นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU แจ้งผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิ 3,808.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,111.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 698 ล้านบาท คิดเป็น 22%
ซึ่งในไตรมาสนี้บริษัทได้บันทึก EBITDA รวมเป็น 6,088 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 7 % จากปีก่อนหน้าและลดลง 11% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยแบ่งเป็น EBITDA จากธุรกิจถ่านหิน 4,603 ล้านบาท และ EBITDA จากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 1,485 ล้านบาท
สำหรับไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้ จากการขายรวม 13,881 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 471 ล้านบาท คิดเป็น 3 % จากราคาขายถ่านหินที่ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากถ่านหิน 12,801 ล้านบาท คิดเป็น 92 % ของรายได้จากการขายรวม ลดลง 581 ล้านบาท หรือ 4 % ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และรายได้อื่นๆ 1,080 ล้านบาท คิดเป็น 8 % ของรายได้จากการขายรวม ส่วนต้นทุนขายลดลง ผลมาจากต้นทุนผันแปรในส่วนราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับลดลงจาก 1.25 เหรียญสหรัฐฯต่อลิตรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมาเป็น 0.61เหรียญสหรัฐฯต่อลิตรในไตรมาสนี้ ในขณะเดียวกันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการลดลงของราคาถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีน
อย่างไรก็ดีไตรมาส นี้ บริษัทมีกำไรขั้นต้นรวม 6,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 551 ล้านบาทคิดเป็น 9 % อัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้นต่อ
ยอดขายรวม (Gross Profit Margin) สำหรับไตรมาสนี้คิดเป็น 49 % ซึ่งธุรกิจถ่านหินมีอัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้น 51% และ ธุรกิจไฟฟ้ามีอัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้น 26% ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 183 ล้านบาท จากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯขณะที่ได้มีการบันทึกกำไรจากรายการนี้ 210 ล้านบาทในปีก่อนหน้า
ซึ่งในไตรมาสนี้บริษัทได้บันทึก EBITDA รวมเป็น 6,088 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 7 % จากปีก่อนหน้าและลดลง 11% จากไตรมาสก่อนหน้า โดยแบ่งเป็น EBITDA จากธุรกิจถ่านหิน 4,603 ล้านบาท และ EBITDA จากธุรกิจไฟฟ้าจำนวน 1,485 ล้านบาท
สำหรับไตรมาสนี้ บริษัทมีรายได้ จากการขายรวม 13,881 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 471 ล้านบาท คิดเป็น 3 % จากราคาขายถ่านหินที่ลดลงเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้จากถ่านหิน 12,801 ล้านบาท คิดเป็น 92 % ของรายได้จากการขายรวม ลดลง 581 ล้านบาท หรือ 4 % ส่วนรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ และรายได้อื่นๆ 1,080 ล้านบาท คิดเป็น 8 % ของรายได้จากการขายรวม ส่วนต้นทุนขายลดลง ผลมาจากต้นทุนผันแปรในส่วนราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับลดลงจาก 1.25 เหรียญสหรัฐฯต่อลิตรในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนมาเป็น 0.61เหรียญสหรัฐฯต่อลิตรในไตรมาสนี้ ในขณะเดียวกันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากการลดลงของราคาถ่านหินในสาธารณรัฐประชาชนจีน
อย่างไรก็ดีไตรมาส นี้ บริษัทมีกำไรขั้นต้นรวม 6,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 551 ล้านบาทคิดเป็น 9 % อัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้นต่อ
ยอดขายรวม (Gross Profit Margin) สำหรับไตรมาสนี้คิดเป็น 49 % ซึ่งธุรกิจถ่านหินมีอัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้น 51% และ ธุรกิจไฟฟ้ามีอัตราส่วนการทำกำไรขั้นต้น 26% ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 183 ล้านบาท จากการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯขณะที่ได้มีการบันทึกกำไรจากรายการนี้ 210 ล้านบาทในปีก่อนหน้า