วันนี้สังคมไทยกำลังก้าวถึงทางตัน เส้นทางที่เหลืออยู่ดูราวกับว่ามีเพียง 2 เส้นทางเท่านั้น ทางหนึ่งคือ เส้นทางแบบประชาธิปัตย์ ที่แก้ปัญหาแบบไปวันๆ และไร้ทิศทางนำพาประเทศ ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งคือ หวนกลับไปศิโรราบกับระบอบทักษิณ (แบบโกงบ้านกินเมือง)
ผู้คนจำนวนหนึ่งจึงเริ่มแสวงหาทางออกใหม่ ที่ไม่ใช่ทั้งแบบประชาธิปัตย์และระบอบทักษิณ
อะไรคือ “ทางออก” นี้
นี่คือ ที่มาของการคิดวาง “ยุทธศาสตร์ใหม่”
ไม่นานมานี้ ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมอภิปรายเสนอแนวยุทธศาสตร์ให้แก่พรรคการเมืองใหม่ และหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ต้องเดินทางไปใต้ (ที่จังหวัดตรัง) เพื่อนำเสนอเรื่องยุทธศาสตร์เช่นกัน แต่ครั้งนี้เป็นยุทธศาสตร์ภาคประชาชน
พอไปถึงที่ประชุมพรรคการเมืองใหม่ ทางพรรคได้ทำเอกสารนำเสนอทิศทางทางยุทธศาสตร์ของพรรค ผมอ่านแล้วพบว่าบทเสนอทางยุทธศาสตร์ส่วนใหญ่ยังเป็นการคิดและวางยุทธศาสตร์ในกรอบของประเทศไทย
ผมจึงเริ่มอภิปรายว่า
ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลก ถ้าเราจะคิดวางยุทธศาสตร์โดยเอาประเทศไทยเป็นกรอบคิดในเชิงยุทธศาสตร์เท่านั้นไม่ได้ พูดง่ายๆ พรรคการเมืองใหม่ต้องมียุทธศาสตร์ 4 ระดับคือ ยุทธศาสตร์ระดับโลก ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ รวมทั้งระดับเมืองและชุมชน
จะวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทยได้ ต้องใช้หน่วยวิเคราะห์ที่เรียกว่า “ระบบโลก” กล่าวคือ เราต้องรู้ว่า ระบบโลกมีความเป็นมาอย่างไร และกำลังจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางเช่นไรในอนาคต
ผมกล่าวต่ออีกว่า
ที่ผ่านมา ไม่มีพรรคการเมืองใดวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทย เราคิดกันแค่ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ทั้งๆ ที่คนไทยเริ่มตระหนักรู้ว่าประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกแล้ว
ที่น่าสังเกตก็คือ ประเทศมหาอำนาจ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย จะมีการกำหนดวางยุทธศาสตร์โลก และถือว่านี่คือยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญสูงสุด แต่ในทางกลับกัน บรรดาประเทศเล็กๆ ส่วนใหญ่ รวมทั้งประเทศไทย ไม่มีการวางยุทธศาสตร์โลก
หรือพูดอีกแบบหนึ่งว่า ประเทศเล็กๆ เหล่านี้ ในเมื่อไม่มียุทธศาสตร์โลกของตัวเอง ทิศทางใหญ่ทางยุทธศาสตร์เกือบทั้งหมดจะถูกกำหนดวางจากประเทศใหญ่ๆ เพื่อให้บรรดาประเทศเหล่านี้ปฏิบัติตาม
มองย้อนประวัติศาสตร์ไทย อย่างน้อยย้อนไปตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ประเทศไทยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนโลกอย่างสมบูรณ์แบบ ในยุคนี้ ชนชั้นนำสหรัฐอเมริกามีอิทธิพลเหนือการวางยุทธศาสตร์โลก…ไทย
ยุทธศาสตร์ของไทยจึงไม่เป็น “ไท” และเพื่อ “คนไทย” เพราะรัฐไทยมีฐานะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สงครามของสหรัฐอเมริกา ถูกใช้เพื่อต่อต้านการลุกขึ้นสู้เพื่อเอกราชในสงครามอินโดจีน รวมทั้งต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในเอเชีย
ภายใต้ยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา รัฐไทยจึงถูกสร้างให้เป็นรัฐทหารและรัฐราชการขนาดใหญ่แบบรวมศูนย์อำนาจ โดยมีเป้าหมายยุทธศาสตร์สำคัญอยู่ที่การปราบปรามคอมมิวนิสต์ ดังนั้น กองทัพไทยจึงทำหน้าที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของกำลังรบของสหรัฐอเมริกา
แต่ในเวลาเดียวกัน ชนชั้นนำอเมริกันตระหนักรู้ว่า การปิดล้อมจีนและคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะปิดล้อมเฉพาะด้านทหารอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องปิดล้อมทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วย
ชนชั้นนำอเมริกาจึงช่วยวางยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจให้แก่ไทยด้วย นี่คือที่มาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีการกำหนดวางแผนกันทุกๆ 5 ปี ภายใต้การชี้นำของ World Bank สถาบันการเงินโลกที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน โดยมีเจตนาเพื่อผนวกระบบเศรษฐกิจไทยให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่มีศูนย์กลางที่ประเทศอเมริกา
เราจึงกลายเป็นประเทศทุนนิยมที่ต้องพึ่งพาและขึ้นต่อการลงทุนของทุนข้ามชาติ และมีระบบเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ความมั่งคั่งไว้ที่ศูนย์กลาง
ในช่วงประวัติศาสตร์นี้ ประเทศไทยไม่ได้ถูกถอนรากทางระบบการเมืองและเศรษฐกิจเท่านั้น ประเทศไทยถูกถอนรากทางวัฒนธรรมอย่างสิ้นเชิงด้วย ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันได้เข้ามาช่วยวางแผนปฏิรูประบบวัฒนธรรมและการศึกษาของไทยใหม่หมด
วัฒนธรรมตะวันออกและระบบการศึกษาแบบเก่า (รวมทั้งหลักพุทธธรรม) ถูกหาว่าเป็นของโบราณล้าสมัยและไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ประเทศไทยจึงหันไปรับวัฒนธรรมทุนนิยมอย่างเต็มตัวและวางระบบการศึกษาใหม่ที่เป็นแบบตะวันตกขึ้น
ในยุคนั้น สหรัฐอเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลาง” การศึกษาของไทย ถ้าจะเรียนปริญญาโท...เอก นักศึกษาไทยต้องเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งนักศึกษาด้านการทหารก็ต้องจบหลักสูตรสูงสุดจากสหรัฐอเมริกา
วัฒนธรรมอเมริกันคาวบอยแพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทย เริ่มจากวัฒนธรรมพัฒนพงศ์....บรรดาสาวไทยใจกล้า เต้นแก้ผ้า.....ชายไทยหันไปใส่กางเกงยีน สูบบุหรี่นอก และใส่หมวกแบบคาวบอย
ความสุขในมิติทางพุทธว่าด้วย ‘ความสุขสงบ’ ถูกแทนที่ด้วยความเชื่อใหม่ว่า “งานคือ เงิน เงินคืองานบันดาลสุข”
ความสุขแบบใหม่นี้ถูกสร้างได้จากอำนาจเงินตรา
ประเทศไทยจึงพัฒนากลายเป็นประเทศรัฐบริวาร (แบบกึ่งเมืองขึ้น) มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมพึ่งพาและผลิตซ้ำวัฒนธรรมทุนนิยมแบบอเมริกานิยมในเวลาเดียวกัน
ไม่นานมานี้ ผมเคยนำเสนอในวงการวิชาการแห่งหนึ่งว่า
“ถ้ามองในกรอบของประเทศ เราจะเข้าใจว่าจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดคือ การปฏิวัติ 2475 แต่ถ้ามองจากกรอบของระบบโลกแล้ว จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ไทยที่สำคัญที่สุดคือ ช่วง พ.ศ. 2500 ถึง 2516 การผนวกไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งการรื้อถอนฐานวัฒนธรรมไทยเก่าอย่างสิ้นเชิง”
นอกจากนั้น ผมยังกล่าวอีกว่า
“ที่จริงแล้ว การผนวกทางวัฒนธรรมมีความสำคัญยิ่งกว่าการผนวกประเทศทางเศรษฐกิจการเมืองเสียอีก เพราะการผนวกทางวัฒนธรรมนี้สามารถเปลี่ยนค่านิยม ความเชื่อ ทฤษฎี และสร้างจิตวิญญาณใหม่แก่ประชาชนไทยทั้งประเทศ”
ระบบการศึกษาใหม่สอนให้เยาวชนไทยและปัญญาชนไทยเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว โลภ และอยากรวย ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่ง
เราถอนรากฐานระบบการศึกษาโบราณ (แบบตะวันออก) ที่เชื่อว่า คุณธรรมต้องนำความรู้ คุณธรรมต้องนำการเมืองและเศรษฐกิจ
เราจึงหลงผลิตแต่ “ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและอยากรวย” ใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจการเมืองและระบบราชการ ผลที่หลีกเลี่ยงได้ยากคือ การเกิดขึ้นของระบบการเมืองและระบบราชการที่คอร์รัปชัน หรือการโกงกินแผ่นดินทั้งระบบ
ประมาณปี 1970 สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนาม นักศึกษาไทยได้ใช้โอกาสนี้ก่อเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 14 ตุลาโค่นล้มรัฐทรราชทหารซึ่งส่งผลทำให้ฐานะรัฐทหารสั่นคลอน และในที่สุด สหรัฐอเมริกาต้องถอนฐานทัพออกจากประเทศไทย
แต่ถึงอย่างไร โครงสร้างระบบวัฒนธรรมการศึกษาและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมพึ่งพายังคงฝังรากลึก
ชนชั้นนำไทยส่วนใหญ่จึงไม่สามารถสวิงหลุดออกจากจิตวิญญาณแบบ ‘ขี้ข้า’ ได้จริงๆ
ยังคิดอะไรเอง...ไม่เป็น
ในช่วงประวัติศาสตร์นี้เอง ประเทศญี่ปุ่นได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะเสือเศรษฐกิจของโลก ชนชั้นนำญี่ปุ่นเริ่มขยายฐานเศรษฐกิจมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชนชั้นนำทางธุรกิจไทยจึงได้ “เจ้านายใหม่”
ประเทศไทยจึงถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การขยายการผลิตอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกของญี่ปุ่น
ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งผลิตสินค้าที่ก่อมลภาวะสูงซึ่งนักธุรกิจญี่ปุ่นเองไม่ต้องการผลิตในประเทศของตน และยังกลายเป็นทั้งตลาดบริโภคสินค้าญี่ปุ่นและแหล่งประกอบรถยนต์เพื่อการส่งออกให้กับประเทศญี่ปุ่น
พอถึงปี 1990 เกิดฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่น ฐานะความเป็นมหาอำนาจใหม่ของญี่ปุ่นเริ่มเสื่อมถอยลง ในขณะเดียวกัน เจ้านายเก่า (หรือสหรัฐอเมริกา) ได้ฟื้นฐานะขึ้นมาเป็นผู้นำโลกอีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆ กับการปฏิวัติทางการสื่อสารและเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกกันต่อมาว่า ยุคโลกาภิวัตน์
ชนชั้นนำไทยก็พลอยลิงโลด ดีใจฝันหวาน หลงชื่นชมกระแสโลกาภิวัตน์ที่ยิ่งใหญ่ พวกเขากลัวจะตกกระแสจึงรีบเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน วิ่งตามยุทธศาสตร์ตลาดเสรีซึ่งผู้นำสหรัฐอเมริกาเสนอ หวังว่าจะนำสังคมไทยสู่ความรุ่งโรจน์
เสรีทางการค้าและการเงินนำความรุ่งเรืองแบบฟองสบู่มาให้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ในที่สุดก็เกิดหายนะฟองสบู่แตกใหญ่ในปี 1997
ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาข้างต้นสะท้อนภาพว่า ชนชั้นนำไทยไม่เคยคิดวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทย อย่างน้อยย้อนไปตั้งแต่ปี 1957 จนถึงปัจจุบัน
กล่าวอย่างสรุป
การเปลี่ยนแปลงแบบอภิวัตน์จากปี 1957 ถึง 1973 ได้ก่อเกิดผลผลิตที่สำคัญ 2 ประการ
ประการที่ 1 การสร้างระบบรัฐทหารเผด็จอำนาจและระบบเศรษฐกิจที่รวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดความมั่งคั่งไว้ที่ส่วนกลาง
บรรดานายทหารและนายตำรวจที่มีอำนาจเด็ดขาด สามารถสร้างความมั่งคั่งจากการมีอำนาจเหนือระบบการเมืองและสามารถหารายได้ผลประโยชน์พิเศษจากการลงทุนทางธุรกิจและจากผลประโยชน์พิเศษที่ชนชั้นนำอเมริกันมอบให้ (ทั้งที่ทำภายใต้กฎหมายและนอกกฎหมาย)
ภายใต้กฎหมาย คือ บรรดาผลประโยชน์ร่วม โดยการอ้างสิทธิสัมปทานแหล่งแร่ธาตุและทรัพยากรที่มีค่าทั้งหมด เพื่อยกให้ทุนข้ามชาติอเมริกาเข้ามาลงทุน เช่น การตัดป่าไม้และการผลิตดีบุกในช่วงอดีต รวมถึงกรณีเรื่องน้ำมันและแก๊สในยุคปัจจุบัน
นอกกฎหมาย คือ การหารายได้พิเศษ อย่างเช่น การค้าเฮโรอีนในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รวมทั้งการค้าของเถื่อน การค้าอาวุธ ค้าน้ำมันเถื่อนและยาบ้าในยุคปัจจุบัน
ระบบอำนาจพิเศษเหล่านี้กลายเป็นที่มาของระบบมาเฟียทหารและมาเฟียตำรวจซึ่งสามารถเชื่อมตรงและควบคุมบรรดามาเฟียท้องถิ่นสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
นักวิชาการ (สีแดง) มักจะเรียกระบบรัฐทหารเผด็จอำนาจนี้ว่า ระบบอำมาตย์ โดยมีเจตนาเพื่อจะเชื่อมระบบที่กล่าวว่า “ชั่วร้าย” นี้ ว่าเป็นส่วนหนึ่ง (ข้ารับใช้) ของระบบกษัตริย์ของไทยในสมัยโบราณ
ผมคิดว่า นี่คือ ความเข้าใจผิด.....
ที่จริงแล้ว รัฐทหารเผด็จอำนาจนี้เชื่อมตรงและขึ้นต่อกับระบบทุนโลกเป็นสำคัญ ที่สำคัญ ในยุคจอมพลสฤษดิ์นั้น สถาบันทหารไทยมีฐานะ “อำนาจสูงสุด” เหนือกว่าสถาบันอำนาจอื่นๆ ทั้งหมดในประเทศไทย
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ การเผด็จอำนาจของทหารเหนือรัฐไทยเริ่มเสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ ชนชั้นนายทุนไทยเริ่มมีบทบาททางการเมืองสูงขึ้น การเมืองไทยจึงเปลี่ยนจากยุคทหารมาสู่ยุครัฐสภา
แต่เนื่องจากชนชั้นนายทุนไทยเติบโตขึ้นมาจากระบบทุนนิยมแบบพึ่งพา การพัฒนาของทุนไทยจึงต้องขึ้นต่อผลประโยชน์ของทุนต่างชาติ (อเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) เป็นสำคัญ
ไทย จึง ไม่เป็น “ไท” และเพื่อ “คนไทย”
ประการที่ 2 โครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรมและการศึกษาต้องพึ่งพาทั้งด้านข่าวสาร ความรู้ ทฤษฎี รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากโลกตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา
ยิ่งพัฒนาจึงยิ่งด้อยพัฒนา (ทางปัญญา)
ชนชั้นปัญญาชนไทยกลายเป็นชนชั้นที่ช่วยกันผลิตซ้ำความคิดทฤษฎี (อเมริกา) สอนและยกย่องภูมิปัญญาตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันตก
คลั่งคำว่า “เสรีประชาธิปไตย” คลั่ง “ความขาว และของนอก” รวมทั้งคลั่งคำว่า “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความทันสมัยตะวันตก”
เยาวชนไทยถูกผลิตให้ “เห็นแก่ตัว หลงอำนาจเงินตรา”
บรรดาสื่อไทยส่วนใหญ่ก็ช่วยทำหน้าที่เป็นศูนย์ในการเผยแพร่วัฒนธรรมทุนนิยม ทั้งด้านแฟชั่นและค่านิยม
สื่อไทยทำหน้าที่เพียงแค่การ ‘เล่าข่าว’ เล่าข่าวตามที่ศูนย์ข่าวสารโลก เช่น CNN ABC CBS วิเคราะห์ตีความ และนำเสนอ
ชนชั้นนำไทย รวมทั้งปัญญาชนไทย และคนไทยทั่วไปจึงพลอยกลายเป็น “คนว่านอนสอนง่าย” คิดตามตะวันตกและหลงตามก้นอเมริกา
การตกเป็นทาสภูมิปัญญาและวัฒนธรรมตะวันตกหยั่งรากลึกมาก จนยากที่จะแก้ได้ง่ายๆ
วันก่อนผมเจอนักการเมืองท่านหนึ่ง ท่านกล่าวกับผมว่า
“ที่ประเทศไทยเจริญมาได้ทุกวันนี้ เพราะเรายอมตัวเป็นขี้ข้าฝรั่ง เรียกว่ายอมเป็นขี้ข้าจึงได้ดีและรุ่งเรือง”
คงยากที่จะเถียงว่า ถ้าเรารู้ค่าของ “ความเป็นไท” ประเทศไทยจะไปได้ดีกว่านี้
ผมเลยต้องยกกรณีเปรียบเทียบว่า
“ลองคิดเปรียบเทียบระหว่างไทยกับจีน ประมาณ 25 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ล้าหลังและยากจนกว่าประเทศไทยในทุกๆ ด้าน แต่ปัจจุบันประเทศจีนเจริญกว่าไทยในเกือบทุกๆ ด้าน”
สิ่งที่น่าคิดคือ ชนชั้นนำจีนมีทฤษฎีการพัฒนาของตัวเองและวางยุทธศาสตร์โลก.....จีน ด้วยตัวของตัวเอง
ผู้นำจีนตระหนักรู้ ‘ค่าของอุดมการณ์แห่งชาติ’ และรู้ว่า ‘ผลประโยชน์แห่งชาติ’ ของประเทศอยู่ที่ไหน พวกเขาได้คิดวางยุทธศาสตร์และวางจังหวะก้าวในการพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
แต่ชนชั้นนำไทยทำทุกอย่างเพื่อ ‘อยากรวย’ ไม่มีอุดมการณ์แห่งชาติ จึงพร้อมจะขายผลประโยชน์ของชาติเพื่อความร่ำรวยส่วนตัวและความมั่งคั่งของบรรษัทยักษ์ข้ามชาติ
วันนี้ ประเทศไทยเจริญขึ้น หรือว่าความมั่งคั่งที่ก่อเกิดขึ้นมีไว้สำหรับบรรษัทข้ามชาติและคนไทยส่วนน้อยเท่านั้น
ทุนข้ามชาติอเมริกาควบคุมเหนือบรรดาแหล่งแร่ธาตุที่มีค่า (น้ำมัน) ทุนข้ามชาติญี่ปุ่นควบคุมเหนือการลงทุนเพื่อการส่งออก ทุนสิงคโปร์มีอิทธิพลเหนือสถาบันการเงินของประเทศนี้
การคิดวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคนไทยไม่เคยคิดทำหรือคิดวางมานานมากแล้ว (ยังมีต่อ)
ผู้คนจำนวนหนึ่งจึงเริ่มแสวงหาทางออกใหม่ ที่ไม่ใช่ทั้งแบบประชาธิปัตย์และระบอบทักษิณ
อะไรคือ “ทางออก” นี้
นี่คือ ที่มาของการคิดวาง “ยุทธศาสตร์ใหม่”
ไม่นานมานี้ ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมอภิปรายเสนอแนวยุทธศาสตร์ให้แก่พรรคการเมืองใหม่ และหลังจากนั้นไม่นาน ผมก็ต้องเดินทางไปใต้ (ที่จังหวัดตรัง) เพื่อนำเสนอเรื่องยุทธศาสตร์เช่นกัน แต่ครั้งนี้เป็นยุทธศาสตร์ภาคประชาชน
พอไปถึงที่ประชุมพรรคการเมืองใหม่ ทางพรรคได้ทำเอกสารนำเสนอทิศทางทางยุทธศาสตร์ของพรรค ผมอ่านแล้วพบว่าบทเสนอทางยุทธศาสตร์ส่วนใหญ่ยังเป็นการคิดและวางยุทธศาสตร์ในกรอบของประเทศไทย
ผมจึงเริ่มอภิปรายว่า
ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลก ถ้าเราจะคิดวางยุทธศาสตร์โดยเอาประเทศไทยเป็นกรอบคิดในเชิงยุทธศาสตร์เท่านั้นไม่ได้ พูดง่ายๆ พรรคการเมืองใหม่ต้องมียุทธศาสตร์ 4 ระดับคือ ยุทธศาสตร์ระดับโลก ระดับภูมิภาค ระดับประเทศ รวมทั้งระดับเมืองและชุมชน
จะวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทยได้ ต้องใช้หน่วยวิเคราะห์ที่เรียกว่า “ระบบโลก” กล่าวคือ เราต้องรู้ว่า ระบบโลกมีความเป็นมาอย่างไร และกำลังจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางเช่นไรในอนาคต
ผมกล่าวต่ออีกว่า
ที่ผ่านมา ไม่มีพรรคการเมืองใดวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทย เราคิดกันแค่ยุทธศาสตร์ระดับประเทศ ทั้งๆ ที่คนไทยเริ่มตระหนักรู้ว่าประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกแล้ว
ที่น่าสังเกตก็คือ ประเทศมหาอำนาจ อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย จะมีการกำหนดวางยุทธศาสตร์โลก และถือว่านี่คือยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญสูงสุด แต่ในทางกลับกัน บรรดาประเทศเล็กๆ ส่วนใหญ่ รวมทั้งประเทศไทย ไม่มีการวางยุทธศาสตร์โลก
หรือพูดอีกแบบหนึ่งว่า ประเทศเล็กๆ เหล่านี้ ในเมื่อไม่มียุทธศาสตร์โลกของตัวเอง ทิศทางใหญ่ทางยุทธศาสตร์เกือบทั้งหมดจะถูกกำหนดวางจากประเทศใหญ่ๆ เพื่อให้บรรดาประเทศเหล่านี้ปฏิบัติตาม
มองย้อนประวัติศาสตร์ไทย อย่างน้อยย้อนไปตั้งแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ประเทศไทยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนโลกอย่างสมบูรณ์แบบ ในยุคนี้ ชนชั้นนำสหรัฐอเมริกามีอิทธิพลเหนือการวางยุทธศาสตร์โลก…ไทย
ยุทธศาสตร์ของไทยจึงไม่เป็น “ไท” และเพื่อ “คนไทย” เพราะรัฐไทยมีฐานะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์สงครามของสหรัฐอเมริกา ถูกใช้เพื่อต่อต้านการลุกขึ้นสู้เพื่อเอกราชในสงครามอินโดจีน รวมทั้งต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในเอเชีย
ภายใต้ยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา รัฐไทยจึงถูกสร้างให้เป็นรัฐทหารและรัฐราชการขนาดใหญ่แบบรวมศูนย์อำนาจ โดยมีเป้าหมายยุทธศาสตร์สำคัญอยู่ที่การปราบปรามคอมมิวนิสต์ ดังนั้น กองทัพไทยจึงทำหน้าที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของกำลังรบของสหรัฐอเมริกา
แต่ในเวลาเดียวกัน ชนชั้นนำอเมริกันตระหนักรู้ว่า การปิดล้อมจีนและคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะปิดล้อมเฉพาะด้านทหารอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องปิดล้อมทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมด้วย
ชนชั้นนำอเมริกาจึงช่วยวางยุทธศาสตร์พัฒนาเศรษฐกิจให้แก่ไทยด้วย นี่คือที่มาของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติซึ่งมีการกำหนดวางแผนกันทุกๆ 5 ปี ภายใต้การชี้นำของ World Bank สถาบันการเงินโลกที่สหรัฐอเมริกาให้การสนับสนุน โดยมีเจตนาเพื่อผนวกระบบเศรษฐกิจไทยให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกที่มีศูนย์กลางที่ประเทศอเมริกา
เราจึงกลายเป็นประเทศทุนนิยมที่ต้องพึ่งพาและขึ้นต่อการลงทุนของทุนข้ามชาติ และมีระบบเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ความมั่งคั่งไว้ที่ศูนย์กลาง
ในช่วงประวัติศาสตร์นี้ ประเทศไทยไม่ได้ถูกถอนรากทางระบบการเมืองและเศรษฐกิจเท่านั้น ประเทศไทยถูกถอนรากทางวัฒนธรรมอย่างสิ้นเชิงด้วย ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันได้เข้ามาช่วยวางแผนปฏิรูประบบวัฒนธรรมและการศึกษาของไทยใหม่หมด
วัฒนธรรมตะวันออกและระบบการศึกษาแบบเก่า (รวมทั้งหลักพุทธธรรม) ถูกหาว่าเป็นของโบราณล้าสมัยและไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ประเทศไทยจึงหันไปรับวัฒนธรรมทุนนิยมอย่างเต็มตัวและวางระบบการศึกษาใหม่ที่เป็นแบบตะวันตกขึ้น
ในยุคนั้น สหรัฐอเมริกากลายเป็น “ศูนย์กลาง” การศึกษาของไทย ถ้าจะเรียนปริญญาโท...เอก นักศึกษาไทยต้องเดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมทั้งนักศึกษาด้านการทหารก็ต้องจบหลักสูตรสูงสุดจากสหรัฐอเมริกา
วัฒนธรรมอเมริกันคาวบอยแพร่ระบาดเข้าสู่ประเทศไทย เริ่มจากวัฒนธรรมพัฒนพงศ์....บรรดาสาวไทยใจกล้า เต้นแก้ผ้า.....ชายไทยหันไปใส่กางเกงยีน สูบบุหรี่นอก และใส่หมวกแบบคาวบอย
ความสุขในมิติทางพุทธว่าด้วย ‘ความสุขสงบ’ ถูกแทนที่ด้วยความเชื่อใหม่ว่า “งานคือ เงิน เงินคืองานบันดาลสุข”
ความสุขแบบใหม่นี้ถูกสร้างได้จากอำนาจเงินตรา
ประเทศไทยจึงพัฒนากลายเป็นประเทศรัฐบริวาร (แบบกึ่งเมืองขึ้น) มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมพึ่งพาและผลิตซ้ำวัฒนธรรมทุนนิยมแบบอเมริกานิยมในเวลาเดียวกัน
ไม่นานมานี้ ผมเคยนำเสนอในวงการวิชาการแห่งหนึ่งว่า
“ถ้ามองในกรอบของประเทศ เราจะเข้าใจว่าจุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดคือ การปฏิวัติ 2475 แต่ถ้ามองจากกรอบของระบบโลกแล้ว จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ไทยที่สำคัญที่สุดคือ ช่วง พ.ศ. 2500 ถึง 2516 การผนวกไทยเป็นส่วนหนึ่งของระบบโลกทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ รวมทั้งการรื้อถอนฐานวัฒนธรรมไทยเก่าอย่างสิ้นเชิง”
นอกจากนั้น ผมยังกล่าวอีกว่า
“ที่จริงแล้ว การผนวกทางวัฒนธรรมมีความสำคัญยิ่งกว่าการผนวกประเทศทางเศรษฐกิจการเมืองเสียอีก เพราะการผนวกทางวัฒนธรรมนี้สามารถเปลี่ยนค่านิยม ความเชื่อ ทฤษฎี และสร้างจิตวิญญาณใหม่แก่ประชาชนไทยทั้งประเทศ”
ระบบการศึกษาใหม่สอนให้เยาวชนไทยและปัญญาชนไทยเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัว โลภ และอยากรวย ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่ง
เราถอนรากฐานระบบการศึกษาโบราณ (แบบตะวันออก) ที่เชื่อว่า คุณธรรมต้องนำความรู้ คุณธรรมต้องนำการเมืองและเศรษฐกิจ
เราจึงหลงผลิตแต่ “ผู้คนที่เห็นแก่ตัวและอยากรวย” ใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจการเมืองและระบบราชการ ผลที่หลีกเลี่ยงได้ยากคือ การเกิดขึ้นของระบบการเมืองและระบบราชการที่คอร์รัปชัน หรือการโกงกินแผ่นดินทั้งระบบ
ประมาณปี 1970 สหรัฐอเมริกาพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนาม นักศึกษาไทยได้ใช้โอกาสนี้ก่อเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 14 ตุลาโค่นล้มรัฐทรราชทหารซึ่งส่งผลทำให้ฐานะรัฐทหารสั่นคลอน และในที่สุด สหรัฐอเมริกาต้องถอนฐานทัพออกจากประเทศไทย
แต่ถึงอย่างไร โครงสร้างระบบวัฒนธรรมการศึกษาและเศรษฐกิจแบบทุนนิยมพึ่งพายังคงฝังรากลึก
ชนชั้นนำไทยส่วนใหญ่จึงไม่สามารถสวิงหลุดออกจากจิตวิญญาณแบบ ‘ขี้ข้า’ ได้จริงๆ
ยังคิดอะไรเอง...ไม่เป็น
ในช่วงประวัติศาสตร์นี้เอง ประเทศญี่ปุ่นได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะเสือเศรษฐกิจของโลก ชนชั้นนำญี่ปุ่นเริ่มขยายฐานเศรษฐกิจมาสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชนชั้นนำทางธุรกิจไทยจึงได้ “เจ้านายใหม่”
ประเทศไทยจึงถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การขยายการผลิตอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกของญี่ปุ่น
ประเทศไทยกลายเป็นแหล่งผลิตสินค้าที่ก่อมลภาวะสูงซึ่งนักธุรกิจญี่ปุ่นเองไม่ต้องการผลิตในประเทศของตน และยังกลายเป็นทั้งตลาดบริโภคสินค้าญี่ปุ่นและแหล่งประกอบรถยนต์เพื่อการส่งออกให้กับประเทศญี่ปุ่น
พอถึงปี 1990 เกิดฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่น ฐานะความเป็นมหาอำนาจใหม่ของญี่ปุ่นเริ่มเสื่อมถอยลง ในขณะเดียวกัน เจ้านายเก่า (หรือสหรัฐอเมริกา) ได้ฟื้นฐานะขึ้นมาเป็นผู้นำโลกอีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆ กับการปฏิวัติทางการสื่อสารและเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกกันต่อมาว่า ยุคโลกาภิวัตน์
ชนชั้นนำไทยก็พลอยลิงโลด ดีใจฝันหวาน หลงชื่นชมกระแสโลกาภิวัตน์ที่ยิ่งใหญ่ พวกเขากลัวจะตกกระแสจึงรีบเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน วิ่งตามยุทธศาสตร์ตลาดเสรีซึ่งผู้นำสหรัฐอเมริกาเสนอ หวังว่าจะนำสังคมไทยสู่ความรุ่งโรจน์
เสรีทางการค้าและการเงินนำความรุ่งเรืองแบบฟองสบู่มาให้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ในที่สุดก็เกิดหายนะฟองสบู่แตกใหญ่ในปี 1997
ทั้งหมดที่ผมกล่าวมาข้างต้นสะท้อนภาพว่า ชนชั้นนำไทยไม่เคยคิดวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทย อย่างน้อยย้อนไปตั้งแต่ปี 1957 จนถึงปัจจุบัน
กล่าวอย่างสรุป
การเปลี่ยนแปลงแบบอภิวัตน์จากปี 1957 ถึง 1973 ได้ก่อเกิดผลผลิตที่สำคัญ 2 ประการ
ประการที่ 1 การสร้างระบบรัฐทหารเผด็จอำนาจและระบบเศรษฐกิจที่รวมศูนย์อำนาจ ผูกขาดความมั่งคั่งไว้ที่ส่วนกลาง
บรรดานายทหารและนายตำรวจที่มีอำนาจเด็ดขาด สามารถสร้างความมั่งคั่งจากการมีอำนาจเหนือระบบการเมืองและสามารถหารายได้ผลประโยชน์พิเศษจากการลงทุนทางธุรกิจและจากผลประโยชน์พิเศษที่ชนชั้นนำอเมริกันมอบให้ (ทั้งที่ทำภายใต้กฎหมายและนอกกฎหมาย)
ภายใต้กฎหมาย คือ บรรดาผลประโยชน์ร่วม โดยการอ้างสิทธิสัมปทานแหล่งแร่ธาตุและทรัพยากรที่มีค่าทั้งหมด เพื่อยกให้ทุนข้ามชาติอเมริกาเข้ามาลงทุน เช่น การตัดป่าไม้และการผลิตดีบุกในช่วงอดีต รวมถึงกรณีเรื่องน้ำมันและแก๊สในยุคปัจจุบัน
นอกกฎหมาย คือ การหารายได้พิเศษ อย่างเช่น การค้าเฮโรอีนในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รวมทั้งการค้าของเถื่อน การค้าอาวุธ ค้าน้ำมันเถื่อนและยาบ้าในยุคปัจจุบัน
ระบบอำนาจพิเศษเหล่านี้กลายเป็นที่มาของระบบมาเฟียทหารและมาเฟียตำรวจซึ่งสามารถเชื่อมตรงและควบคุมบรรดามาเฟียท้องถิ่นสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
นักวิชาการ (สีแดง) มักจะเรียกระบบรัฐทหารเผด็จอำนาจนี้ว่า ระบบอำมาตย์ โดยมีเจตนาเพื่อจะเชื่อมระบบที่กล่าวว่า “ชั่วร้าย” นี้ ว่าเป็นส่วนหนึ่ง (ข้ารับใช้) ของระบบกษัตริย์ของไทยในสมัยโบราณ
ผมคิดว่า นี่คือ ความเข้าใจผิด.....
ที่จริงแล้ว รัฐทหารเผด็จอำนาจนี้เชื่อมตรงและขึ้นต่อกับระบบทุนโลกเป็นสำคัญ ที่สำคัญ ในยุคจอมพลสฤษดิ์นั้น สถาบันทหารไทยมีฐานะ “อำนาจสูงสุด” เหนือกว่าสถาบันอำนาจอื่นๆ ทั้งหมดในประเทศไทย
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬ การเผด็จอำนาจของทหารเหนือรัฐไทยเริ่มเสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ ชนชั้นนายทุนไทยเริ่มมีบทบาททางการเมืองสูงขึ้น การเมืองไทยจึงเปลี่ยนจากยุคทหารมาสู่ยุครัฐสภา
แต่เนื่องจากชนชั้นนายทุนไทยเติบโตขึ้นมาจากระบบทุนนิยมแบบพึ่งพา การพัฒนาของทุนไทยจึงต้องขึ้นต่อผลประโยชน์ของทุนต่างชาติ (อเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) เป็นสำคัญ
ไทย จึง ไม่เป็น “ไท” และเพื่อ “คนไทย”
ประการที่ 2 โครงสร้างพื้นฐานทางวัฒนธรรมและการศึกษาต้องพึ่งพาทั้งด้านข่าวสาร ความรู้ ทฤษฎี รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญจากโลกตะวันตก โดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกา
ยิ่งพัฒนาจึงยิ่งด้อยพัฒนา (ทางปัญญา)
ชนชั้นปัญญาชนไทยกลายเป็นชนชั้นที่ช่วยกันผลิตซ้ำความคิดทฤษฎี (อเมริกา) สอนและยกย่องภูมิปัญญาตะวันตกและวัฒนธรรมตะวันตก
คลั่งคำว่า “เสรีประชาธิปไตย” คลั่ง “ความขาว และของนอก” รวมทั้งคลั่งคำว่า “วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และความทันสมัยตะวันตก”
เยาวชนไทยถูกผลิตให้ “เห็นแก่ตัว หลงอำนาจเงินตรา”
บรรดาสื่อไทยส่วนใหญ่ก็ช่วยทำหน้าที่เป็นศูนย์ในการเผยแพร่วัฒนธรรมทุนนิยม ทั้งด้านแฟชั่นและค่านิยม
สื่อไทยทำหน้าที่เพียงแค่การ ‘เล่าข่าว’ เล่าข่าวตามที่ศูนย์ข่าวสารโลก เช่น CNN ABC CBS วิเคราะห์ตีความ และนำเสนอ
ชนชั้นนำไทย รวมทั้งปัญญาชนไทย และคนไทยทั่วไปจึงพลอยกลายเป็น “คนว่านอนสอนง่าย” คิดตามตะวันตกและหลงตามก้นอเมริกา
การตกเป็นทาสภูมิปัญญาและวัฒนธรรมตะวันตกหยั่งรากลึกมาก จนยากที่จะแก้ได้ง่ายๆ
วันก่อนผมเจอนักการเมืองท่านหนึ่ง ท่านกล่าวกับผมว่า
“ที่ประเทศไทยเจริญมาได้ทุกวันนี้ เพราะเรายอมตัวเป็นขี้ข้าฝรั่ง เรียกว่ายอมเป็นขี้ข้าจึงได้ดีและรุ่งเรือง”
คงยากที่จะเถียงว่า ถ้าเรารู้ค่าของ “ความเป็นไท” ประเทศไทยจะไปได้ดีกว่านี้
ผมเลยต้องยกกรณีเปรียบเทียบว่า
“ลองคิดเปรียบเทียบระหว่างไทยกับจีน ประมาณ 25 ปีที่ผ่านมา ประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ล้าหลังและยากจนกว่าประเทศไทยในทุกๆ ด้าน แต่ปัจจุบันประเทศจีนเจริญกว่าไทยในเกือบทุกๆ ด้าน”
สิ่งที่น่าคิดคือ ชนชั้นนำจีนมีทฤษฎีการพัฒนาของตัวเองและวางยุทธศาสตร์โลก.....จีน ด้วยตัวของตัวเอง
ผู้นำจีนตระหนักรู้ ‘ค่าของอุดมการณ์แห่งชาติ’ และรู้ว่า ‘ผลประโยชน์แห่งชาติ’ ของประเทศอยู่ที่ไหน พวกเขาได้คิดวางยุทธศาสตร์และวางจังหวะก้าวในการพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่
แต่ชนชั้นนำไทยทำทุกอย่างเพื่อ ‘อยากรวย’ ไม่มีอุดมการณ์แห่งชาติ จึงพร้อมจะขายผลประโยชน์ของชาติเพื่อความร่ำรวยส่วนตัวและความมั่งคั่งของบรรษัทยักษ์ข้ามชาติ
วันนี้ ประเทศไทยเจริญขึ้น หรือว่าความมั่งคั่งที่ก่อเกิดขึ้นมีไว้สำหรับบรรษัทข้ามชาติและคนไทยส่วนน้อยเท่านั้น
ทุนข้ามชาติอเมริกาควบคุมเหนือบรรดาแหล่งแร่ธาตุที่มีค่า (น้ำมัน) ทุนข้ามชาติญี่ปุ่นควบคุมเหนือการลงทุนเพื่อการส่งออก ทุนสิงคโปร์มีอิทธิพลเหนือสถาบันการเงินของประเทศนี้
การคิดวางยุทธศาสตร์โลก.....ไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะคนไทยไม่เคยคิดทำหรือคิดวางมานานมากแล้ว (ยังมีต่อ)