เด็ดดอกไม้รายทาง
โดย...อัญชะลี ไพรีรัก
“พลเอก สะพรั่ง กัลยาณมิตร” ใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุราชการทหาร ด้วยการอ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ ศึกษาศาสนาพุทธ กราบไหว้พระ และ สถานที่สำคัญๆที่ประเทศอินเดียปีละ 2-3 ครั้ง และติดตามสถานการณ์บ้านเมืองด้วยใจเป็นห่วงเสมอๆ
พบกันครั้งล่าสุดนี้ “พี่สะพรั่ง” ดูแข็งแรงสดชื่นมีน้ำมีนวล แต่ในแววตานิสิดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความครุ่นคิดอย่างคนไม่กล้าปล่อยวาง ช่างแตกต่างจากกิจกรรมที่เขากระทำในแต่ละวันนั่นเลย
ไถ่ถามได้ความถึงความคิดที่วนเวียนว่า “เป็นห่วงบ้านเมือง ห่วงสถาบันสูงสุด รัฐบาลชุดนี้แก้ปัญหาไม่ถูกจุด เหมือนเมืองไทยเป็นฝีในตับแต่ดันให้กินยาพาราเซตมอน”
ชื่อของนายทหารคนดังผู้นี้ถูกจุดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพลเอก จิรเดช คชรัตน์ อดีตแม่ทัพภาค 3 ลูกน้องพล.อ.สะพรั่งที่ถูกปั้นและดันจนดังขึ้นมา ดันกระโดดเข้าร่วมวงไพบูลย์กับพรรคเพื่อไทยอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมๆกับนายทหารรุ่นเตรียม 10 เกือบครึ่งร้อยที่พกเมียตบเท้าเข้าพรรคทักษิณด้วย วันนั้นเราคนไทยรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าหัน
เมื่อน้องรักที่พี่สะพรั่งดันจนได้ดี ถกก้นเดินบนเส้นทางดูไบเสียอย่างนี้ มีหรือที่นายเก่าจะนอนตาหลับ ดังนั้นหลังจิรเดชโดนสวดยับ ก็ขยับไปหาพี่พรั่งของเขาถึงบ้านพัก คุยกันสามชั่วโมง พี่พรั่งเวียนหัวไล่กลับบ้านและไม่เปิดประตูต้อนรับจิรเดชอีกเลย
ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องก็เป็นอันจบลงแต่ในวันนั้น...สมแล้วที่เขาบอกว่า ทักษิณไปถึงไหน วงแตกที่นั่น เห็นจะจริง
เมื่อถามถึงท่าทีของกองทัพในวันเวลาที่ทักษิณมาท้าทายประเทศของเราถึงพนมเปญ พล.อ. สะพรั่งตอบหนักแน่นตามสไตล์ว่า
“ให้ไปถามบิ๊กป้อมและบิ๊กป๊อกสิว่านั่งทำอะไรกันอยู่ ศักดิ์ศรีของกองทัพไปอยู่ที่ไหน ถ้าเรานั่งนิ่งดูดายไม่สนใจความเป็นไปของบ้านเมืองอย่างนี้ แล้วประเทศชาติของเราจะไปทางไหน ปัญหาของชนในชาติมีมากมาย นับวันจะขยายใหญ่โต มัวสงวนตัว สงวนท่าทีอย่างนี้ไม่มีประโยชน์กับส่วนรวมแต่อย่างใด”
วันที่พบกันนั้นอดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เติบใหญ่มาจากแม่ทัพภาค 3 ยังเล่าเรื่อยไปถึงข้อเสนอดีๆที่ส่งไปให้กับรัฐบาลชุดพลิกขั้วในวันที่ “คนใหญ่คนโตและคนรูปหล่อ”มาขอคำแนะนำ
“ผมให้ข้อคิดที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ถึงการจัดการกองทัพเพื่อรับใช้ชาติในยามที่บ้านเมืองโกลาหลอย่างนี้ บอกหมดไส้หมดพุง แนะนำเขาด้วยหัวใจคนไทยรักชาติ พอบอกไปแล้วก็เฝ้ารอดูอยู่ว่าจะปฏิบัติหรือไม่ แปลกเขากลับเฉยไม่มีใครทำอย่างที่เราบอกไป ก็ให้นึกเสียดาย พอวันเวลาผ่านมาก็มีคนมาบอกกับผมว่า รู้งี้ทำตามที่ท่านบอกเสียยังจะดีกว่า ผมก็เลยยิ้มเฉยๆไม่พูดจาโต้ตอบอะไร เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่สนใจ เพียงมาคุย มาฟัง แต่ไม่ได้ยิน”
ด้วยความที่เป็นคนมีบุคลิกตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ และ รักชาติจนโดดเด่น จึงไม่แปลกใจที่ “บ้าน”ของพล.อ.สะพรั่งต้อนรับ “คนมีชื่อเสียง”มากหน้าหลายตา บางคนมาปรับทุกข์เรื่องบ้านเมือง บางคนมาหารือข้อราชการ แต่ล่าสุดเมื่อคราว “พัทยาเดือด” มีคนบางคนมาขอพึ่งเป็นที่พักพิง
“วันนั้นผมเตือนคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นที่บ้านว่า อย่าไว้ใจสถานการณ์ เพราะเกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นว่า ทหารควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ซึ่งไม่จริงเลย ทหารเราทำได้ เราฝึกมาดี แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ที่พัทยา บอกได้คำเดียวว่า มีคนเกียร์ว่างหวังตีตลบหลัง”
แต่ไม่ว่าจะเตือนเท่าไร คนที่ไม่ได้ยินก็ยังไม่ได้ยินอย่างนั้น เรื่องราวความเดือดเนื้อร้อนใจทุกหย่อมหญ้าในเมืองไทย อยู่ในสายตานายทหารผู้ได้ชื่อว่า “นักสู้ผู้ไม่ยอมแพ้ใคร” คนนี้ตลอดเวลา
แต่ละวันของเขาจึงหมดไปกับการพูดกับคนโน้น คุยกับคนนี้ ไม่ปล่อยให้แต่ละวินาทีว่างเปล่า โดยเฉพาะการพูดคุยเรื่องบ้านเมืองกับเพื่อนทหารด้วยกัน และสุดท้ายทุกคนมาจบลงตรงจุดเดียวกันว่า
“ต้องตัดและทำลายระบอบทักษิณให้สิ้นซาก สิ้นระบอบเลวทรามนี้เมื่อไร เราก็สามารถกอบกู้บ้านเมืองของเรากลับมาได้เมื่อนั้น ไม่งั้นเราไปไม่รอด เมื่อบ้านเมืองไม่ดี เศรษฐกิจจะเติบโตไปได้อย่างไร ทุกคนถึงต้องช่วยกัน อย่าแบ่งฝ่าย อย่าถือเขาถือเรา ถ้าจะถือให้ถือสิ่งเดียวร่วมกันคือ ถือความรักชาติเพื่อปกป้องสามสถาบันหลักของเรา”
เพราะเป็นคนโผงผางและขวานผ่าซากเช่นนี้ ในวันที่คู่คี่มากับใครคนหนึ่ง เขาจึงเสียโอกาสไป แต่พล.อ.สะพรั่งบอกไม่เป็นไร ใครเป็นก็ได้ แต่ขอให้ทำให้ดีเป็นพอ ส่วนตัวของเขาขอยืนดูและเอาใจช่วยอยู่ห่างๆ
“ขนาดเป็นคนดูก็ยังมีคนบางคนมาขอให้ช่วยกอบกู้สถานการณ์ให้เลย แต่เราปฏิเสธไป ไม่ใช่ใจดำแต่ไม่เหมาะด้วยประการปวง ผิดคนผิดที่ผิดเวลา” พล.อ.สะพรั่งพูดถึงวันที่มีคนบางคนจาก “ทำเนียบรัฐบาล”มาขอร้องให้ไปออกรายการกับ “สรยุทธ”ที่ช่อง 3 เพื่อช่วยกู้ภาพให้รัฐบาล ซึ่งเขาปฏิเสธไปด้วยความนุ่มนวล ไม่ใช่ไม่อยากช่วย แต่เคยช่วยแนะนำให้สับกำลังในกองทัพเพื่อค้ำจุนเก้าอี้ และ ความมั่นคงของประเทศชาติ คราวนั้นแชเชือน มาคราวนี้เลยขอดูข้างสนามจะงามกว่า
เหมือนเมื่อคราวพันธมิตรฯออกรบ 193 วัน วันนั้นมีคนถามหาพล.อ.สะพรั่งกันยกใหญ่ ที่ไหนได้มารู้เอาภายหลังว่า พล.อ.สะพรั่ง เดินงานช่วยเหลือกองทัพประชาชนอยู่เบื้องหลัง ร่วมกับ พี่ลองและพี่ปรีชา เคียงบ่าเคียงไหล่ไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลพลิกขั้วของ “อภิสิทธิ์” ก้าวขึ้นมาได้เกือบปีแล้ว พล.อ.สะพรั่งซึ่งเคยอยู่ในกลุ่มคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทำรัฐประหารทักษิณ เฝ้าจับตาดูความเป็นไปของรัฐนาวาชุดนี้มาโดยตลอด แต่แล้วเขาก็พบว่า
“ถ้าไม่เข็มแข็งเด็ดขาด ไม่มีวันเอาชนะทักษิณได้แน่ ที่สำคัญมีแต่คนโง่เท่านั้นที่ผลักไสพันธมิตรฯออกไปไกลห่างจากตัว อย่าลืมว่า พันธมิตรฯคือผู้ทำให้เกิดรัฐบาลพลิกขั้ว ประชาชนไปอาสารับใช้ชาติขับไล่ทรราชมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย และเจ็บปวด บางคนสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิต เพียงเพื่อให้มีรัฐบาลที่เขาเชื่อว่า ดี บริสุทธิ์ และแก้ปัญหาของชนในชาติได้”
“เมื่อไม่เด็ดขาด เมื่อเห็นแก่พวกพ้อง เลยทำให้ระบอบทักษิณที่เกือบหายนะได้ใจกลับคืนมาได้อีก”
เมื่อเชี่ยวชาญงานกองทัพดี ทหารที่ได้รับความรักจากประชาชนมาโดยตลอดคนนี้ จึงส่องแสงให้เห็นความเป็นไปของคนในกองทัพว่า
“เดี๋ยวนี้ทุกๆที่ในบ้านเมืองมีแต่ความแตกแยก แบ่งสีแบ่งฝ่าย ในกองทัพก็เช่นกัน มีสีเหลืองก็มีสีแดง สงสารก็แต่พระเจ้าอยู่หัวฯ กองทัพไม่รู้ไปมุดหัวอยู่ที่ไหน ปล่อยให้ในหลวงถูกคนใจทมิฬมันจาบจ้วงล่วงเกิน ถ้าลองเป็นผมจะได้เห็นดีกัน”
ครั้นถามถึงอายุรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่เต็มไปด้วยคนเห็นแก่ผลประโยชน์และความอ่อนแอ ทหารรักชาติผู้นี้ตอบโดยไม่ต้องคิดว่า
“เมื่อย่อหย่อนไม่จัดการจริงจัง เรื่องถึงลามปามจนทักษิณมาท้าแหยงๆอยู่ที่เขมรนี่เอง เห็นไหมกลัวกันเสียที่ไหนละ พากันออกไปมาหาสู่กันโครมๆ ปล่อยให้ทรราชชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ไม่ปราบปรามให้เห็นเป็นตัวอย่าง ส่วนแม่ทัพนายกองนายทหารก็ดูดายไม่ออกมาช่วยรัฐบาล ทั้งนี้เป็นเพราะว่า รัฐบาลไม่มีทหารของตัวเองยังไงเล่า วันนี้เก้าอี้ท่านนายกฯถึงได้ร้อนผิดปกติ”
เมื่อชวนคุยเลยไปถึงกรณีทักษิณกับ Timesonline พล.อ.สะพรั่งผู้ประกาศตนเป็นศัตรูกับคนใดก็ตามที่คิด “ล้มเจ้า”ว่า
“ทักษิณเหิมเกริม บ้าอำนาจ จิตใจโหดร้ายเต็มไปด้วยความคลั่งแค้นตั้งแต่วันที่ถูกรัฐประหาร แล้วมักคิดไปเองว่า สถาบันอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติทักษิณ ซึ่งไม่จริงเลย ผมย้ำว่านายทหารทุกคนทุกกรมกอง โดยเฉพาะที่ทำรัฐประหารต้องออกมาปกป้องสถาบันสูงสุดแล้ว”
“ อย่านิ่งเฉยแล้วปล่อยให้ทักษิณมาจาบจ้วงในหลวงและราชวงศ์ไม่หยุดอย่างนี้ ผมเห็นแล้วเศร้าใจ พวกมันหยาบช้าเหยียบย่ำน้ำใจคนไทย จาบจ้วงไม่หยุดหย่อน โดยไม่มีผู้ใหญ่คนไหนออกหน้ามาจัดการ นานวันเข้าจะเป็นภัยอันตรายใหญ่หลวงต่อสถาบันและประเทศชาติ ดูอย่างที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ล่าสุดสิ มันทำร้ายหัวใจคนไทยแค่ไหนคิดดู”
“้วยกีชา พรั่งกันยกใหญ่ ที่ไหนได้พล.อ.สะพรั่งกลับทำหน้าที่นายทหารทุกขณะจิตโเพราะความจริงก็คือ วันนั้นพวกเราทำเองด้วยหัวใจทหารรักชาติ และราชบัลลังค์ แต่อย่างว่า วันนั้นเราเพียงมีโอกาสแต่ขาดประสบการณ์ และ เกิดปัจจัยแทรกซ้อนรอบด้าน ไม่มีอะไรลับ ลวง พราง ไม่มีคืนยะเยือกอะไรหรอก มีแต่สิ่งดีๆที่ต้องทำเพื่อประเทศชาติ ประชาชนและในหลวง”
ถามทิ้งท้ายว่า ถ้ามีโอกาสจะทำอีกไหม? เขายิ้ม –หน้านิ่งเรียบเฉย แต่เดาคำตอบได้จาก สายตาดุดันเหมือนเก่า...เสือไม่ทิ้งลายฉันใด สะพรั่งไม่ทิ้งงานที่ยังทำไม่เสร็จฉันนั้น...รอดูกันต่อไปว่าอะไรจะเกิดขึ้น