ถอดยศ-ริบเครื่องราชฯ “ทักษิณ”รับสิทธิ“นช.”เต็มขั้น
หลังจาก “นช.ทักษิณ ชินวัตร” งัดสารพัดกลอุบายเพื่อล้มรัฐบาล “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โดยไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหตุการณ์ล่าสุดที่จับมือกับ “สมเด็จฯฮุนเซน” และ “สมเด็จจิ๋ว” เข้ามาป่วยเวทีอาเซียนซัมมิท ในที่สุดกรรมที่เคยถูกดองเอาไว้ของคนในระบอบทักษิณก็ตามทัน จากการที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาทำหนังสือแสดงความเห็นไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี โดยเห็นควรให้ถอดยศและเรียกเครื่องราชอิสริยาภรณ์คืน
การเรียกคืนเครื่องราชฯ และการถอดยศนั้นต้องถือเป็นหนึ่งในมาตรการลงโทษที่แสบเข้าไปถึงทรวงทีเดียว เพราะเป็นการตอกย้ำและขยายแผลของนายใหญ่แห่งดูไบว่า เป็นคนเช่นไร ทำไมถึงต้องมีชะตากรรมเยี่ยงนี้ เนื่องจากต้องไม่ลืมว่า ทั้งยศ พ.ต.ท.และเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้นเป็นสิ่งได้รับพระราชทาน เป็นเครื่องหมายและสัญลักษณ์ของการทำคุณงามความดีให้แก่ชาติบ้านเมือง
ที่สำคัญคือการถอดยศ พ.ต.ท.ส่งผลให้ พ.ต.ท.สามารถใช้คำนำหน้าชื่อได้เพียง 2 คำคือนายทักษิณหรือนักโทษชาย(นช.)ทักษิณเท่านั้น ยกเว้นแต่จะเปลี่ยนไปใช้คำว่า Mr.แทน
นี่เป็นสิ่งที่ทำให้ นช.ทักษิณไร้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีที่จะใช้ชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินไทยอีกต่อไป
หลายคนสงสัยว่า ทำไมกฤษฎีกาถึงได้มีความเห็นออกมาในช่วงนี้ เป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่
ตอบได้ทันทีเลยว่าไม่ใช่ และเป็นการดำเนินการที่ช้าเสียด้วยซ้ำไป
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้....
...หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความผิดในคดีที่ดินรัชดาฯ ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2552 มาตรา100(1) วรรคสามและมาตรา 122 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ขอบรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ โดยพิพากษาให้ลงโทษจำคุก 2 ปี เสียงเรียกร้องให้ถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชฯ ก็ดังกระหึ่มขึ้นมาในทันที เพราะคำพิพากษาถือเป็นเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แต่เรื่องดังกล่าวก็ถูก “ดอง” เอาไว้ เพราะขณะนั้นรัฐบาลนอมินีของ นช.ทักษิณยังคงเรืองอำนาจ กล่าวคือสำนักงานกำลังพลได้สรุปเรื่องทั้งหมดเสนอไปยัง “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” อดีตผบ.ตร.ในขณะนั้น แต่นายใหญ่ของตำรวจยุคนั้นเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับระเบียบข้อกฎหมาย จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงศ์ ผบช.ก.ตร.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานดูแลเรื่องกฎหมายและรู้เรื่องกฎระเบียบต่างๆ เป็นอย่างดี รับเรื่องไปพิจารณาในข้อกฎหมาย
ขณะที่ นช.ทักษิณดูเหมือนจะล่วงรู้ชะตากรรมของตน จึงได้ตัดสินใจหนีคดีไปกบดานยังต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม ความจริงก็ย่อมเป็นความจริง คนทำผิดย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะได้รับผลกรรมตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เพราะเมื่อผลัดแผ่นดิน การณ์ก็เปลี่ยนไป
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหนังสือที่ ตช.0039/0331 ลงวันที่ 4 กันยายน 2552 เพื่อขอหารือข้อกฎหมายมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยหนังสือดังกล่าวนั้นได้ผ่านความเห็นชอบจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ในที่สุดเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาก็มีความเห็นส่งกลับมาถึงสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซี่งเป็นความเห็นที่ชัดเจนและทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมตามตัวบทกฎหมาย
ในประเด็นเรื่องการถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น กฤษฎีกามีความเห็นว่า การเสนอขอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจและที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว ให้กระทำได้ เมื่อผู้นั้นต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกหรือโทษที่หนักกว่าจำคุก ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องเป็นผู้ดำเนินการถอดยศต่อไป
ส่วนประเด็นเรื่องการเรียกคืนเครื่องราชฯ กฤษฎีกามีความเห็นชัดเจนเช่นกันว่า สามารถทำได้ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสรยาภรณ์ พ.ศ.2548 ซึ่งบัญญัติเหตุแห่งการเรียกคืนไว้ในข้อ 7(2) ว่า เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก
ทั้งนี้ เครื่องราชฯ ที่พ.ต.ท.ทักษิณได้รับประกอบไปด้วย
1.เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย(บ.ม.)
2.จัตุรถาภรณ์มงกุฎไทย(จ.ม.)
3.จัตรุถาภรณ์ช้างเผือก(จ.ช.)
4.ตริตราภรณ์มงกุฎไทย(ต.ม.)
5.ประถมาภรณ์ช้างเผือก(ป.ช.)
6.มหาวชิรมงกุฎ(ม.ว.ม.)
7.มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก(ป.ภ.)
8.ปฐมดิเรกคุณาภรณ์(ป.ภ.)
9.ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ(ท.จ.ว.)
สำหรับสิ่งที่จะทำต่อไปในกรณีของเครื่องราชฯ ให้ส่วนราชการต้นสังกัดที่ทำเรื่องขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทั้งในสมัยที่พ.ต.ท.ทักษิณรับราชการเป็นตำรวจ ซึ่งก็คือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็คือสำนักนายกรัฐมนตรี รวบรวมเอกสารหลักฐานและประวัติการได้รับพระราชทานเครื่องราชฯ เพื่อส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อพิจารณาเห็นสมควรแล้วให้เสนอรายชื่อพร้อมทั้งชั้นตราเครื่องราชฯที่สมควรขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนให้ “นายกรัฐมนตรี” พิจารณา ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายชื่อและชั้นตราที่จะเรียกคืนไปยังสำนักราชเลขาธิการเพื่อนำความกราบบังคมทูลพระบรมราชานุญาตเรียกคืน หากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกคืนแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
หากไล่เรียงตามขั้นตอนทั้งหมดจะเห็นได้ว่า นช.ทักษิณหมดหนทางที่จะต่อสู้เพื่อที่จะคงคำว่า พ.ต.ท.และเครื่องราชฯ ที่ได้รับเอาไว้ได้ เมื่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีการวินิจฉัยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็ไม่มีทางที่จะดิ้นไปเป็นอื่น
แน่นอน เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า บรรดาลิ่วล้อพลพรรคเสื้อแดงย่อมไม่ยอมจำนนกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งอ้างหน้าตาเฉยว่า คดีที่ดินรัชดาฯ นั้นเป็นคดีการเมือง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว คดีนี้เป็น “คดีอาญา” ที่ติดสินโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งพิพากษาภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และที่ผ่านมาก็มีนักการเมืองได้รับโทษจากคำพิพาษาของศาลไม่น้อย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ “นายรักเกียรติ สุขธนะ” อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจากคดีทุจริตยา
แล้วนช.ทักษิณเป็นใครทำไมถึงไม่ยอมรับคำพิพากษานี้ เป็นบุคคลที่อยู่เหนือกฎหมายหรือ
ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเองก็ถือเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำและเชี่ยวชาญในตัวบทกฎหมายของประเทศไทย
การที่ นช.ทักษิณและบริวารไม่ยอมรับ เท่ากับปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทยใช่หรือไม่
นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง ไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมจนทำลายความสมานฉันท์ของคนในชาติ แต่นี่คือเรื่องของความ “ถูก” ความ “ผิด” เป็นเรื่องของ “ความดี” และ “ความชั่ว” ที่จะต้องธำรงไว้ในผืนแผ่นดินไทย
นช.ทักษิณไม่ใช่ตำรวจรายแรกที่ถูกถอดยศ ที่ผ่านมามีข้าราชการตำรวจจำนวนไม่น้อยศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดและต้องดำเนินการถอดยศ หรืออย่างเช่นกรณีล่าสุดคือ พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ ที่ถูกศาลฎีกาพิพากษาประหารชีวิตจากคดีเพชรซาอุฯ และกำลังถูกดำเนินการอยู่ในขณะนี้
ที่น่าตลกไปกว่านั้นก็คือ ที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงมีพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่หลังจากกฤษฎีกามีความเห็นออกมา ทีมทนาย “ห่อขนม” ของ นช.ทักษิณกลับอ้างว่า การถอดยศและริบเครื่องราชฯ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
...แต่ใครจะไปรู้ได้ว่า ลึกๆ แล้ว “นายใหญ่แห่งดูไบ” อาจไม่ได้รู้สึกรู้สาหรือ “ยี่หระ” กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะทุกการเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ได้สนใจว่าจะก่อให้เกิดความฉิบหายกับแผ่นดินเกิดของตนอยู่แล้ว และในไม่ช้าเขาอาจจะได้ทั้งยศและเครื่องราชฯ ใหม่จากเพื่อนรักอย่าง “สมเด็จฯฮุนเซน” ก็เป็นได้ เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่เขียนความในใจเอาไว้ในทวิตเตอร์ โดยเลือกที่ใช้เพลง “ขอบคุณที่ซ้ำเติม” ของ “ธเนศ วรากุลนุเคราะห์” อย่างอารมณ์ดีว่า “ใครจำเพลงของธเนศได้บ้างที่ว่า ขอบคุณที่ซ้ำเติม จุดเดิมที่เคยเจ็บ เจ็บอย่างเดิมที่เคยเจอมาก่อน ผมว่าผมต้องหัดร้องเพลงนี้ไว้กล่อมเด็กดีกว่า”