ASTV ผู้จัดการรายวัน – TNDT ตั้งเป้าปีหน้ารายได้โตเพิ่มเป็น 360 ล้านบาท จากการขยายงานสู่ต่างประเทศ เล็งตั้งสาขาในเวียดนาม เหตุมาร์จิ้นสูงกว่าในประเทศ และอุตสาหกรรมพลังงานมีแนวโน้มการเติบโตสูง ก่อนขยายฐานไปอินโดนีเซีย และจีนในอนาคต พร้อมเชื่อปีนี้มีโอกาสจ่ายปันผลสูงขึ้น
นางชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) (TNDT) กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคาดว่าจะทำให้ความสามารถจ่ายเงินปันผลของบริษัทสูงขึ้นมากกว่าปี 2551 ซึ่งอยู่ที่อัตรา 0.15 บาท/หุ้น โดยในครึ่งปีแรก 2552 บริษัทได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.10 บาท/หุ้น สาเหตุหนึ่งมาจากกำไรการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI)อีก 10% ซึ่งจะเริ่มรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้
ส่วนเป้าหมายในปี 2553 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ที่อีก 20% จากปีนี้ ที่มีรายได้ 300 ล้านบาท โดยจะอยู่ที่ 360 ล้านบาท เพราะบริษัทมีงานในมือ(Backlog)ประมาณ 300 ล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2553 เช่น งานตรวจสอบโรงไฟฟ้า ของ DOOSAN จ.ระยอง 18.1 ล้านบาท การตรวจสอบงานถัง LNG มูลค่า 19 ล้านบาท และที่เหลือจะเป็นงานของบริษัทในกลุ่มปตท. ได้แก่ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) บมจ..บางจากปิโตรเลียม(BCP)
นอกจากนี้ ทางบริษัทเชื่อว่าในปี 2553 TNDTจะสามารถกลับมาดำเนินการรับตรวจสอบโรงถลุงเหล็กของมาดาร์กัสการ์ที่ชะลอไปช่วงต้นปี จากปัญญาการเมืองได้ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 10-12 ล้านบาท โดยบริษัทรับรู้ไปแล้ว 40% หรือราว 5 ล้านบาท รวมทั้งบริษัท ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาการตรวจสอบรูปแบบ Acoustic Emission ซึ่งเป็นเครื่องมือตรวจสอบด้วยสัญญาณเสียง ที่จะทำให้รองรับการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพและหลากหลายธุรกิจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า บริษัทมีแผนจะออกไปรับงานต่างประเทศมากขึ้น เพราะปัจจัยในประเทศยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะปัจจัยด้านสถานกาณณ์การเมือง ที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนชะลอ รวมถึงการเข้ารับงานในต่างประเทศนั้น จะสามารถให้อัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูงถึง 30% ขณะที่งานในประเทศมีมาร์จิ้นเฉลี่ยประมาณ 20%
โดยTNDT จะเข้าไปลงทุนตั้งสาขาในประเทศเวียดนาม ประมาณมกราคมปีหน้า ด้วยเงินลงทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าเวียดนามมีความต้องการพัฒนาโครงการต่าง ๆ อีกมาก โดยเฉพาะงานด้านอุตสาหกรรมพลังงานอย่าง Oil&Gas และในอนาคตก็มีแผนที่จะขยายไปในประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซียและจีน ซึ่งจะส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในปีหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่ถึง 1% อีกทั้งขณะนี้บริษัทกำลังเจรจากับพันธมิตรในเวียดนาม 2 ราย ซึ่งในอนาคตอาจจะมีความร่วมมือในลักษณะการร่วมทุนกัน โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปหลังจากมกราคมเช่นกัน
ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการ TNDT ยืนยันว่า บริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มเติม เพราะกระแสเงินสดและทุนหมุนเวียนที่มีอยู่นั้นยังเพียงพอ อีกทั้งเงินที่ได้จากการะดมทุนเข้าตลาดหุ้นก็ยังมีเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปหาปหล่งทุนจากภายนอกเพิ่มเติม โดยปัจจัยบริษัทไม่มีภาระหนี้สิน และจากจุดนี้เองทำให้ภาระหนี้สินต่อทุนของบริษัท (D/E) เป็น 0
ขณะเดียวกันภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทมั่นใจศูนย์ปฏิบัติงานที่จ.ระยอง จะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเข้าไปใช้งานได้ทันภายในปีนี้ ส่วนกรณ๊ปัญหาการหยุดดำเนินโครงการ 76 โครงการด้านอุตสาหกรรมพลังงานในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุดนั้น ยอมรับว่าหากทุกดอย่างต้องหยุดลง บริษัทในฐานะผู้ให้บริการ ก็จะได้รับกระทบจากเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่ยืนยันว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะไม่มีผลทำให้รายได้ในปี 2552 และปีหน้าปรับลดลงไปแต่อย่างใด
นางชมเดือน ศตวุฒิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เอ็น ดี ที จำกัด (มหาชน) (TNDT) กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ยังเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไปคาดว่าจะทำให้ความสามารถจ่ายเงินปันผลของบริษัทสูงขึ้นมากกว่าปี 2551 ซึ่งอยู่ที่อัตรา 0.15 บาท/หุ้น โดยในครึ่งปีแรก 2552 บริษัทได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตรา 0.10 บาท/หุ้น สาเหตุหนึ่งมาจากกำไรการดำเนินงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(BOI)อีก 10% ซึ่งจะเริ่มรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีนี้
ส่วนเป้าหมายในปี 2553 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ไว้ที่อีก 20% จากปีนี้ ที่มีรายได้ 300 ล้านบาท โดยจะอยู่ที่ 360 ล้านบาท เพราะบริษัทมีงานในมือ(Backlog)ประมาณ 300 ล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว ซึ่งจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในปี 2553 เช่น งานตรวจสอบโรงไฟฟ้า ของ DOOSAN จ.ระยอง 18.1 ล้านบาท การตรวจสอบงานถัง LNG มูลค่า 19 ล้านบาท และที่เหลือจะเป็นงานของบริษัทในกลุ่มปตท. ได้แก่ บมจ. ปตท.สำรวจและผลิต ปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) บมจ..บางจากปิโตรเลียม(BCP)
นอกจากนี้ ทางบริษัทเชื่อว่าในปี 2553 TNDTจะสามารถกลับมาดำเนินการรับตรวจสอบโรงถลุงเหล็กของมาดาร์กัสการ์ที่ชะลอไปช่วงต้นปี จากปัญญาการเมืองได้ ซึ่งโครงการดังกล่าวมีมูลค่า 10-12 ล้านบาท โดยบริษัทรับรู้ไปแล้ว 40% หรือราว 5 ล้านบาท รวมทั้งบริษัท ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาการตรวจสอบรูปแบบ Acoustic Emission ซึ่งเป็นเครื่องมือตรวจสอบด้วยสัญญาณเสียง ที่จะทำให้รองรับการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพและหลากหลายธุรกิจมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปีนี้และปีหน้า บริษัทมีแผนจะออกไปรับงานต่างประเทศมากขึ้น เพราะปัจจัยในประเทศยังมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะปัจจัยด้านสถานกาณณ์การเมือง ที่ทำให้บรรยากาศการลงทุนชะลอ รวมถึงการเข้ารับงานในต่างประเทศนั้น จะสามารถให้อัตรากำไร(มาร์จิ้น)สูงถึง 30% ขณะที่งานในประเทศมีมาร์จิ้นเฉลี่ยประมาณ 20%
โดยTNDT จะเข้าไปลงทุนตั้งสาขาในประเทศเวียดนาม ประมาณมกราคมปีหน้า ด้วยเงินลงทุนไม่เกิน 5 ล้านบาท เนื่องจากมองว่าเวียดนามมีความต้องการพัฒนาโครงการต่าง ๆ อีกมาก โดยเฉพาะงานด้านอุตสาหกรรมพลังงานอย่าง Oil&Gas และในอนาคตก็มีแผนที่จะขยายไปในประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซียและจีน ซึ่งจะส่งผลให้มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในปีหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ไม่ถึง 1% อีกทั้งขณะนี้บริษัทกำลังเจรจากับพันธมิตรในเวียดนาม 2 ราย ซึ่งในอนาคตอาจจะมีความร่วมมือในลักษณะการร่วมทุนกัน โดยคาดว่าจะมีข้อสรุปหลังจากมกราคมเช่นกัน
ทั้งนี้ กรรมการผู้จัดการ TNDT ยืนยันว่า บริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องระดมทุนเพิ่มเติม เพราะกระแสเงินสดและทุนหมุนเวียนที่มีอยู่นั้นยังเพียงพอ อีกทั้งเงินที่ได้จากการะดมทุนเข้าตลาดหุ้นก็ยังมีเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง จึงไม่มีความจำเป็นต้องไปหาปหล่งทุนจากภายนอกเพิ่มเติม โดยปัจจัยบริษัทไม่มีภาระหนี้สิน และจากจุดนี้เองทำให้ภาระหนี้สินต่อทุนของบริษัท (D/E) เป็น 0
ขณะเดียวกันภายในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทมั่นใจศูนย์ปฏิบัติงานที่จ.ระยอง จะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเข้าไปใช้งานได้ทันภายในปีนี้ ส่วนกรณ๊ปัญหาการหยุดดำเนินโครงการ 76 โครงการด้านอุตสาหกรรมพลังงานในนิคมอุตสาหกรรม มาบตาพุดนั้น ยอมรับว่าหากทุกดอย่างต้องหยุดลง บริษัทในฐานะผู้ให้บริการ ก็จะได้รับกระทบจากเรื่องดังกล่าวด้วยเช่นกัน แต่ยืนยันว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะไม่มีผลทำให้รายได้ในปี 2552 และปีหน้าปรับลดลงไปแต่อย่างใด