ASTVผู้จัดการรายวัน – บลจ.ยูโอบีโดดหากำไรตลาดหุ้นไทยต่อ ส่งทาร์เก็ตฟันด์กองที่ 3 “ซุปเปอร์ สไตรค์ 3” ตั้งเป้าผลตอบแทน 10% ภายใน 1 ปี พร้อมชูจุดเด่นใช้ SET50 Future ป้องกันความเสี่ยง ส่วนภาวะการลงทุน เชื่อตลาดหุ้นไทยปรับฐานส่งผลดีในระยะยาว คาดว่าดัชนีทะลุ 800 จุดภายในปีหน้า
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 3 (UOBSS3) มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 2 ปี เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีประมาณ 20 – 30 ตัว โดยเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน กลุ่มพาณิชย์ โดยตั้งเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 10% ภายใน 1 ปี หรือผลตอบแทนที่ 20% ภายใน 2 ปี โดยสามารถยกเลิกโครงการได้หากผลตอบแทนถึงเป้าหมายก่อนกำหนด โดยจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 5 – 12 พฤศจิกายน 2552 และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท
ทั้งนี้ กองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนคล้ายคลึงกับสองกองทุนแรกในซีรีส์เดียวกัน ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่สามารถถือหุ้นตั้งแต่ 0 – 100% และได้เพิ่มนโยบายลงทุนให้สามารถลงทุนใน SET50 Future ได้เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยที่ผ่านมา กองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 1 (UOBSS1) สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 10.53% ภายใน 1 เดือนครึ่ง ขณะที่กองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 2 (UOBSS2) สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 10.63% ภายใน 2 เดือนเศษ โดยคาดว่าการระดมทุนในครั้งนี้น่าจะได้เม็ดเงินเพิ่มขึ้นจากกองทุน UOBSS2 ที่สามารถระดมทุนได้ 87 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรกผู้จัดการกองทุนจะกำหนดาสัดส่วนการลงทุนในหุ้น และเงินสดโดยใช้ปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยรวม และจิตวิทยาในการลงทุน ประกอบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจกำหนดสัดส่วน ส่วนที่สอง ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาเลือกหลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรม และน้ำหนักที่ลงทุน
โดยคำนึงปัจจัยพื้นฐาน สถานะของบริษัท ระดับราคา มูลค่าของบริษัท รวมถึงทิศทางและแนวโน้มชองบริษัทเป็นสำคัญ ส่วนที่สามการลงทุนใน SET50 Future นั้นผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาจากทิศทาง และแนวโน้มของตลาดโดยรวมว่าอยู่ในช่วงขาลงหรือปรับฐานหรือไม่ โดยจะเปิดสถานะ SET50 Future ไม่เกินมูลค่าหุ้นที่กองทุนลงทุน
นายวนา กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นในปัจจุบันมีการปรับฐาน เพราะว่าดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมามีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา และดัชนีปรับลดลงจึงเป็นเรื่องดีในระยะยาว โดยนักลงทุนควรจับจังหวะการลงทุนดีๆ เพราะว่าดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัวค่อนข้างมาก แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะมีข่าวดีเข้ามามาก โดยเฉพาะข่าวดีจากภูมิภาคเอเชียเอง ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว จากที่นักลงทุนเคยวิตกกังวลว่าจะฟื้นตัวในรูปตัว U หรือ V Shape ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะทำอย่างไร หลังจากใช้สภาพคล่องไปค่อนข้างมาก
ส่วนการที่ตลาดหุ้นในปัจจุบันมีการปรับลดลงไปมองว่ายังน้อยกว่าการปรับตัวลดลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อตลาดหุ้นปรับขึ้นไปแรง จึงมีมีความเหมาะสมที่ตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานบ้าง หากตลาดหุ้นปรับขึ้นไปแรง และไม่มีการปรับฐานเลยเมื่อดัชนีปรับลดลงก็จะปรับลงแรงเช่นเดียวกัน เพราะว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีต้นทุนในการลงทุนหุ้นต่ำ
แต่เมื่อนักลงทุนทยอยขายออกไปเป็นรอบๆ และกลับเข้ามาซื้ออีกครั้ง ส่งผลให้นักลงทุนมีต้นทุนไม่แตกต่างกันมาก ดังนั้น เมื่อซื้อขายหุ้นออกไปจะทำให้แรงขายเบาบาง
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นในช่วงปลายปีนี้จะดีขึ้น เพราะว่าได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งในปัจจุบัน บลจ.หลายแห่งได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย (Promotion) ออกมากระตุ้นยอดขายค่อนข้างมาก เชื่อว่าอย่างน้อยแรงซื้อดังกล่าวจะช่วยให้ดัชนีปรับขึ้นไปได้โดยคาดว่าปีหน้าน่าเห็นดัชนีที่ระดับ 800 จุดได้
ทั้งนี้ โดยรวมปัจจัยระยะกลางปรับดีขึ้น ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะมีการปรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P) โดยมองว่า ธปท.มีข้อมูลค่อนข้างมาก และอาจจะเห็นว่าอาจเกิดฟองสบู่ขึ้นในบางอุตสาหกรรม จึงจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นในปี 2553 แต่จะไม่ปรับขึ้นไปเร็ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า
นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ยูโอบี (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดขายกองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 3 (UOBSS3) มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท อายุโครงการประมาณ 2 ปี เน้นลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีประมาณ 20 – 30 ตัว โดยเน้นลงทุนในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ พลังงาน กลุ่มพาณิชย์ โดยตั้งเป้าหมายผลตอบแทนไว้ที่ 10% ภายใน 1 ปี หรือผลตอบแทนที่ 20% ภายใน 2 ปี โดยสามารถยกเลิกโครงการได้หากผลตอบแทนถึงเป้าหมายก่อนกำหนด โดยจะเปิดขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) และครั้งเดียวตั้งแต่วันที่ 5 – 12 พฤศจิกายน 2552 และมีมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำที่ 10,000 บาท
ทั้งนี้ กองทุนนี้มีนโยบายการลงทุนคล้ายคลึงกับสองกองทุนแรกในซีรีส์เดียวกัน ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่สามารถถือหุ้นตั้งแต่ 0 – 100% และได้เพิ่มนโยบายลงทุนให้สามารถลงทุนใน SET50 Future ได้เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยที่ผ่านมา กองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 1 (UOBSS1) สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 10.53% ภายใน 1 เดือนครึ่ง ขณะที่กองทุนเปิดยูโอบี ซุปเปอร์ สไตรค์ 2 (UOBSS2) สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 10.63% ภายใน 2 เดือนเศษ โดยคาดว่าการระดมทุนในครั้งนี้น่าจะได้เม็ดเงินเพิ่มขึ้นจากกองทุน UOBSS2 ที่สามารถระดมทุนได้ 87 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนแรกผู้จัดการกองทุนจะกำหนดาสัดส่วนการลงทุนในหุ้น และเงินสดโดยใช้ปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยรวม และจิตวิทยาในการลงทุน ประกอบกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจกำหนดสัดส่วน ส่วนที่สอง ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาเลือกหลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรม และน้ำหนักที่ลงทุน
โดยคำนึงปัจจัยพื้นฐาน สถานะของบริษัท ระดับราคา มูลค่าของบริษัท รวมถึงทิศทางและแนวโน้มชองบริษัทเป็นสำคัญ ส่วนที่สามการลงทุนใน SET50 Future นั้นผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาจากทิศทาง และแนวโน้มของตลาดโดยรวมว่าอยู่ในช่วงขาลงหรือปรับฐานหรือไม่ โดยจะเปิดสถานะ SET50 Future ไม่เกินมูลค่าหุ้นที่กองทุนลงทุน
นายวนา กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นในปัจจุบันมีการปรับฐาน เพราะว่าดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมามีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีข่าวร้ายเข้ามา และดัชนีปรับลดลงจึงเป็นเรื่องดีในระยะยาว โดยนักลงทุนควรจับจังหวะการลงทุนดีๆ เพราะว่าดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัวค่อนข้างมาก แต่ในอนาคตเชื่อว่าจะมีข่าวดีเข้ามามาก โดยเฉพาะข่าวดีจากภูมิภาคเอเชียเอง ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว จากที่นักลงทุนเคยวิตกกังวลว่าจะฟื้นตัวในรูปตัว U หรือ V Shape ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะทำอย่างไร หลังจากใช้สภาพคล่องไปค่อนข้างมาก
ส่วนการที่ตลาดหุ้นในปัจจุบันมีการปรับลดลงไปมองว่ายังน้อยกว่าการปรับตัวลดลงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เมื่อตลาดหุ้นปรับขึ้นไปแรง จึงมีมีความเหมาะสมที่ตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานบ้าง หากตลาดหุ้นปรับขึ้นไปแรง และไม่มีการปรับฐานเลยเมื่อดัชนีปรับลดลงก็จะปรับลงแรงเช่นเดียวกัน เพราะว่านักลงทุนส่วนใหญ่มีต้นทุนในการลงทุนหุ้นต่ำ
แต่เมื่อนักลงทุนทยอยขายออกไปเป็นรอบๆ และกลับเข้ามาซื้ออีกครั้ง ส่งผลให้นักลงทุนมีต้นทุนไม่แตกต่างกันมาก ดังนั้น เมื่อซื้อขายหุ้นออกไปจะทำให้แรงขายเบาบาง
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดหุ้นในช่วงปลายปีนี้จะดีขึ้น เพราะว่าได้รับอานิสงส์จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งในปัจจุบัน บลจ.หลายแห่งได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย (Promotion) ออกมากระตุ้นยอดขายค่อนข้างมาก เชื่อว่าอย่างน้อยแรงซื้อดังกล่าวจะช่วยให้ดัชนีปรับขึ้นไปได้โดยคาดว่าปีหน้าน่าเห็นดัชนีที่ระดับ 800 จุดได้
ทั้งนี้ โดยรวมปัจจัยระยะกลางปรับดีขึ้น ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะมีการปรับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P) โดยมองว่า ธปท.มีข้อมูลค่อนข้างมาก และอาจจะเห็นว่าอาจเกิดฟองสบู่ขึ้นในบางอุตสาหกรรม จึงจำเป็นต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นในปี 2553 แต่จะไม่ปรับขึ้นไปเร็ว ซึ่งคาดว่าจะเป็นการปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า