ASTVผู้จัดการรายวัน – กลุ่มบีอีซี ยอมจ่ายเงินกินเปล่าแค่ 405 ล้านบาท ให้ อสมท เพื่อสัญญาบริการสัมปทานช่อง 3 ต่ออีก 10 ปี ย้ำห้ามปรับเปลี่ยนสัญญาเดิม 2,002 ล้านบาท บอร์ด อสมท ยอมรับเรื่อง ขอนำกลับไปพิจาณาก่อนสรุป 26 พ.ย.นี้ พร้อมเผยตัวเลขไตรมาสสาม อสมท มีรายได้รวมเติบโตขึ้น 12% คิดเป็นเม็ดเงินกว่า 1,213 ล้านบาท
นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ด อสมท วานนี้ (13 พ.ย.) มีวาระสำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือ 1. การจ่ายผลประโยชน์ในรูปตัวเงินของ กลุ่มบริษัทบีอีซีเวิลด์ ในนามบริษัท บางกอกเอนเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ที่ให้กับ อสมท ในฐานะเจ้าของสัมปทานช่อง3 ซึ่งทางบอร์ด อสมท ได้พิจารณาเห็นชอบรับตัวเลขข้อเสนอที่ทางบีอีซีเวิลด์ เสนอมาที่ 405 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นการจ่ายเป็นก้อนในครั้งเดียว ทั้งนี้ต้องขอดูเรื่องรายละเอียดในเอกสารให้เรียบร้อยก่อน จึงจะมีการส่งมอบได้ คาดว่าจะเป็นตัวเลขรายได้ที่จะเข้า อสมท ในช่วงไตรมาสสี่นี้
สำหรับตัวเลข 405 ล้านบาทนี้ เป็นการคิดบนพื้นฐานรายได้ของบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยทาง อสมท เสนอให้อยู่ในอัตรา 6.5% ของรายได้ ซึ่งรายได้ปีสุดท้ายของ บางกอกฯ มีกว่า 4,200 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่คำนวณออกมาได้นั้นอยู่ระหว่าง 400-500 ล้านบาท และทั้ง 2 ฝ่าย ได้มาตกลงร่วมกัน สรุปกันได้ที่ 405 ล้านบาท
“ตัวเลขนี้ ทางบอร์ด อสมท ได้คิดบนพื้นฐาน 10 ปีหลังจากนี้ด้วยว่า ในปีแรก บางกอกฯน่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 5% ปีต่อไปน่าจะอยู่ที่ 3% และในปีที่3 น่าจะโตเพียง2% จากการเกิด กสทช. และในปีที่5 ทรงตัวที่ 2% หลังจากนั้นคงไม่เติบโต เพราะเป็นช่วงที่เปิดเสรีทางด้านสื่อ ดังนั้นตัวเลข 405 ล้านบาทในวันนี้ จึงพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม แต่ถ้าในอนาคต บางกอกฯจะมีรายได้เป็นเท่าตัว ก็ต้องเข้าใจว่า วันนี้ บอร์ด อสมท เลือกวิธีที่ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ของ อสมทแล้ว”
อย่างไรก็ตามทางบางกอกฯได้เสนอเงื่อนไขมากับข้อตกลงในการจ่ายผลประโยชน์ในรูปตัวเงินร่วมกัน ด้วยว่า ผลประโยชน์ที่ยอมจ่ายให้ครั้งนี้ อยากให้ทางอสมท ไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ทำไว้ เพราะอย่างไรก็ตามทางบางกอกฯ ยังยืนยันว่า สัญญาสัมปทานฉบับดังกล่าวเป็นไปในรูปแบบ 30 ปี กับค่าสัมปทานที่ต้องจ่ายที่ 2,002 ล้านบาท ไม่ใช่อย่างที่ อสมท ตีความไว้ที่ 20+10 ปี
ทั้งนี้ทางบอร์ด อสมท พร้อมรับเรื่องดังกล่าวกลับมาพิจารณาอีกครั้ง โดยได้มอบหมายให้ทางฝ่ายกฏหมาย รวมรวมเอกสารสัญญาสัมปทานตั้งแต่ครั้งมีมติ ครม.ที่ให้ทำสัญญาในปี 2532 จนมาถึงการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 2และครั้งที่3 ซึ่งจะมาดูข้อสรุปกันอีกครั้ง ในการประชุมบอร์ด อสมท วันที่ 26 พ.ย.นี้ ว่าสัญญาสัมปทานครั้งนี้ จะตีความออกมาได้เช่นไร
นายสุรพล กล่าวต่อว่า สำหรับวาระสำคัญ เรื่องที่2 ที่บอร์ด อสมท ประชุมหารือร่วมกันนั้น คือ ผลประกอบ ของ อสมท โดยผลประกอบการของไตรมาสสาม พบว่า มีมูลค่าที่ 1,213 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12% โดยกำไรสุทธิเติบโตขึ้นเป็น 311 ล้านบาท หรือประมาณ 13% เทียบกับไตรมาสสามของปีก่อน ซึ่งการเติบโตที่เกิดขึ้นนี้ เชื่อว่ามาจากการปรับผังรายการใหม่ เข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ขึ้น
ขณะเดียวกันรายได้จากโฆษณาสูงขึ้นด้วย โดยในส่วนของโทรทัศน์ มีการเติบโตขึ้น 22% และวิทยุ เติบโต 3% ทั้งนี้เมื่อคิดคำนวณผลประกอบการในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาแล้ว พบว่า อสมท มีรายได้รวมที่ 3,390 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7% กำไรสุทธิอยู่ที่ 984 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6.4%
อย่างไรก็ตาม นาย สุรพล กล่าวถึงภาระกิจการทำงานของคณะบอร์ด อสมท ชุดปัจจุบันด้วยว่า มี 4 ภาระกิจหลัก ที่จะเข้ามาดำเนินการอย่างเต็มที่ คือ 1.การสรรหา ซีอีโอ ซึ่งเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 2.สัญญาสัมปทานกับทาง ทรู วิชั่นส์ 3.สัญญาสัมปทานกับทาง บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และ 4. การปรับโครงสร้างระบบการบริหารงานภายในองค์กร
ภาระกิจที่มองว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด คือ เรื่องของ การปรับโครงสร้างระบบการบริหารงานภายในองค์กร เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนในองค์กร แต่อย่างไรก็ตามจะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้สามารถรองรับพันธกิจของอสมทต่อไป โดยเฉพาะในปีหน้าที่อสมท จะรุกหนักในเรื่องของธุรกิจนิวมีเดีย ใหม่ๆ
นายสุรพล นิติไกรพจน์ ประธานบอร์ด บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การประชุมบอร์ด อสมท วานนี้ (13 พ.ย.) มีวาระสำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือ 1. การจ่ายผลประโยชน์ในรูปตัวเงินของ กลุ่มบริษัทบีอีซีเวิลด์ ในนามบริษัท บางกอกเอนเตอร์เทนเม้นต์ จำกัด ที่ให้กับ อสมท ในฐานะเจ้าของสัมปทานช่อง3 ซึ่งทางบอร์ด อสมท ได้พิจารณาเห็นชอบรับตัวเลขข้อเสนอที่ทางบีอีซีเวิลด์ เสนอมาที่ 405 ล้านบาทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นการจ่ายเป็นก้อนในครั้งเดียว ทั้งนี้ต้องขอดูเรื่องรายละเอียดในเอกสารให้เรียบร้อยก่อน จึงจะมีการส่งมอบได้ คาดว่าจะเป็นตัวเลขรายได้ที่จะเข้า อสมท ในช่วงไตรมาสสี่นี้
สำหรับตัวเลข 405 ล้านบาทนี้ เป็นการคิดบนพื้นฐานรายได้ของบริษัท บางกอกเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยทาง อสมท เสนอให้อยู่ในอัตรา 6.5% ของรายได้ ซึ่งรายได้ปีสุดท้ายของ บางกอกฯ มีกว่า 4,200 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่คำนวณออกมาได้นั้นอยู่ระหว่าง 400-500 ล้านบาท และทั้ง 2 ฝ่าย ได้มาตกลงร่วมกัน สรุปกันได้ที่ 405 ล้านบาท
“ตัวเลขนี้ ทางบอร์ด อสมท ได้คิดบนพื้นฐาน 10 ปีหลังจากนี้ด้วยว่า ในปีแรก บางกอกฯน่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 5% ปีต่อไปน่าจะอยู่ที่ 3% และในปีที่3 น่าจะโตเพียง2% จากการเกิด กสทช. และในปีที่5 ทรงตัวที่ 2% หลังจากนั้นคงไม่เติบโต เพราะเป็นช่วงที่เปิดเสรีทางด้านสื่อ ดังนั้นตัวเลข 405 ล้านบาทในวันนี้ จึงพิจารณาแล้วว่าเหมาะสม แต่ถ้าในอนาคต บางกอกฯจะมีรายได้เป็นเท่าตัว ก็ต้องเข้าใจว่า วันนี้ บอร์ด อสมท เลือกวิธีที่ดีที่สุด เพื่อประโยชน์ของ อสมทแล้ว”
อย่างไรก็ตามทางบางกอกฯได้เสนอเงื่อนไขมากับข้อตกลงในการจ่ายผลประโยชน์ในรูปตัวเงินร่วมกัน ด้วยว่า ผลประโยชน์ที่ยอมจ่ายให้ครั้งนี้ อยากให้ทางอสมท ไม่เข้าไปก้าวก่ายหรือแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ทำไว้ เพราะอย่างไรก็ตามทางบางกอกฯ ยังยืนยันว่า สัญญาสัมปทานฉบับดังกล่าวเป็นไปในรูปแบบ 30 ปี กับค่าสัมปทานที่ต้องจ่ายที่ 2,002 ล้านบาท ไม่ใช่อย่างที่ อสมท ตีความไว้ที่ 20+10 ปี
ทั้งนี้ทางบอร์ด อสมท พร้อมรับเรื่องดังกล่าวกลับมาพิจารณาอีกครั้ง โดยได้มอบหมายให้ทางฝ่ายกฏหมาย รวมรวมเอกสารสัญญาสัมปทานตั้งแต่ครั้งมีมติ ครม.ที่ให้ทำสัญญาในปี 2532 จนมาถึงการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 2และครั้งที่3 ซึ่งจะมาดูข้อสรุปกันอีกครั้ง ในการประชุมบอร์ด อสมท วันที่ 26 พ.ย.นี้ ว่าสัญญาสัมปทานครั้งนี้ จะตีความออกมาได้เช่นไร
นายสุรพล กล่าวต่อว่า สำหรับวาระสำคัญ เรื่องที่2 ที่บอร์ด อสมท ประชุมหารือร่วมกันนั้น คือ ผลประกอบ ของ อสมท โดยผลประกอบการของไตรมาสสาม พบว่า มีมูลค่าที่ 1,213 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12% โดยกำไรสุทธิเติบโตขึ้นเป็น 311 ล้านบาท หรือประมาณ 13% เทียบกับไตรมาสสามของปีก่อน ซึ่งการเติบโตที่เกิดขึ้นนี้ เชื่อว่ามาจากการปรับผังรายการใหม่ เข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ขึ้น
ขณะเดียวกันรายได้จากโฆษณาสูงขึ้นด้วย โดยในส่วนของโทรทัศน์ มีการเติบโตขึ้น 22% และวิทยุ เติบโต 3% ทั้งนี้เมื่อคิดคำนวณผลประกอบการในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาแล้ว พบว่า อสมท มีรายได้รวมที่ 3,390 ล้านบาท เติบโตขึ้น 7% กำไรสุทธิอยู่ที่ 984 ล้านบาท เติบโตขึ้น 6.4%
อย่างไรก็ตาม นาย สุรพล กล่าวถึงภาระกิจการทำงานของคณะบอร์ด อสมท ชุดปัจจุบันด้วยว่า มี 4 ภาระกิจหลัก ที่จะเข้ามาดำเนินการอย่างเต็มที่ คือ 1.การสรรหา ซีอีโอ ซึ่งเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 2.สัญญาสัมปทานกับทาง ทรู วิชั่นส์ 3.สัญญาสัมปทานกับทาง บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และ 4. การปรับโครงสร้างระบบการบริหารงานภายในองค์กร
ภาระกิจที่มองว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด คือ เรื่องของ การปรับโครงสร้างระบบการบริหารงานภายในองค์กร เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนในองค์กร แต่อย่างไรก็ตามจะทำให้ดีที่สุด เพื่อให้สามารถรองรับพันธกิจของอสมทต่อไป โดยเฉพาะในปีหน้าที่อสมท จะรุกหนักในเรื่องของธุรกิจนิวมีเดีย ใหม่ๆ