลายชาติยังห่างจากตัวพ่ออยู่หลายขุม
“พล.อ.ชวลิต” ทำหน้าที่เปิดประเด็นปูทางให้ “นช.ทักษิณ” ไปเหยียบแผ่นดินลิ้นสองแฉก ขณะที่ “สมเด็จฮุนเซน” กับ “นช.ทักษิณ” รับลูกไปปฏิบัติ
ตีบทแตกจนเกือบคิดว่ารักกันจริง ฉากหวานหยดระหว่างคนสองคนที่ไม่เคยสำนึกบุญคุณของแผ่นดินแม่จึงเกิดขึ้น ท่ามกลางวิกฤตความสัมพันธ์ของสองประเทศ
กระทั่งคนในสังคมเกือบลืมไปแล้วว่า “พล.อ.ชวลิต” ก็เป็นส่วนหนึ่งในการจุดไฟเผาบ้านตัวเอง
เพื่อไม่ให้สังคมไทยลืม “พล.อ.ชวลิต” ขอนำข้อมูลเกี่ยวกับ “พ่อใหญ่จิ๋ว” ในบางบริบทมาถ่ายทอด เผื่อว่าหลายคนจะเชื่อมโยงได้ว่า
ทำไมอดีตนายทหารผู้นี้จึงมีความคิดตั้ง นครรัฐปัตตานี
ย้อนไปประมาณสองปีที่แล้ว มีคดีปริศนาที่จนถึงทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เงินในท่อพีวีซีที่ทหาร ตำรวจ ยึดได้จากบ้านของบิดา “นายมะยากี หรือ กียะโกะ” นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่จังหวัดนราธิวาสมีจำนวน 30,496,800 บาท หรือมีสูงถึง 70 ล้านบาทตามที่นายสมชาติ หรือ ไอ้แป้ว ซึ่งเป็นผู้ชี้เบาะแสระบุกันแน่
สืบสาวคดีในวันนี้ตัวเลขไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สายสัมพันธ์ระหว่าง “มะยากี” กับ นักการเมืองระดับชาติ ที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดเก็บไว้ในแฟ้มคดีนี่สิ เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง!
ในบันทึกข้อมูลของผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายนี้ พบว่า “นายมะยากี” เป็นบุคคลในเครือข่ายนักค้ายาเสพติดชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในกลุ่มของ “นายอุสมาน หรือ มังสะแลแมง” และกลุ่มของ “นายธนากร หรือ บังดิง เจ๊ะอูมา” ซึ่งถือเป็นเครือข่ายค้ายารายใหญ่
ที่เป็นน้ำเลี้ยงส่งเงินสนับสนุน ให้กลุ่มก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
ความสำคัญของ “มะยากี” อยู่ที่เขาได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้ากลุ่ม ด้วยการไต่เต้าจากการเป็นลูกกะจ๊อกขึ้นสู่ระดับบัญชาการได้อย่างรวดเร็ว โดยมีผลงานด้านการติดต่อขนยาเสพติดจากแหล่งทางภาคเหนือ จัดชุดลำเลียงเข้าสู่ภาคกลาง ลงสู่ภาคใต้ ทะลุเข้ามาเลเซีย
“มะยากี” ยังมีบทบาทในการรับผิดชอบเงินและทุนของกลุ่มเครือข่าย โดยเก็บซุกซ่อนเงินทุนของกลุ่มจำนวนมาก (หนึ่งในนั้นถูกซุกไว้ในท่อพีวีซีที่ทางการพบกว่า 30 ล้านบาท บริวณใต้พื้นบ้านของบิดามะยากี)
เงินดังกล่าวจะถูกจัดสรรไปเพื่อซื้อหายาเสพติดมาจำหน่าย และแบ่งส่วนสนับสนุนการก่อความไม่สงบ รวมทั้งสนับสนุนบุคคลในกลุ่มเครือข่ายให้ลงสมัครเป็นนักการเมืองระดับชาติ และนักการเมืองท้องถิ่น
จากข้อมูลทางคดีพบว่า “มะยากี” มีคดียาเสพติดยาวเป็นหางว่าวคือ
1 มิ.ย. 50 จุดตรวจทรงธรรม กำแพงเพชร ตรวจค้นจับกุมเฮโรอีน 17.9 ก.ก. ยาบ้า 15,400 เม็ด กระทั่งมีการขยายผลออกหมายจับ นายมะยากีกับพวก
9 ต.ค. 50 ชุดปราบปรามยาเสพติดจับกุมเฮโรอีน 4.2 ก.ก. ที่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และมีการขยายผลออกหมายจับ นายมะยากีกับพวก
9 ต.ค. 50 เจ้าหน้าที่ทหาร – ตำรวจ ในพื้นที่ เข้าตรวจค้น บ้านเลขที่ 90 หมู่ 2 ต.มูโนะ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นบ้านบิดาของนายมะยากี ยึดเงินในท่อพีวีซี ซึ่งฝังใต้พื้นบ้าน 30,496,800 บาท
เมื่อถูกไล่ล่าอย่างหนัก มะยากี หนีไปกบดานที่เมืองลันตู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย โดยถูกทางการมาเลเซียจับกุมส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2550
ก่อนถูกจับกุมตัว มะยากี ใช้ชีวิตราวคหบดี มีการกระจายเครือข่ายแทรกซึมเข้าติดต่อสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่รัฐทุกรูปแบบ เช่น นักการเมืองระดับประเทศและท้องถิ่น ทำตัวเป็นสายหรือผู้แจ้งข่าวในหน่วยทหาร
สำหรับ มะยากี ได้เข้าติดต่อใกล้ชิดกับนักการเมืองระดับสูง โดยภาพถ่ายในแฟ้มคดีปรากฏว่า นักการเมืองระดับชาติที่ มะยากี ยิ้มเผล่ถ่ายรูปคู่ด้วยความภาคภูมิใจคือ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ”!
เคราะห์ดีที่คดียาเสพติดของ มะยากี มีการออกหมายจับในช่วงรัฐบาลสุรยุทธ จุลานนท์และดำเนินการจริงจังกระทั่งได้รับความร่วมมือจาก มาเลเซียส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยในที่สุด
ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าพบการกระทำความผิดในช่วงที่นักการเมืองซึ่งมะยากีไปมาหาสู่มีอำนาจ การออกหมายจับกระทั่งนำไปสู่การดำเนินคดีจะเกิดขึ้นหรือไม่
จริงอยู่แค่ภาพถ่ายรูปคู่ระหว่างผู้ต้องหาคดียาเสพติดกับนักการเมืองอย่าง พล.อ.ชวลิต มิอาจเป็นหลักฐานมัดว่า “พล.อ.ชวลิต” มีความเกี่ยวพันกับคดี
แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเสียยิ่งกว่าชัดคือ “พล.อ.ชวลิต” คบค้าสมาคมกับบุคคลในเครือข่ายค้ายาเสพติด แถมเป็นรายใหญ่ที่ให้เงินสนับสนุนผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียด้วย
แล้วกลุ่มคนที่ก่อความไม่สงบ มีจิตใจคิดแบ่งแย่กดินแดนล่ะ “พล.อ.ชวลิต” จะมีความคุ้นเคยแนบแน่นด้วยหรือไม่
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ กลุ่มบีอาร์เอ็น ออกแถลงการณ์เด้งรับแนวคิด “นครรัฐปัตตานี” ของ “พล.อ.ชวลิต” ทันที
แต่แนวคิดนี้ก็ถูกเตะโด่งโดยคนไทยที่มีสำนึกใน “ข้าวแดงแกงร้อน”ไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่สังคมไทยต้องจับตาใกล้ชิดคือ ความเคลื่อนไหวของ “พล.อ.ชวลิต” ต่อจากนี้ไป ยังมีอะไรให้ตื่นเต้นอีกเยอะ
ผู้เฒ่าออกโรงเองทั้งที บนดิน อย่างเดียวคงไม่ถึงใจ เกมใต้ดินงานถนัดน่าจะถูกงัดออกมาใช้กันทุกกลยุทธ์เพื่อเผด็จศึกประเทศไทย
และนั่น อาจทำให้การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงวันที่ 29 พ.ย.นี้ มีอะไรมากกว่าที่เห็น ส่วนจะปิดเกมก่อนวันที่ 3 ธันวาคม ด้วยยุทธวิธีใดนั้น
ภาพแก๊งมอเตอร์ไซด์ออกเผาสถานที่ราชการในช่วงพฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่ฝ่ายความมั่นคงไม่เพียงต้องจำให้ติดตา แต่ต้องเท่าทันป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำสองอีกด้วย
-----------------------------------------------------------
โปรย
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเสียยิ่งกว่าชัดคือ “พล.อ.ชวลิต” คบค้าสมาคมกับบุคคลในเครือข่ายค้ายาเสพติด แถมเป็นรายใหญ่ที่ให้เงินสนับสนุนผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียด้วย
แล้วกลุ่มคนที่ก่อความไม่สงบ มีจิตใจคิดแบ่งแย่กดินแดนล่ะ “พล.อ.ชวลิต” จะมีความคุ้นเคยแนบแน่นด้วยหรือไม่
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ กลุ่มบีอาร์เอ็น ออกแถลงการณ์เด้งรับแนวคิด “นครรัฐปัตตานี” ของ “พล.อ.ชวลิต” ทันที
--------------------------------------------------
“พล.อ.ชวลิต” ทำหน้าที่เปิดประเด็นปูทางให้ “นช.ทักษิณ” ไปเหยียบแผ่นดินลิ้นสองแฉก ขณะที่ “สมเด็จฮุนเซน” กับ “นช.ทักษิณ” รับลูกไปปฏิบัติ
ตีบทแตกจนเกือบคิดว่ารักกันจริง ฉากหวานหยดระหว่างคนสองคนที่ไม่เคยสำนึกบุญคุณของแผ่นดินแม่จึงเกิดขึ้น ท่ามกลางวิกฤตความสัมพันธ์ของสองประเทศ
กระทั่งคนในสังคมเกือบลืมไปแล้วว่า “พล.อ.ชวลิต” ก็เป็นส่วนหนึ่งในการจุดไฟเผาบ้านตัวเอง
เพื่อไม่ให้สังคมไทยลืม “พล.อ.ชวลิต” ขอนำข้อมูลเกี่ยวกับ “พ่อใหญ่จิ๋ว” ในบางบริบทมาถ่ายทอด เผื่อว่าหลายคนจะเชื่อมโยงได้ว่า
ทำไมอดีตนายทหารผู้นี้จึงมีความคิดตั้ง นครรัฐปัตตานี
ย้อนไปประมาณสองปีที่แล้ว มีคดีปริศนาที่จนถึงทุกวันนี้ยังหาคำตอบไม่ได้ว่า เงินในท่อพีวีซีที่ทหาร ตำรวจ ยึดได้จากบ้านของบิดา “นายมะยากี หรือ กียะโกะ” นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ที่จังหวัดนราธิวาสมีจำนวน 30,496,800 บาท หรือมีสูงถึง 70 ล้านบาทตามที่นายสมชาติ หรือ ไอ้แป้ว ซึ่งเป็นผู้ชี้เบาะแสระบุกันแน่
สืบสาวคดีในวันนี้ตัวเลขไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สายสัมพันธ์ระหว่าง “มะยากี” กับ นักการเมืองระดับชาติ ที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดเก็บไว้ในแฟ้มคดีนี่สิ เป็นเรื่องที่น่าสนใจยิ่ง!
ในบันทึกข้อมูลของผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายนี้ พบว่า “นายมะยากี” เป็นบุคคลในเครือข่ายนักค้ายาเสพติดชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในกลุ่มของ “นายอุสมาน หรือ มังสะแลแมง” และกลุ่มของ “นายธนากร หรือ บังดิง เจ๊ะอูมา” ซึ่งถือเป็นเครือข่ายค้ายารายใหญ่
ที่เป็นน้ำเลี้ยงส่งเงินสนับสนุน ให้กลุ่มก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
ความสำคัญของ “มะยากี” อยู่ที่เขาได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้ากลุ่ม ด้วยการไต่เต้าจากการเป็นลูกกะจ๊อกขึ้นสู่ระดับบัญชาการได้อย่างรวดเร็ว โดยมีผลงานด้านการติดต่อขนยาเสพติดจากแหล่งทางภาคเหนือ จัดชุดลำเลียงเข้าสู่ภาคกลาง ลงสู่ภาคใต้ ทะลุเข้ามาเลเซีย
“มะยากี” ยังมีบทบาทในการรับผิดชอบเงินและทุนของกลุ่มเครือข่าย โดยเก็บซุกซ่อนเงินทุนของกลุ่มจำนวนมาก (หนึ่งในนั้นถูกซุกไว้ในท่อพีวีซีที่ทางการพบกว่า 30 ล้านบาท บริวณใต้พื้นบ้านของบิดามะยากี)
เงินดังกล่าวจะถูกจัดสรรไปเพื่อซื้อหายาเสพติดมาจำหน่าย และแบ่งส่วนสนับสนุนการก่อความไม่สงบ รวมทั้งสนับสนุนบุคคลในกลุ่มเครือข่ายให้ลงสมัครเป็นนักการเมืองระดับชาติ และนักการเมืองท้องถิ่น
จากข้อมูลทางคดีพบว่า “มะยากี” มีคดียาเสพติดยาวเป็นหางว่าวคือ
1 มิ.ย. 50 จุดตรวจทรงธรรม กำแพงเพชร ตรวจค้นจับกุมเฮโรอีน 17.9 ก.ก. ยาบ้า 15,400 เม็ด กระทั่งมีการขยายผลออกหมายจับ นายมะยากีกับพวก
9 ต.ค. 50 ชุดปราบปรามยาเสพติดจับกุมเฮโรอีน 4.2 ก.ก. ที่ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และมีการขยายผลออกหมายจับ นายมะยากีกับพวก
9 ต.ค. 50 เจ้าหน้าที่ทหาร – ตำรวจ ในพื้นที่ เข้าตรวจค้น บ้านเลขที่ 90 หมู่ 2 ต.มูโนะ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นบ้านบิดาของนายมะยากี ยึดเงินในท่อพีวีซี ซึ่งฝังใต้พื้นบ้าน 30,496,800 บาท
เมื่อถูกไล่ล่าอย่างหนัก มะยากี หนีไปกบดานที่เมืองลันตู รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย โดยถูกทางการมาเลเซียจับกุมส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2550
ก่อนถูกจับกุมตัว มะยากี ใช้ชีวิตราวคหบดี มีการกระจายเครือข่ายแทรกซึมเข้าติดต่อสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่รัฐทุกรูปแบบ เช่น นักการเมืองระดับประเทศและท้องถิ่น ทำตัวเป็นสายหรือผู้แจ้งข่าวในหน่วยทหาร
สำหรับ มะยากี ได้เข้าติดต่อใกล้ชิดกับนักการเมืองระดับสูง โดยภาพถ่ายในแฟ้มคดีปรากฏว่า นักการเมืองระดับชาติที่ มะยากี ยิ้มเผล่ถ่ายรูปคู่ด้วยความภาคภูมิใจคือ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ”!
เคราะห์ดีที่คดียาเสพติดของ มะยากี มีการออกหมายจับในช่วงรัฐบาลสุรยุทธ จุลานนท์และดำเนินการจริงจังกระทั่งได้รับความร่วมมือจาก มาเลเซียส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยในที่สุด
ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้าพบการกระทำความผิดในช่วงที่นักการเมืองซึ่งมะยากีไปมาหาสู่มีอำนาจ การออกหมายจับกระทั่งนำไปสู่การดำเนินคดีจะเกิดขึ้นหรือไม่
จริงอยู่แค่ภาพถ่ายรูปคู่ระหว่างผู้ต้องหาคดียาเสพติดกับนักการเมืองอย่าง พล.อ.ชวลิต มิอาจเป็นหลักฐานมัดว่า “พล.อ.ชวลิต” มีความเกี่ยวพันกับคดี
แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเสียยิ่งกว่าชัดคือ “พล.อ.ชวลิต” คบค้าสมาคมกับบุคคลในเครือข่ายค้ายาเสพติด แถมเป็นรายใหญ่ที่ให้เงินสนับสนุนผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียด้วย
แล้วกลุ่มคนที่ก่อความไม่สงบ มีจิตใจคิดแบ่งแย่กดินแดนล่ะ “พล.อ.ชวลิต” จะมีความคุ้นเคยแนบแน่นด้วยหรือไม่
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ กลุ่มบีอาร์เอ็น ออกแถลงการณ์เด้งรับแนวคิด “นครรัฐปัตตานี” ของ “พล.อ.ชวลิต” ทันที
แต่แนวคิดนี้ก็ถูกเตะโด่งโดยคนไทยที่มีสำนึกใน “ข้าวแดงแกงร้อน”ไปเรียบร้อยแล้ว
สิ่งที่สังคมไทยต้องจับตาใกล้ชิดคือ ความเคลื่อนไหวของ “พล.อ.ชวลิต” ต่อจากนี้ไป ยังมีอะไรให้ตื่นเต้นอีกเยอะ
ผู้เฒ่าออกโรงเองทั้งที บนดิน อย่างเดียวคงไม่ถึงใจ เกมใต้ดินงานถนัดน่าจะถูกงัดออกมาใช้กันทุกกลยุทธ์เพื่อเผด็จศึกประเทศไทย
และนั่น อาจทำให้การชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงวันที่ 29 พ.ย.นี้ มีอะไรมากกว่าที่เห็น ส่วนจะปิดเกมก่อนวันที่ 3 ธันวาคม ด้วยยุทธวิธีใดนั้น
ภาพแก๊งมอเตอร์ไซด์ออกเผาสถานที่ราชการในช่วงพฤษภาทมิฬ เป็นเหตุการณ์ที่ฝ่ายความมั่นคงไม่เพียงต้องจำให้ติดตา แต่ต้องเท่าทันป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำสองอีกด้วย
-----------------------------------------------------------
โปรย
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเสียยิ่งกว่าชัดคือ “พล.อ.ชวลิต” คบค้าสมาคมกับบุคคลในเครือข่ายค้ายาเสพติด แถมเป็นรายใหญ่ที่ให้เงินสนับสนุนผู้ก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เสียด้วย
แล้วกลุ่มคนที่ก่อความไม่สงบ มีจิตใจคิดแบ่งแย่กดินแดนล่ะ “พล.อ.ชวลิต” จะมีความคุ้นเคยแนบแน่นด้วยหรือไม่
ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้ กลุ่มบีอาร์เอ็น ออกแถลงการณ์เด้งรับแนวคิด “นครรัฐปัตตานี” ของ “พล.อ.ชวลิต” ทันที
--------------------------------------------------