xs
xsm
sm
md
lg

เงิน อำนาจ พวกกูเป็นใหญ่ พาไทยพินาศ

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

สัจธรรมทางการเมืองฝ่ายชั่ว ฝ่ายนรกที่ว่า “เงิน อำนาจ พวกกูเป็นใหญ่ พาไทยไปพินาศ” เป็นปรากฏการณ์ของการเมืองแบบเผด็จการในทุกรูปแบบ และแบบที่ร้ายแรงที่สุด หลอกอย่างแนบเนียนที่สุด คือการปกครองที่ไม่มีหลักการปกครอง (Principle of government) หรือไม่มีตัวระบอบการเมืองโชว์ให้เห็น เลยไม่รู้ว่าเป็นระบอบอะไรกันแน่ (แท้จริงก็คือระบอบเผด็จการนั่นเอง) เพราะโชว์แต่รัฐธรรมนูญ อันเป็นเพียงวิธีการปกครอง (Methods of Government) ได้แก่หมวด และมาตราต่างๆ แล้วก็หลอกลวงให้เข้าใจว่า รัฐธรรมนูญ

นี่แหละระบอบประชาธิปไตย มีประเทศไทยประเทศเดียวที่ผู้ปกครองสอนอย่างผิดๆ และแก้ไขยากที่สุด โดยเอารูปแบบการปกครอง (Form of government) มาหลอก ได้แก่ ระบบรัฐสภา มีการแบ่งอำนาจอธิปไตยออกเป็นสามฝ่าย ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ มีสภาผู้แทนราษฎร มีวุฒิสภา มีการเลือกตั้ง มีการสรรหา แล้วก็โฆษณาชวนเชื่อหลอกกันยกใหญ่สืบๆ ต่อกันมาว่านี่แหละระบอบประชาธิปไตย พอเกิดรัฐประหาร ก็บอกว่าเป็นเผด็จการ แท้จริงเป็นเผด็จการทั้งคู่ เผด็จการรัฐประหารเป็นเผด็จการโต้งๆ ใครๆ ก็เห็นว่าเป็นเผด็จการ ไม่มีอะไรปกปิด

แต่ที่ร้ายสุดๆ คือ ระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ หรือเผด็จการระบบรัฐสภา (ระบอบเผด็จการ ในรูปการปกครองระบบรัฐสภา) รัฐบาลก็มาจากการเลือกตั้ง หลอกว่าการเลือกตั้งคือระบอบประชาธิปไตย (แท้จริงซื้อเอา) การเลือกตั้งมีได้ เกิดขึ้นได้ในทุกระบอบ เพราะการเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งดูว่าชอบธรรม อันนี้หลอกแนบเนียนสุดๆ ยากที่จะมองเห็น นอกจากการใช้ปัญญาทางธรรมและทางการเมืองจริงๆ จึงจะมองเห็นการปกครองชนิดนี้ มันเลวร้าย และทำให้นักการเมืองเลวร้าย ทุกพรรค ทุกรัฐบาลเลวร้ายหมด ชนผู้มีปัญญาจึงได้ปฏิเสธการปกครองชนิดนี้ และนำเสนอแนวทางการเมืองใหม่เป็นแนวทางการเมืองโดยธรรม เอาธรรมนำหน้า เป็นธรรมาธิปไตย หรือจะยอมให้ระบอบเลว นักการเมืองเลว ปกครองอยู่เช่นนี้

ก็เห็นชัด ผลของการปกครองแบบเผด็จการไทยทุกรูปแบบ ทั้งจากการรัฐประหาร และจากการเลือกตั้งเป็นเผด็จการรัฐสภา ประชาชนไม่รู้การเมือง ถูกหลอกให้หลงผิดตามลมปากนักการเมือง การคอร์รัปชันแก้ไขไม่ได้ บอกย้ำอยู่เสมอว่า รัฐบาลไหนๆ ภายใต้ระบอบเผด็จการนั้น แก้ไขเหตุวิกฤตชาติไม่ได้ มีแต่จะทำให้ประเทศไทยเราทรุดลงๆ

เมื่อเราหลงทางไปตามระบอบเลว นักการเมืองเลว มันเป็นแนวทางนรก มีแต่จะนำประเทศชาติและประชาชนไปสู่ความหายนะ ซึ่งผู้ปกครองทั้งหมดหามองเห็นภัยอันร้ายแรงนี้ไหมแต่ประชาชนย่อมเห็นชัดว่าประเทศไทยเรานั้นทรุดลงๆ ประชาชนก็ยากจนลงๆ ส่วนประเทศที่เค้าเป็นประชาธิปไตยจริง เช่น อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น เป็นต้น ล้วนแล้วเป็นประเทศร่ำรวย

ทั้งๆ ที่สมัยรัชกาลที่ 5 ไทยเรามีความมั่งคั่ง เงินตราเหนือประเทศอังกฤษ หนึ่งบาท เท่ากับสองปอนด์สเตอร์ลิง (Pound sterling)

ในเอเชียด้วยกันเราเคยเปรียบเทียบกับประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่น ทั้งสามประเทศมีความเจริญรุ่งเรืองพอๆ กัน แต่ไทยได้เปรียบตรงที่สามารถสร้างเรือกลไฟได้ก่อนทั้งสองประเทศ ถึงตอนนี้ก็ไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครแล้ว ไทยเราล้าหลังเกินที่จะกล่าว เวียดนามก็กำลังแซงหน้าเราไปแล้ว มาเลเซีย ก็แซงหน้าเราไปนานแล้ว

เรามาดูปรากฏการณ์ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และพวก ตท. 10 เข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ แต่เป็นไปแล้ว ก็น่าที่จะนำมาวิเคราะห์ ทั้งในแง่ดีตามเจตนารมณ์ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และนายทหารปลดเกษียณ และอาจจะเกิดผลเสีย ถูกคนสาปแช่งทั้งแผ่นดิน

มองกันในแง่ดี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ กำลังรุกใหญ่ทางการเมือง เป็นผู้ที่มีความรู้ทางการเมืองดีคนหนึ่ง รู้ว่าเหตุวิกฤตชาติที่แท้จริงคืออะไร มีความตั้งใจจริงต่อชาติ ศาสนา และราชบัลลังก์ และรู้อย่างชัดแจ้งว่าคุณทักษิณ พวกเสื้อแดง พรรคเพื่อไทย จะเป็นอันตรายของชาติและราชบัลลังก์ ด้วยเหตุผลที่ว่า

ทักษิณไม่มีความรู้การเมือง มีแต่ความโลภ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ขอให้กูได้ ประเทศชาติจะฉิบหายก็ช่างมัน เอาเงินที่มีอยู่อย่างมหาศาลซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงขอให้กูพ้นผิด กลับมาอย่างผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ขอให้ได้ทรัพย์สินที่ถูกยึดของกูคืนมาทั้งหมด ขอให้กูได้กลับมาใหญ่เป็นนายกฯ หรือประธานาธิบดีก็ได้ จะเห็นได้ว่า ทักษิณและพวกจะพุ่งเป้าโจมตีทุบทำลายฝ่ายที่ต่อต้านทักษิณ ทำไมทักษิณจึงเดินงานการเมืองอยู่ได้ ทั้งนี้เพราะ

หนึ่ง รัฐบาลนำโดยประชาธิปัตย์และพรรคร่วม แท้จริงเป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา ดังที่กล่าวแล้ว ย่อมเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอ หากมองในแง่การเมือง นักการเมืองทั้งหมดเป็นพวกเดียวกัน แนวคิดเดียวกัน แต่ที่ขัดกันเพราะแย่งผลประโยชน์กันเท่านั้นเอง

สอง พรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคตามธรรมชาติ ไม่เปิดเผย แต่รู้ได้จากการเคลื่อนไหวทางการเมือง พรรคนี้รู้เรื่องการเมืองดีทำอย่างไร ให้ยืนอยู่ได้ และเติบโตขึ้นได้ พวกเขามียุทธวิธีทำแนวร่วมกับคุณทักษิณและนายทุนในเครือข่าย ตามทฤษฎีแนวร่วมตามแนวทางของลัทธิเหมา (Maoism) คือ ทำแนวร่วมกับนายทุน หลอกเอาเงินนายทุนมาใช้ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เช่นโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างไม่หยุดหย่อนในเว็บ ต่างๆ โจมตีทำลายพลเอกเปรม และคณะองคมนตรีให้หมดสิ้นไปให้ได้ เป็นต้น ซึ่งเราจะเห็นว่าลัทธิแดงหนุนทักษิณจนเป็นเนื้อเดียวกัน แท้จริงเป็นการหลอกเพื่อเอาเงินและความเติบโตทางการเมืองของลัทธิแดงซึ่งเป็นอันตรายต่อชาติ และจะนำไปสู่สงครามกลางเมืองได้ในอนาคต พลเอกชวลิต ก็รู้ดีในประเด็นนี้

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ บอกเหตุผลว่าที่เข้าพรรคเพื่อไทย “ตนเข้าทำงานในพรรคไม่ได้หวังตำแหน่งใดๆ จากนี้ไปจะเริ่มเรื่องนโยบายและใช้ความรู้แก้ไขปัญหา 5 แนวทาง ก่อนเกิดเหตุวิกฤตใหญ่ คือ 1. ปัญหาที่ถูกมองว่า พรรคเพื่อไทยไม่จงรักภักดี ถ้าตนยังอยู่ข้างนอกก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เมื่อเข้ามามีวิธีพิสูจน์ให้สังคมรับรู้ว่า พรรคเพื่อไทยจงรักภักดี เมื่อคนอื่นบอกว่าทรยศต้องแสดงออกว่าไม่ใช่ 2. การสร้างความสมานฉันท์ระหว่างเสื้อแดงและเสื้อเหลือง น่าจะคุยกับ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ได้เพราะทุกคนเป็นคนไทยด้วยกันยอมรับกันเสียหน่อย 3. การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดภาคใต้ 4. การแก้ไขปัญหาตามแนวชายแดน 5. การฟื้นฟูประชาธิปไตย”

ปรากฏการณ์ดังกล่าว หากมองในแง่ดีทางการเมือง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เข้าไปยึดกุมพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนแนวทางขัดแย้งตามลัทธิคอมมิวนิสต์มาสู่แนวทางสันติ ด้วยการเจรจาและแก้ปัญหาร่วมกัน โดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ถือดุล และเป็นฝ่ายรุกทางการเมืองทั้งต่อฝ่ายคอมฯ แนวทางรุนแรง และฝ่ายเผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญ และจะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง

หากมองในแง่ของความวิตกกังวล พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นคนไม่มั่นคงทางความคิด และอุดมการณ์ ไม่แม่นในแนวทางอย่างแจ่มชัด มีใจลังเล การตัดสินใจไม่แน่นอน ไม่รอบคอบ และขี้หลง ขี้ลืม รับปากแล้วไม่ทำตามที่พูด ไม่รู้จักคนดี มีปัญญามาร่วมงานสำคัญ ขาดความเชื่อถือ นี่คือปมด้อยของ พลเอกชวลิต ไม่ได้เป็นขงเบ้งแห่งกองทัพไทยอย่างแท้จริง ขงเบ้งที่แท้จริงของชาติเป็นอาจารย์ผู้รอบรู้ ของคณะนายทหารประชาธิปไตย กำกับอยู่เบื้องหลังพลเอกชวลิต ในยุคนโยบาย นโยบาย 66/23 โดย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นนโยบายเพื่อต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ ยุติสงครามกลางเมือง อันยาวนาน นับแต่ 2512 กองทัพแดงเติบโตขึ้นอย่างน่ากลัว

เมื่อรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ มีคำสั่งขับเคลื่อนนโยบายนี้ ก็สามารถยุติสงครามกลางเมืองลงได้อย่างราบคาบ ในปี 2525 พลพรรคที่ออกมาจากป่าก็เข้าไปอยู่ในพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยในที่สุด

พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และคณะนายทหาร ตท. 10 เข้าพรรคเพื่อไทย ถามว่า ผู้มีแนวทางลัทธิคอมฯ เค้าจะไม่รู้ทันเหรอ ดูหน้าตานายทหาร ตท. 10 ล้วนเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ทางการเมืองเอาเสียเลย หลงทางเข้าพึ่งบารมี นช.ทักษิณ ผู้มีปัญญาและประชาชนค่อนประเทศย่อมไม่เห็นด้วย

ความจริงของผู้นำที่ดี ที่ว่า หากว่าเขาเป็นคนมีอุดมการณ์ มีความมุ่งใจ จริงใจ รับผิดชอบต่อชาติและประชาชนด้วยชีวิต พอมีอำนาจก็ต้องเริ่มต้นทำในสิ่งที่ตนคิด ในนโยบายที่นำเสนอในทันทีในวันแรกที่มีอำนาจ และลงมือดำเนินการอย่างจริงจัง ประชาชนเบิกบานใจรับรู้ได้ในทันที แต่สำหรับ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกเขาไม่ได้ทำตามนโยบายที่พูดไว้เลย ทั้งไม่ได้เชิญชวนคนดีผู้มีปัญญาที่เคยสนับสนุนพลเอกชวลิตด้วยชีวิต กลับไปเอานักการเมืองน้ำเน่า มีแต่ความโลภ และความโง่เขลาเข้ามาเป็นคณะทำงาน มันได้แสดงให้รู้ว่า พลเอกชวลิต เป็นคนเช่นไร

ในท้ายที่สุดก็ล้มเหลว ที่ได้ดีโดดเด่นขึ้นมาได้ มิใช่เพราะมีอาจารย์ผู้รอบรู้อยู่เบื้องหลังหรอกหรือ เกรงว่า พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ จะกลายเป็นบุคคลล้มเหลว “เงิน อำนาจ พวกกูเป็นใหญ่ พาไทยพินาศ” ซ้ำรอยเดิม เป็นอุทาหรณ์สอนใจชนรุ่นหลัง และเพื่อนพ้องน้องพี่ของผู้มีอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จะได้รู้กันไม่นานเกินรอ
กำลังโหลดความคิดเห็น