xs
xsm
sm
md
lg

แม่วิศกรไทย วอนเขมรดูแลลูก ห่วงหอบหืดกำเริบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - แม่ “ศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ” วิศวกรหนุ่มชาวโคราชที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุมเปิดใจ ไม่เชื่อลูกชายเป็นสายลับจารกรรมข้อมูลการบินเขมร ระบุเป็นห่วงลูกมากเหตุเป็นโรคภูมิแพ้หอบหืด อาจช็อกหัวใจล้มเหลวเสียชีวิต เผยลูกเพิ่งมาเยี่ยมที่โคราชหลังถูกจับไม่สามารถติดต่อได้เลย ฝากรัฐบาลไทยเร่งช่วยเหลือนำลูกกลับเมืองไทยด้วยความปลอดภัย ชี้เป็นเสาหลักของครอบครัวเป็นคนดีมีน้ำใจ ไม่ฝักใฝ่การเมืองพร้อมขอความเป็นธรรมจากรัฐบาลกัมพูชาและฝาหดูแลลูกชายให้ดี

ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีทางการกัมพูชาจับกุมตัว นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ อายุ 31 ปี ชาวจ.นครราชสีมา วิศวกรประจำหน่ายงานจราจรอากาศกัมพูชา หน่วยจราจรทางอากาศบริษัทควบคุมการบิน บริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิก เซอร์วิสเซส จำกัด (CATS) บริษัทในเครือบริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวหาเป็นสายลับจารกรรมข้อมูลแผนตารางการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนักโทษชายหนีคดีอาญาแผ่นดินไทย และ สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา นั้น

ล่าสุดวานนี้ (16 พ.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น. นางสิมารักษ์ ณ นครพนม อายุ 57 ปี ข้าราชการครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกวิชาพณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา อ.เมือง จ.นครราชสีมา มารดา นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ผู้ถูกทางการกัมพูชาจับกุมไป กล่าวเปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกเป็นห่วงลูกชายมาก เพราะครอบครัวมีกัน 3 คนแม่ลูก โดยมีลูกชาย 2 คน คือ นายศิวรักษ์ หรือ “ เต๋า” ลูกชายคนโต และ นายพงษ์สุรีย์ อายุ 25 ปี น้องชายกำลังศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ส่วนสามีคือ นายสุวิทย์ ชุติพงษ์ มีอาชีพเป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ เสียชีวิตไปนานกว่า 10 ปีแล้ว ตนจึงต้องเลี้ยงดูแลลูกทั้ง 2 คน มาเป็นอย่างดี ชนิดยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม

ทั้งนี้ “ศิวรักษ์” หรือ “เต๋า” ไปทำงานประจำอยู่ที่ประเทศกัมพูชาประมาณ 10 ปีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาได้ติดต่อพูดคุยกับลูกทางโทรศัพท์ตลอดอยู่ตลอดเวลา สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และ ทุก 3 เดือนลูกก็จะเดินทางมาเยี่ยมและมานอนพักอยู่ที่บ้านโคราชโดยตลอด

ล่าสุดลูกชายเดินทางมาเยี่ยมบ้านที่โคราช และเดินทางกลับไปกัมพูชาเมื่อวันจันทร์ที่ 9 พ.ย.ที่ผ่านมา และยังโทรศัพท์มาบอกว่าถึงกัมพูชาเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเช้าวันที่ 10 พ.ย. ลูกก็โทรฯ มาคุยว่ากำลังไปเที่ยวหรือดูงานกับเพื่อนที่ประเทศสปป.ลาว และบอกว่าสบายดี

กระทั่งช่วงบ่ายวันศุกร์ ( 13 พ.ย.) ที่ผ่านมาเพื่อนร่วมงานของลูกโทรศัพท์มาบอกว่า ลูกชายถูกจับตัวไป รู้สึกตกใจอย่างมากและเป็นห่วงลูกมาก คิดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร พร้อมได้พยายามติดต่อลูกทางโทรศัพท์และสอบถามจากเพื่อนร่วมงานก็ติดต่อไม่ได้ ถามเพื่อนก็ไม่มีใครทราบรายละเอียดของการถูกจับตัวไป จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้พูดคุยกับลูกอีกเลย มีเพียงแต่ติดตามข่าวสารลูกชายจากทางสื่อต่างๆ ที่เสนอข่าวออกมาเท่านั้น

“เต๋าเป็นคนดี มีคุณธรรม มีอัธยาศัยที่ดี มีเพื่อนฝูงมากเป็นที่รักใคร่ของทุกคน ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร เต๋าเป็นเสาหลักของครอบครัว ช่วยแม่ผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ หากเขาเป็นอะไรไปแม่ก็คงจะลำบาก ” นางสิมารักษ์ กล่าว

นางสิมารักษ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงแรก ๆ ทางรัฐบาลไทยก็ไม่ได้ติดต่อมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 15 พ.ย.มีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการต่างประเทศโทรศัพท์ติดต่อมาว่า ไม่ต้องเป็นห่วงจะดูแลให้ เช่นเดียวกันกับทางบริษัทฯ ก็ไม่ได้ติดต่อมาโดยตรง มีเพียงเพื่อนร่วมงานลูกที่สอบถามกันไปมา แต่ทุกคนก็ไม่ทราบรายละเอียดที่เกิดขึ้น สิ่งที่เป็นห่วงลูกชายมาก ๆ ในตอนนี้คือ เรื่องสุขภาพของเต๋า ซึ่งเขามีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้โดยง่าย คือเป็นโรคภูมิแพ้ หอบ หืดเวลานอนจะนอนหลับไม่สนิท มีอาการหายใจขาดเป็นช่วง ๆ ต้องรับประทานยาตลอดเวลา หากทานยาไม่ทันอาจเกิดอาการช็อกหรือหัวใจล้มเหลวเสียชีวิตได้ ซึ่งเป็นอาการเหมือนคุณพ่อเขาที่เสียชีวิตไปเมื่อ 10 ปีก่อน และตอนที่ลูกถูกจับตัวไปก็ไม่ทราบว่าเขามียาติดตัวไปหรือไม่ เพราะไม่ทราบแม้กระทั่งว่าลูกถูกจับตัวไปตอนไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร มีแต่ฟังข่าวจากทีวี และสื่อต่างๆ เท่านั้น แต่หากขาดการรับประทานยาไปก็กลัวว่าจะเป็นเหมือนพ่อเขา

นางสิมารักษ์ กล่าวต่อว่า อยากฝากไปยังรัฐบาลไทยได้หาทางช่วยเหลือให้ลูกชายกลับมาเมืองไทยโดยเร็วที่สุดและกลับมาด้วยความปลอดภัยด้วย เพราะเป็นห่วงมาก ถ้าเป็นไปได้อยากพูดคุยและอยากได้ยินเสียงลูกบ้าง เห็นภาพลูกออกทีวี ใบหน้าเศร้ามาก เราเป็นแม่เห็นแล้วอยากร้องไห้ เพราะเราเลี้ยงลูกมาอย่างดี

ส่วนการตั้งกล่าวหาของกัมพูชาที่ว่าเป็นสายลับนั้น นางสิมารักษ์ บอกว่า ไม่เชื่อว่าลูกจะเป็นเช่นนั้น เพราะแม่ลูกมีอะไรจะพูดคุยกันตลอด เรื่องงานของแม่เขาจะรู้หมดทุกอย่าง เช่นเดียวกันเรื่องของเต๋าแม่ก็จะรู้หมดทุกอย่าง แม้กระทั่งเพื่อนผู้หญิงที่จะคบหากันก็จะปรึกษาหารือเสมอ คือพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และเขาไม่จำเป็นต้องทำสิ่งเหล่านี้ เพราะครอบครัวเราก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ฉะนั้นจึงไม่เชื่อว่าลูกจะเป็นสายลับ

อย่างไรก็ตามหากทางกัมพูชาให้เข้าเยี่ยมได้ ก็อยากจะไปหาลูก แม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยเดินทางไปเยี่ยมลูกที่กัมพูชาเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะคิดว่าเขาอยู่ใกล้เรา มีการพูดคุยกันตลอด

นางสิมารักษ์ ยังกล่าวฝากไปยังรัฐบาลของกัมพูชาด้วยว่า ขอให้ดูแลลูกชายตนเองให้ดี ฝากดูแลเขาด้วย เพราะเขาเป็นคนดี มีน้ำใจและขอความเป็นธรรมให้กับลูกชายด้วย และยืนยันว่าลูกไม่เคยมีพฤติกรรมเป็นสายลับแต่อย่างใด และไม่ใช่คนที่มีลักษณะนิสัยฝักใฝ่ทางด้านการเมืองหรืออยู่ฝ่ายใดทั้งสิ้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น