“เร็วๆ มาดูข่าวเร็ว ในหลวงเสด็จฯ”
เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า ห้วงเวลานี้หัวใจของประชาชนคนไทยคงเต็มไปด้วยความสุขจากการที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ซึ่งถือเป็นการปรากฏพระองค์ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ทรงพระประชวรและเสด็จพระราชดำเนินไปประทับรักษาพระวรกายที่โรงพยาบาลศิริราชเมื่อวันที่ 19 กันยายน
ทันทีที่พสกนิกรผู้จงรักภักดีได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินในฉลองพระองค์เชิ้ตแขนสั้นสีฟ้า สนับเพลายาวสีดำ และประทับอยู่บนรถเข็นไฟฟ้าด้วยพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ทรงแย้มพระสรวล โบกพระหัตถ์ประทานและทรงมีพระราชปฏิสัณฐานกับเจ้าหน้าที่และพสกนิกรที่เฝ้ารอรับเสด็จฯ ความปลื้มปีตีก็บังเกิดขึ้น หลายคนน้ำตาไหลด้วยความดีใจ เสียง "ทรงพระเจริญ" เซ็งแซ่ วินาทีนั้น ความสุขของคนไทยกลับมาอีกครั้ง
เพราะก่อนหน้านี้แม้จะข่าวอัปมงคลที่ปล่อยมาจากดูไบจะคลี่คลายลงไปจากการที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ซึ่งเสด็จพระราชดำเนินไปรับการถวายรางวัล วิน เดาส์ เมดัล จากสถาบันอินทรีย์เคมี และชีวโมเลกุลมหาวิทยาลัย เกอ๊อจ เอากุสท์ อูนีแวย์ซิเทท เกิ้ททิงเง่น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้ทรงตอบคำถามข้าราชการสถานเอกอัครราชทูต และนักศึกษาไทยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปลอดภัยแล้ว แต่นั่นย่อมไม่เหมือนกับการที่ได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยสายตาของตัวเอง
และล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมาพสกนิกรชาวไทยก็ได้รับข่าวดีอีกครั้งว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใกล้ที่จะเสด็จพระราชดำเนินออกจากโรงพยาบาลศิริราชแล้วจากพระราชดำรัสของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ซึ่งเสด็จเยือนสาธารณรัฐอิตาลีเพื่อรับรางวัล รามาซินีอวอร์ด 2009 จากสถาบันคอเรโจ รามาซินี ได้พระราชทานพระวโรกาสให้นายประดาบ พิบูลสงคราม เอกอัคราชทูต ณ กรุงโรม นำคณะข้าราชการสถานเอกอัคราชทูตพร้อมด้วยคณะชุมชนชาวไทยในสาธารณรัฐอิตาลีเฝ้า และมีพระดำรัสถึงความคืบหน้าพระอาการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
"พระเจ้าอยู่หัวท่านนอนอยู่บนเตียงนานมากจนกล้ามเนื้อที่ขาท่านล้า แล้วก็คล้ายๆ ว่า กล้ามเนื้อเราเวลาไม่ได้ออกกำลังจะไม่มีกำลัง จะลีบ แล้วก็ไม่มีกำลัง แพทย์จึงต้องถวายกายภาพบำบัด ซึ่งกายภาพบำบัดนี้ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป
"แต่ขณะนี้ทรงลุกจากเตียงเองได้แล้ว และทรงยืนโดยใช้วอล์กเกอร์ได้ แต่ก็คงต้องอีกสักพักหนึ่งก่อนที่จะทรงพระดำเนินได้ ก็ค่อยๆ ทำกายภาพบำบัดไป ซึ่งจริงๆ ขบวนการการทำกายภาพบำบัดนี่ สำหรับคนไข้แล้วก็ ข้าพเจ้าเคยทำกายภาพบำบัดเหมือนกัน ไม่สนุกเลย น่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ บางครั้งก็เผลอๆ จะทะเลาะกับนักกายภาพ พระเจ้าอยู่หัวทรงเข้มแข็งมาก แล้วก็ทรงตั้งพระทัยที่จะทำกายภาพบำบัดอย่างสม่ำเสมอวันละหลายครั้ง ก็คิดว่าคงจะทรง รีคัฟเวอร์(recover)ในไม่นานนี้
"แล้วเมื่อข้าพาเจ้าบินมานี่แล้วนี่ วันที่บินมาถึงก็ได้ทราบว่าท่านทรงลงจากห้องประทับไปถวายสักการะพระรูปสมเด็จย่ากับทูลกระหม่อมปู่ ที่ศาลา 100 ปี แล้วก็มีราษฎรได้เข้าเฝ้าอยู่โดยรอบ แล้วก็รู้สึกว่าทุกคนดีใจที่ได้เข้าเฝ้าพระองค์ท่าน หลังจากที่ไม่ได้เห็นพระองค์ท่านมานานเหลือเกิน หลายอาทิตย์ รู้สึกว่าทุกคนดีใจ รวมทั้งข้าพเจ้าก็ดีใจด้วย แต่ธรรมดาแล้วข้าพเจ้าอยู่ที่โน่นก็เฝ้าทุกวัน
"จริงๆ ข้าพเจ้าก็ทราบว่า การอยู่โรงพยาบาลนานๆ พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ทรงเซ็งเหมือนกัน คือข้าพเจ้าเองก็เคยป่วย และอยู่โรงพยาบาลเป็นเดือน ก็เซ็งเหมือนกัน ก็ทราบดีว่าท่านทรงเซ็ง ก็พยายามจะหาวิธีที่จะให้ท่านได้ทรงพระสรวล หาเรื่องตลกๆ ไปเล่าให้ท่านฟัง เอาภาพยนตร์ตลกๆ ไปให้ท่านดูบ้าง อะไรอย่างนี้ แล้วก็เปิดเพลงถวาย อะไรอย่างนี้ ก็พยายามจะให้ท่านเพลิน แต่คิดว่า อีกไม่นานคงจะเสด็จออกจากโรงพยาบาลได้ค่ะ"
….นี่เป็นข่าวดีที่สุดที่เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินไทยในยามนี้