ASTVผู้จัดการรายวัน - บล. กิมเอ็ง เผยแผนปีหน้าเน้นฐานขยายฐานนักลงทุนรายย่อย คาดลูกค้าใหม่เปิดบัญชีอีก 1 หมื่นบัญชี จากปัจจุบันที่มี 7 หมื่นบัญชี "มนตรี" แจงเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นขั้นบันได กระทบกำไรสุทธิลดลง 15% จากขนาดตลาดหุ้นไทยไม่เพิ่มขึ้น หวังงาน เซ็ตอินเดอะ ซิตี้ ได้ลูกค้าใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 พันบัญชี
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2553 บริษัทจะเน้นการขยายฐานนักลงทุนรายย่อย ซึ่งคาดว่าจะมีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาเปิดบัญชี จำนวน 10,000 บัญชี จากปัจจุบันที่มี ประมาณ 70,000 บัญชี และจากการร่วมจัดบูธในงานมหกรรมการลงทุนครบวงจร SET in the City คาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชี ไม่ต่ำกว่า 1,000 บัญชี
" บริษัทมีฐานนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ซึ่งเราจะให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายย่อย โดยจะเน้นในเรื่องการทำงานวิจัยให้อ่านเข้าใจง่าย เพื่อช่วยนักลงทุนสามารถนำไปประกอบการรตัดสินใจในการลงทุนได้ง่ายและเรามีระบบอินเตอร์เน็ตที่รองรับให้นักลงทุนสามารถเข้าถีงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ง่าย เราเราจึงมีแผนที่จะขยายนักลงทุนกล่มนี้ " นายมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ จากการขยายฐานนักลงทุนรายย่อยบริษัทคาดส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยูที่ระดับ 12-13% จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 12% และจากการที่ปีหน้าจะมีการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ขั้นบันไดนั้น ลูกค้าของบริษัทที่มีการซื้อขายต่อวันมากกว่า 5 ล้านบาทไม่มากนัก โดยบริษัทคาดว่าจากการคิดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดนั้น จะส่งผลกระทบทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิลดลง 15% หากขนาดตลาดหุ้นไทยไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่จากการที่ค่าคอมมิชชั่นมีการปรับตัวลดลงนั้น เชื่อว่าจะทำให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 240.84 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 89.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 152.21 ล้านบาท คิดเป็น 171.78 % เนื่องจากรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก ส่วนรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลงจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงและจำนวนเงินสำรองเพื่อรองรับธุรกิจปกติสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง (ประเทศไทย ) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานปี 2553 บริษัทจะเน้นการขยายฐานนักลงทุนรายย่อย ซึ่งคาดว่าจะมีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาเปิดบัญชี จำนวน 10,000 บัญชี จากปัจจุบันที่มี ประมาณ 70,000 บัญชี และจากการร่วมจัดบูธในงานมหกรรมการลงทุนครบวงจร SET in the City คาดว่าจะมีนักลงทุนเข้ามาเปิดบัญชี ไม่ต่ำกว่า 1,000 บัญชี
" บริษัทมีฐานนักลงทุนส่วนใหญ่เป็นรายย่อย ซึ่งเราจะให้ความสำคัญกับนักลงทุนรายย่อย โดยจะเน้นในเรื่องการทำงานวิจัยให้อ่านเข้าใจง่าย เพื่อช่วยนักลงทุนสามารถนำไปประกอบการรตัดสินใจในการลงทุนได้ง่ายและเรามีระบบอินเตอร์เน็ตที่รองรับให้นักลงทุนสามารถเข้าถีงการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ง่าย เราเราจึงมีแผนที่จะขยายนักลงทุนกล่มนี้ " นายมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ จากการขยายฐานนักลงทุนรายย่อยบริษัทคาดส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์)จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยูที่ระดับ 12-13% จากปัจจุบันที่อยู่ระดับ 12% และจากการที่ปีหน้าจะมีการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์ (ค่าคอมมิชชั่น)ขั้นบันไดนั้น ลูกค้าของบริษัทที่มีการซื้อขายต่อวันมากกว่า 5 ล้านบาทไม่มากนัก โดยบริษัทคาดว่าจากการคิดค่าคอมมิชชั่นขั้นบันไดนั้น จะส่งผลกระทบทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิลดลง 15% หากขนาดตลาดหุ้นไทยไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแต่จากการที่ค่าคอมมิชชั่นมีการปรับตัวลดลงนั้น เชื่อว่าจะทำให้มีนักลงทุนเข้ามาซื้อขายหุ้นเพิ่มขึ้น
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปีนี้พบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 240.84 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 89.20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 152.21 ล้านบาท คิดเป็น 171.78 % เนื่องจากรายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก ส่วนรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลงจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงและจำนวนเงินสำรองเพื่อรองรับธุรกิจปกติสูงขึ้น เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มีผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าธรรมเนียมการซื้อขายหลักทรัพย์และผลตอบแทนเจ้าหน้าที่การตลาดจากการที่ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น