ASTVผู้จัดการรายวัน-"กฤษฎีกา"ส่งหนังสือเห็นควรให้ถอดยศ "ทักษิณ ชินวัตร" เป็น "นายแม้ว" หลังถูกตัดสินจำคุก 2 ปี พร้อมเรียกเครื่องราชอิสริยาภรณ์คืนทั้งหมด ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการ ขณะที่สำนักงานกำลังพล ตร.ระบุ เรื่องนี้จบแล้ว พร้อมเตรียมดำเนินการตามขั้นตอน
วานนี้(27 ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหนังสือถึง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.)เรื่อง แนวทางการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดยศตำรวจและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี จากความผิด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 (1) วรรคสาม และมาตรา 122 วรรคหนึ่ง กรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นเหตุในการพิจารณาถอดยศตำรวจ ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547
หนังสือดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ไม่ว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณได้ รวมไปถึง การเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548
แหล่งข่าว จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าก่อนหน้านี้ สำนักงานกำลังพลได้ สรุปเรื่องเสนอไปยัง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.แล้ว แต่ พล.ต.อ.พัชรวาท เห็นว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับระเบียบข้อกฎหมาย ขณะเดียวกันเป็นกรณีที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อน อัตราโทษเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปรามปรามการทุจริต จึงสั่งการให้ พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงศ์ ผบช.ก.ตร.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานดูแลเรื่องกฎหมายและรู้เรื่องกฎระเบียบต่าง ๆ เป็นอย่างดี รับเรื่องไปพิจารณาในข้อกฎหมาย ซึ่งทราบว่า ในระดับนี้ก็ได้เสนอให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พิจารณาก่อนจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ
“กรณีนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ เนื่องจากเป็นความผิดอาญานักการเมือง ซึ่งผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต้องการดำเนินการอย่างรอบคอบที่สุด จึงได้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ เมื่อตีความออกมาแล้วเป็นอย่างนี้ทุกอย่างก็จบ ซึ่งหลังจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนโดยเสนอสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป ”แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ การถอดยศจะต้องดำเนินการพร้อมกับการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับขณะที่รับราชการเป็นตำรวจ และได้รับเมื่อเป็นรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งการเรียกคืนเครื่องราชย์ฯ เมื่อครั้งรับราชการเป็นตำรวจ ทาง ตร.ได้ดำเนินการแล้ว แต่เครื่องราชย์ฯ ในสมัยที่รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีและนายกฯ นั้น ทางสำนักนายกรัฐมนตรีจะต้องดำเนินการ
ด้าน พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร รรท.ผบก.กพ. กล่าวถึงเรื่องนื้ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือจากทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งตามขั้นตอนแล้วหากมีหนังสือส่งมา ก็จะเสนอให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. เพื่อพิจารณาว่าหนังสือครบถ้วนตามหลักเกณฑ์หรือไม่ หลังจากนั้นจะสั่งงานตามสายงานเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
“การได้รับเครื่องราชย์จะได้รับพระราชทานจากในหลวง ซึ่งการที่จะถอดเครื่องราชย์ฯ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะดำเนินการใดๆไป” พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ กล่าว
วานนี้(27 ต.ค.)ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหนังสือถึง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.)เรื่อง แนวทางการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดยศตำรวจและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี จากความผิด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 (1) วรรคสาม และมาตรา 122 วรรคหนึ่ง กรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นเหตุในการพิจารณาถอดยศตำรวจ ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547
หนังสือดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้ว มีความเห็นว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ไม่ว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณได้ รวมไปถึง การเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548
แหล่งข่าว จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีความเห็นให้ถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าก่อนหน้านี้ สำนักงานกำลังพลได้ สรุปเรื่องเสนอไปยัง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.แล้ว แต่ พล.ต.อ.พัชรวาท เห็นว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับระเบียบข้อกฎหมาย ขณะเดียวกันเป็นกรณีที่ไม่เคยมีปรากฎมาก่อน อัตราโทษเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปรามปรามการทุจริต จึงสั่งการให้ พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงศ์ ผบช.ก.ตร.ในฐานะที่เป็นหน่วยงานดูแลเรื่องกฎหมายและรู้เรื่องกฎระเบียบต่าง ๆ เป็นอย่างดี รับเรื่องไปพิจารณาในข้อกฎหมาย ซึ่งทราบว่า ในระดับนี้ก็ได้เสนอให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พิจารณาก่อนจะส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ
“กรณีนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ เนื่องจากเป็นความผิดอาญานักการเมือง ซึ่งผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ต้องการดำเนินการอย่างรอบคอบที่สุด จึงได้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความ เมื่อตีความออกมาแล้วเป็นอย่างนี้ทุกอย่างก็จบ ซึ่งหลังจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนโดยเสนอสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป ”แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ การถอดยศจะต้องดำเนินการพร้อมกับการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับขณะที่รับราชการเป็นตำรวจ และได้รับเมื่อเป็นรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งการเรียกคืนเครื่องราชย์ฯ เมื่อครั้งรับราชการเป็นตำรวจ ทาง ตร.ได้ดำเนินการแล้ว แต่เครื่องราชย์ฯ ในสมัยที่รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีและนายกฯ นั้น ทางสำนักนายกรัฐมนตรีจะต้องดำเนินการ
ด้าน พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ วัฒนวรางกูร รรท.ผบก.กพ. กล่าวถึงเรื่องนื้ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือจากทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งตามขั้นตอนแล้วหากมีหนังสือส่งมา ก็จะเสนอให้ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร. เพื่อพิจารณาว่าหนังสือครบถ้วนตามหลักเกณฑ์หรือไม่ หลังจากนั้นจะสั่งงานตามสายงานเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
“การได้รับเครื่องราชย์จะได้รับพระราชทานจากในหลวง ซึ่งการที่จะถอดเครื่องราชย์ฯ ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะดำเนินการใดๆไป” พล.ต.ต.ชนสิษฎ์ กล่าว