1. “ในหลวง” เสด็จฯ ประทับ รพ.ศิริราช หลังทรงมีพระปรอท-เสวยได้น้อยลง!
เย็นวันนี้(20 ก.ย.) สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรอท(เป็นไข้) ตลอดจนเสวยพระกระยาหารได้น้อยลง คณะแพทย์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จฯ มาประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อตรวจหาสาเหตุ พร้อมกับถวายการรักษาด้วยน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิตร่วมกับยาปฏิชีวนะ จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงประทับตรวจพระวรกายที่อาคารเฉลิมพระเกียรติเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เผยหลังลงนามถวายพระพรว่า ได้รับรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้าตรวจพระวรกายเมื่อคืนวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา เท่าที่ได้พูดคุยกับคณะแพทย์ทราบว่า พระอาการไม่มีปัญหาและไม่น่าห่วง
ทั้งนี้ นอกจากบุคคลสำคัญในบ้านเมืองจะทยอยไปร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่โรงพยาบาลศิริราชแล้ว ยังมีประชาชนและนิสิตนักศึกษามาร่วมลงนามถวายพระพรอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยตั้งแต่วันที่ 21 ก.ย.เป็นต้นไป สำนักพระราชวังจะเปิดให้ประชาชนลงนามถวายพระพรได้บริเวณโถงชั้นล่างอาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ ตั้งแต่เวลา 08.00น.-20.00น.
2. “เสื้อแดง”ปอด ยกเลิกบุกบ้านป๋า อ้าง ต้องการจบการชุมนุมอย่างสงบ แต่คาด กลัวมือที่สามจ้องบึ้ม!
ความคืบหน้ากรณีกลุ่ม นปช.นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยอ้างว่าเพื่อรำลึกถึงความอดสูที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในโอกาสครบรอบ 3 ปีของการยึดอำนาจ 19 ก.ย.2549 พร้อมประกาศจะเคลื่อนขบวนไปที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โดยอ้างว่า พล.อ.เปรมอยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. นั้น ปราฏว่า ก่อนหน้าจะถึงวันนัดชุมนุมใหญ่ แกนนำ นปช.นายวีระ มุสิกพงศ์ ได้ประกาศสถาปนา “รัฐไทยใหม่” พร้อมเดินหน้าโครงการโรงเรียนผู้ปฏิบัติงาน นปช. “แดงทั้งแผ่นดิน”หรือโรงเรียนคนเสื้อแดง โดยเริ่มอบรมรุ่นแรกเมื่อวันที่ 12-13 ก.ย. เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังอบรม ได้ข้อสรุปให้ผู้เข้าอบรมไปปฏิบัติ 7 ข้อเพื่อขยายแนวร่วมคนเสื้อแดงให้มากขึ้น เช่น ให้ขยายผลไปยังคนหนุ่มสาว ,เดินหน้าโครงการ 1 อำเภอ 1 วิทยุชุมชน 1 คนเสื้อแดง ,ทำให้คนใกล้ตัวหรือสมาชิกในครอบครัวเป็นคนเสื้อแดงให้ได้ ฯลฯ
ส่วนวัตถุประสงค์ของการเปิดโรงเรียนคนเสื้อแดงนั้น แกนนำ นปช.อ้างว่า เพื่อให้ได้คนเสื้อแดงนักประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ เพื่อร่วมกันขับไล่รัฐบาลอำมาตยาธิปไตยและระบอบอำมาตยาธิปไตย โดยจะเคลื่อนไหวกดดันทุกที่ที่รัฐบาลอำมาตย์ไป ,ขัดขืนต่อการใช้อำนาจของรัฐบาลชุดนี้ ,ไม่สนับสนุนสินค้าของระบอบอำมาตย์ ,โจมตีแขนขาระบอบอำมาตย์ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือองค์กรอิสระ ,เปิดรับสมัครแนวหน้าจรยุทธ์ เพื่อประสานกับกลุ่มเสื้อแดงในแต่ละพื้นที่เพื่อกดดันรัฐบาลอำมาตย์ ,เรียกร้องให้นำ รธน.2540 กลับคืนมา
นายวีระ บอกด้วยว่า ตั้งเป้าผลิตนักเรียน นปช.หรือคนเสื้อแดงให้ได้ 1 ล้านคน พร้อมคุยโวว่า เมื่อได้ 1 ล้านคนเมื่อไหร่ คนเสื้อแดงจะชี้นำประเทศนี้ไปทางไหนก็ได้ “หากเราสามารถผลิตนักเรียน นปช.ได้ 1 ล้านคน ก็จะสามารถได้คนเสื้อแดงนักประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ไม่ว่าเราจะชี้นิ้วไปทางไหน ประเทศนี้เป็นตามนิ้วที่คนเสื้อแดงชี้ ดังนั้นพวกเราต้องเป็นครูเพื่อหาลูกศิษย์สอนให้รู้จักแดงทั้งแผ่นดิน”
ด้านที่ประชุม ครม.(15 ก.ย.) ได้อนุมัติให้ประกาศ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงในราชอาณาจักรครอบคลุมพื้นที่เขตดุสิต ระหว่างวันที่ 18-22 ก.ย.ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(กอ.รมน.)เสนอ เพื่อป้องกันเหตุไม่สงบระหว่างการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 19 ก.ย. โดยมอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง เป็น ผอ.ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.)
ส่วนกรณีที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และญาติผู้พี่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกมาสนับสนุนให้ทหารปฏิวัติเพื่อผ่าทางตันเป็นทางออกให้กับประเทศในขณะนี้นั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยืนยันว่า จะไม่มีการปฏิวัติแน่นอน “ขอยืนยันว่า ไม่มีการปฏิวัติในวันที่ 18-19-20 ก.ย. ปฏิวัติวันไหน ผมจะเดินถอดเสื้อผ้าออกไปเลย” เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่ยืนยันเช่นกันว่า ไม่มีการปฏิวัติแน่นอน “การปฏิวัติเป็นเรื่องใหญ่หลวงของประเทศชาติ ทุกคนได้รับผลกระทบ ไม่ใช่เรื่องที่ใครอยากทำอะไรก็ทำ โดยเฉพาะใครที่คิดว่าผมอยากจะทำอะไรหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มี”
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะไม่สามารถขัดขวางการใช้สิทธิชุมนุมอย่างสงบของคนเสื้อแดงตาม รธน.มาตรา 63 ได้ พร้อมขู่รัฐบาลด้วยว่า หากใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม หรือใช้เครื่องขยายเสียงระดับไกล หรือแอลเรด(LRAD : Long Range Acoustic Device) เพื่อทำให้คนเสื้อแดงหูดับนั้น คนเสื้อแดงจะไม่ชุมนุมแค่ 1 วันตามที่ประกาศแน่นอน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่คนเสื้อแดงประกาศสถาปนารัฐไทยใหม่และเปิดโรงเรียนคนเสื้อแดง ทางฝั่งรัฐบาลก็ได้ผุดโครงการ “ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง” เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกของประชาชนให้รักชาติ ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติ แทนที่จะยึดตัวบุคคล โดยให้ประชาชนแต่ละจังหวัดแสดงพลังเพื่อสร้างความสามัคคีด้วยการร้องเพลงชาติในเวลา 18.00น.ซึ่งจะมีการถ่ายทอดภาพกิจกรรมดังกล่าวทางสถานีโทรทัศน์ โดยเวียนไปแต่ละจังหวัดจนครบ 76 จังหวัด สิ้นสุดวันที่ 4 ธ.ค. ก่อนจัดงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันที่ 5 ธ.ค.ที่จะมารวมตัวกันที่ท้องสนามหลวง
สำหรับมาตรการดูแลความสงบเรียบร้อยภายใต้ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ นั้น ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ยืนยันว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วยทุกฝ่ายจะไม่ใช้อาวุธร้ายแรง แต่ถ้าจำเป็นอาจต้องใช้อาวุธปืนลูกกระสุนยาง ซึ่งจะทำให้มีคนบาดเจ็บบ้าง แต่นั่นคือมาตรการสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่เลือกไม่ได้แล้ว ซึ่งหากจะใช้มาตรการนั้นก็ต้องตัดสินใจโดยที่ประชุม โดยผมจะสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติต้องมารับกรรม”
ด้านแกนนำ นปช.ได้ฟ้องต่อศาลปกครองและศาลแพ่ง เพื่อขอให้เพิกถอนมติ ครม.และ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดยอ้างว่า รัฐบาลออกประกาศโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลปกครองและศาลแพ่งต่างไม่รับฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองและศาลแพ่ง แกนนำ นปช.จึงไปฟ้องต่อศาลอาญาเมื่อวันที่ 18 ก.ย.ว่า รัฐบาลปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
สำหรับบรรยากาศวันชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย. แกนนำคนเสื้อแดงบางส่วน เช่น นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ,นายสุพร อัตถาวงศ์ ,นายขวัญชัย ไพรพนา ฯลฯ ได้นำคนเสื้อแดงใน 19 จังหวัดภาคอีสานประมาณ 4,000 คน เดินเท้าจากอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) ไปบ้านไร้กังวลของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ จ.นครราชสีมาในช่วงเช้า แต่ถูกตำรวจสกัดกั้นไม่ให้เข้าใกล้บ้านพัก พล.อ.เปรม นายอริสมันต์จึงประกาศเจตนารมณ์เรียกร้องให้ พล.อ.เปรมเลิกยุ่งกับการเมือง และให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ประกาศยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน จากนั้นกลุ่มเสื้อแดงดังกล่าวได้เคลื่อนพลเข้า กทม.เพื่อสมทบแนวร่วมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ส่วนบรรยากาศการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในช่วงบ่ายฝนได้กระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทำให้น้ำท่วมขังไปทั่วบริเวณ
ทั้งนี้ ในช่วงค่ำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ได้วิดีโอลิงก์มายังผู้ชุมนุมนับหมื่นที่ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยโจมตีการปฏิวัติรัฐประหารที่เวียนมาครบ 3 ปีว่า ทำให้ประเทศไทยถอยหลังเข้าคลอง พร้อมเรียกร้องให้คนไทยนั่งหลับตา แล้วนึกย้อนไปว่า 3 ปีแห่งการปฏิวัติ ได้ทำให้ประชาชนและประเทศชาติดีขึ้นหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณยังบอกด้วยว่า พร้อมจะปรองดองกับทุกฝ่ายด้วยการพูดคุยกัน และให้คนเสื้อแดงยืนหยัดสู้ต่อไป
เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ออกมาแถลงในช่วงเย็นวันที่ 19 ก.ย.ว่า ได้เพิ่มด่านจุดตรวจวัตถุระเบิดจาก 6-7 จุด เป็น 13 จุด เนื่องจากอาจมีผู้ไม่หวังดีก่อความวุ่นวายตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเป็นต้นไป ซึ่งไม่ทราบว่ากลุ่มไหน และไม่สามารถระบุจุดที่สุ่มเสี่ยงได้ ปรากฏว่า แกนนำกลุ่มเสื้อแดงได้ยกเลิกการเคลื่อนขบวนไปยังบ้าน พล.อ.เปรม ทั้งที่ก่อนหน้านั้นแกนนำได้บอกกับผู้ชุมนุมว่า จะเคลื่อนขบวนหลัง พ.ต.ท.ทักษิณวิดีโอลิงก์ในเวลา 20.30น. โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.พูดถึงเหตุที่ยกเลิกการเคลื่อนพลไปบ้าน พล.อ.เปรมว่า เพราะคนเสื้อแดงได้แสดงออกด้วยการชุมนุมที่บ้านไร้กังวลของ พล.อ.เปรมที่ จ.นครราชสีมาแล้ว ประกอบกับ พล.อ.เปรมไม่อยู่บ้านพักที่ กทม. นอกจากนี้คนเสื้อแดงต้องการจบการชุมนุมอย่างสงบ ลดข้อครหาการใช้ความรุนแรง และป้องกันมือที่สามสร้างสถานการณ์ จึงขอยุติการชุมนุมตั้งแต่เวลา 24.00น.
3. ชาวบ้านภูมิซรอล ไม่ต้องการทวงคืนดินแดนไทย-ใช้อาวุธทำร้าย “พันธมิตรฯ”-ช่างภาพ ASTV โดนด้วย!
เมื่อวันที่ 16 ก.ย. นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน และเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้ายื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ไต่สวนดำเนินคดีกับแม่ทัพภาคที่ 2 ,ผู้บัญชาการทหารบก ,และคณะรัฐมนตรี(ครม.)ตั้งแต่ปี 2541-ปัจจุบัน ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีไม่ผลักดันหรือยินยอมให้กองกำลังของกัมพูชาเข้ามายึดครองแผ่นดินไทยบริเวณรอบปราสาทพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เนื้อที่เกือบ 3,000 ไร่
ทั้งนี้ นายวีระ ชี้ว่า ศาลโลกตัดสินให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาเมื่อปี 2505 แต่ไม่ได้รวมพื้นที่ 4.6 ตร.กม. แต่ชาวกัมพูชาจำนวนมากได้เข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ดังกล่าว ขณะที่กองกำลังติดอาวุธชาวกัมพูชาก็รุกล้ำเข้ามาสร้างบ้านเรือน ร้านค้า วัด และมีการปักธงในดินแดนไทย แต่กองทัพภาคที่ 2 ในขณะนั้นจนถึงปัจจุบันก็ไม่ยอมผลักดันกองกำลังของกัมพูชาออกจากดินแดนไทย โดยอ้างว่าทำตามนโยบายของรัฐบาล ทำให้ชาวกัมพูชาเข้ามาสร้างบ้านเรือนในดินแดนไทยมากขึ้น “ผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือ ทหารและ ครม.ตั้งแต่ปี 2541 สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ,รัฐบาลนายชวน หลีกภัย ,รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ,รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ,รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ,รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ที่ไม่ยอมผลักดันกองกำลังต่างชาติให้ออกไปจากแผ่นดินไทย”
นอกจากร้อง ป.ป.ช.ให้ไต่สวนดำเนินคดีรัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องที่เพิกเฉยปล่อยให้กัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารแล้ว นายวีระยังได้เชิญชวนพันธมิตรฯ ในจังหวัดต่างๆ ร่วมเดินทางไปปราสาทพระวิหาร เพื่อประกาศทวงคืนดินแดนของไทยในวันที่ 19 ก.ย.ด้วย แต่แกนนำในรัฐบาลและทหารได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับวิธีการทวงคืนดินแดนของนายวีระ แนวร่วมพันธมิตรฯ โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ยืนยันว่า ต้องการใช้วิธีเจรจากับกัมพูชาเกี่ยวกับพื้นที่ดังกล่าว เพราะไม่ต้องการให้มีการสู้รบหรือปะทะ จนเกิดความสูญเสีย ขณะที่นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ก็ยืนยันหลังเดินทางขึ้นไปยังวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ใกล้ปราสาทพระวิหาร เพื่อหารือกับ พล.อ.เจีย ดารา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกัมพูชาเมื่อวันที่ 13 ก.ย.ว่า ต้องยุติปัญหาด้วยการเจรจา ไม่ใช้อารมณ์เป็นตัวตั้ง พร้อมยืนยันว่า ทุกคนก็รักชาติด้วยกันทั้งนั้น แต่อย่าคลั่งชาติแล้วประณามคนอื่น “หากมีสันติภาพมันมีแต่ได้กับได้ แต่นี่ทำให้เกลียดชังกัน และพอมีปัญหาขึ้นก็ไม่ใช่ไม่ชี้แจง นี่พยายามชี้แจงแต่ก็ต้องมีความเข้าอกเข้าใจด้วย ไม่ใช่ยืนกระต่ายขาเดียวแล้วบอกว่า ฉันถูก ที่เหลือผิดหมด ที่เหลือนั้นเลวและไม่รักชาติ คนที่มีเหตุมีผลมีสติปัญญาพูดอย่างนั้นได้อย่างไร รักชาตินั้นมันก็รักกันทุกคน แต่ไม่มีสิทธิจะไปคลั่งชาติ แล้วประณามคนอื่น”
ด้าน พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 เผยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ห่วงการชุมนุมของกลุ่มมวลชนที่จะเดินเท้าขึ้นไปยังบริเวณปราสาทพระวิหาร เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นพื้นที่อันตราย บางพื้นที่ยังมีกับระเบิดที่มีการฝังไว้และยังไม่ได้มีการเก็บกู้ หากประชาชนขึ้นไปประท้วงอาจได้รับอันตราย และว่า รัฐบาลและกองทัพไทยพยายามหาทางแก้ไขเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนอยู่ ถ้ามวลชนยังดื้อจะขึ้นไปให้ได้เกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย รวมทั้งอาจกระทบเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
ขณะที่นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวถึงปัญหาพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม.ซึ่งเป็นดินแดนของไทยว่า “รัฐบาลต้องทำให้กัมพูชาเห็นว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นที่ของไทย เพียงแต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีชาวบ้านกลุ่มนี้เข้ามาทำมาหากินและไม่ถูกต้องอย่างไร ...เรามีนักกฎหมาย นักการต่างประเทศและมีคนกลางเก่งๆ มากในประเทศไทยที่จะออกมาช่วยรัฐบาลทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ ดังนั้นไม่ควรนิ่งเฉย หรือให้เป็นไปตามบุญตามกรรม”
ด้าน รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม นักวิชาการและนักประวัติศาสตร์ พูดถึงกรณีที่แนวร่วมพันธมิตรฯ ทวงคืนดินแดน 4.6 ตร.กม.ว่า ถูกต้องแล้ว ต้องไปประชิดถึงแนวชายแดนไทย-เขมร แต่สิ่งที่น่าห่วงคือ กับระเบิด รศ.ศรีศักร ยังบอกด้วยว่า บทสรุปที่สื่อและรัฐบาลควรทำก็คือ ทิ้งปราสาทพระวิหาร และเอาดินแดน 4.6 ตร.กม.กลับคืนมา อย่าเสียค่าโง่อีก และว่า เสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์คิดเป็น แต่ทำไม่เป็น
ด้านเครือข่ายประชาชน 4 ภาค และเครือข่ายสภาประชาชนภาคอีสาน 19 จังหวัด ได้เชิญชวนให้ประชาชนออกมาร่วมทวงคืนพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารในวันที่ 19 ก.ย. ขณะที่พันธมิตรฯ จากจังหวัดต่างๆ เช่น สงขลา ก็ทยอยเดินทางมาร่วมภารกิจนี้เช่นกัน
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า ทางการกัมพูชาได้ส่งกำลังตำรวจปราบจลาจลประมาณ 50 นาย พร้อมกระบองและแก๊สน้ำตา รวมทั้งสุนัขตำรวจ ไปประจำการบริเวณพื้นที่เขาพระวิหาร เพื่อเตรียมรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมชาวไทย โดย พล.ท.ชุม โสเชต โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา บอกว่า เป็นการป้องกันไว้ล่วงหน้าไม่ให้กลุ่มเสื้อเหลืองผู้ประท้วงล่วงล้ำข้ามแดนเข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชาอย่างผิดกฎหมาย “เราจะสั่งการให้กองกำลังของเราป้องกันไม่ให้พวกเขาข้ามแดนเข้ามา เราไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือดขึ้น แต่ถ้าหากพวกเขายังไม่ฟังเรา ก็คงจำเป็นต้องใช้มาตรการเพื่อการป้องกัน”
ทั้งนี้ เมื่อถึงวันนัดทวงคืนดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม.วันที่ 19 ก.ย. นายวีระ สมความคิด ได้นำแนวร่วมพันธมิตรฯ มุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อถึงหน้าโรงเรียนภูมิซรอล ได้เจอตำรวจตั้งด่านสกัดประมาณ 2,000 นาย โดยไม่ยอมให้พันธมิตรฯ เข้าไปยังพื้นที่เป้าหมาย เป็นที่น่าสังเกตว่า ห่างจากจุดสกัดประมาณ 100 เมตร มีชาวบ้านภูมิซรอลหลายร้อยคนชุมนุมต่อต้านไม่ให้พันธมิตรฯ ผ่านเข้าไปเช่นกัน และแม้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นายระพี ผ่องบุพกิจ จะเข้าเจรจากับชาวบ้านภูมิซรอลขอให้เปิดทางให้พันธมิตรฯ ผ่านเข้าไป โดยพันธมิตรฯ จะส่งเพียงตัวแทนขึ้นไปบนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารเท่านั้น แต่ชาวบ้านภูมิซรอลก็ไม่ยอม ขณะที่พันธมิตรฯ ยืนยันภารกิจต้องการเข้าไปประกาศเจตนารมณ์ทวงคืนดินแดนไทย 4.6 ตร.กม.จึงพยายามดันเจ้าหน้าที่เพื่อให้เปิดทาง ด้านชาวบ้านภูมิซรอลไม่พอใจ เปิดฉากใช้อาวุธทั้งไม้ กระบอง ก้อนหิน และหนังสติ๊กยิงถล่มใส่พันธมิตรฯ จนเกิดการชุลมุนและตอบโต้กันไปมา ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บหลายราย ขณะที่ช่างภาพ ASTVผู้จัดการรายวัน ซึ่งติดตามทำข่าว ก็ถูกชาวบ้านภูมิซรอลยิงหนังสติ๊กเข้าใส่จนคางแตก ต้องเย็บถึง 5 เข็ม
ต่อมา พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอยู่ระหว่างบินตรวจการณ์บริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ได้เจรจากับนายวีระ สมความคิด และทางผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ หลังหารือ นายวีระ เผยว่า “ทหารไม่ยอมให้พันธมิตรฯ ขึ้นไปค้างบนอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร โดยอ้างว่าเป็นเขตประกาศกฎอัยการศึก ดังนั้นเมื่อเราเป็นประชาชนคนไทย จึงควรเคารพกฎหมาย การที่พวกเราเดินทางมาได้ถึงขนาดนี้ถือว่าชนะแล้ว” อย่างไรก็ตาม นายวีระ บอกว่า ตัวแทนพันธมิตรฯ ส่วนหนึ่งจะขึ้นไปอ่านคำประกาศเจตนารมณ์ทวงคืนดินแดน 4.6 ตร.กม.บนเขาพระวิหารในวันที่ 20 ก.ย.
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ยืนยันว่า ได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว หากผู้ชุมนุมจะขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดงในวันที่ 20 ก.ย. ก็อยากให้เป็นระเบียบ โดยเจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกให้ ซึ่งตนได้กำชับให้ตำรวจช่วยดูแล ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด 20 ก.ย.นายวีระ พร้อมตัวแทนเครือข่ายประชาชนผู้รักชาติและสื่อมวลชนกว่า 30 คน ได้ขึ้นไปยังผามออีแดง และอ่านแถลงการณ์ทวงคืนดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร 4.6 ตร.กม. “ขอยืนยันพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร อยู่ในเขตประเทศไทย ตามหลักปักปันเขตแดนที่ประเทศฝรั่งเศสได้ร่างขึ้น ขอประท้วงรัฐบาลกัมพูชาที่เอาประชาชนและทหารเข้ามาในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร และขอให้นำประชาชนและทหารกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว” นายวีระ บอกด้วยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ต้องผลักดันประชาชนและทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ทันที โดยเครือข่ายประชาชนผู้รักชาติจะให้เวลาสักระยะหนึ่ง หากเพิกเฉย เครือข่ายประชาชนผู้รักชาติจะดำเนินการตามกฎหมายและมีมาตรการตอบโต้ต่อไป
4. “อภิสิทธิ์”เลื่อนตั้ง “ผบ.ตร.”อีก – สะพัด “สัญญาณพิเศษ”แรง – “ธานี”เปลี่ยนใจ!
ความคืบหน้าปัญหาการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)คนใหม่แทน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ หลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ เสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ ให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ(ก.ต.ช.)เมื่อวันที่ 20 ส.ค.เห็นชอบ แต่ที่ประชุมมีมติ 5 ต่อ 4 ไม่เห็นด้วยกับที่นายกฯ เสนอ แต่สนับสนุนให้ พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ตามที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ และนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ได้ล็อบบี้ไว้ ขณะที่นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีมหาดไทยจากพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็น 1 ใน ก.ต.ช.ก็หนุน พล.ต.อ.จุมพลตามที่นายสุเทพและนายนิพนธ์ล็อบบี้ ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์สั่งเลื่อนการประชุม ก.ต.ช.เพื่อตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ออกไปโดยไม่มีกำหนดนั้น ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ย.นายอภิสิทธิ์ บอกว่า กำลังดูเวลาที่เหมาะสมเพื่อนัดประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ และว่า พล.ต.ต.สุเทพ ธรรมรักษ์ ก.ต.ช.ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ลาออกจากตำแหน่ง แต่ไม่จำเป็นต้องรอแต่งตั้ง ก.ต.ช.คนใหม่ ก็สามารถประชุมได้ เพราะไม่มีปัญหาเรื่ององค์ประชุม ส่วนสาเหตุที่ พล.ต.ต.สุเทพ ซึ่งเป็น 1 ใน ก.ต.ช.ที่โหวตสวนนายกฯ คือไม่หนุน พล.ต.อ.ปทีปเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ตัดสินใจลาออกนั้น นายอภิสิทธิ์ บอกว่า พล.ต.ต.สุเทพให้เหตุผลว่า ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อย
ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ได้นัดประชุม ก.ต.ช.เพื่อเลือก ก.ต.ช.แทน พล.ต.ต.สุเทพในวันที่ 15 ก.ย. โดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ 6 เสียง ให้ พล.ต.อ.ธวัชชัย ภัยลี้ อดีตรอง ผบ.ตร.เป็น ก.ต.ช.ผู้ทรงคุณวุฒิคนใหม่ แต่ พล.ต.อ.ธวัชชัยจะยังไม่มีสิทธิเข้าร่วมประชุม ก.ต.ช.จนกว่าจะได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ได้นัดประชุม ก.ต.ช.เพื่อตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ในวันที่ 16 ก.ย.
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกำหนด นายอภิสิทธิ์และกรรมการ ก.ต.ช.ได้แถลงข่าวหลังประชุมร่วมกันเพียง 30 นาทีว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้เลื่อนการลงมติแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ออกไปโดยไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีความเป็นเอกภาพ และสามารถสรุปคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งได้ และว่า ระหว่างนี้จะมอบหมายให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร.ไปก่อน และถ้าเกินวันที่ 30 ก.ย.(พล.ต.อ.ธานีจะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย.) ก็จะแต่งตั้งรักษาราชการแทนต่อไป นายอภิสิทธิ์ บอกด้วยว่า ไม่เสียใจที่การแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ยากลำบาก แต่เสียใจที่ขณะนี้มีการนำเรื่องนี้ไปวิพากษ์วิจารณ์ในทางที่ทำให้เกิดความขัดแย้งและเกิดความเสียหาย ซึ่งหลายครั้งการวิพากษ์วิจารณ์ ข้อมูลไม่ตรงความจริง พร้อมยืนยัน ทุกสิ่งที่ตนทำอยู่บนผลประโยชน์ส่วนรวม
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ก่อนประชุม ก.ต.ช. มี ก.ต.ช.คนหนึ่งซึ่งหนุน พล.ต.อ.ปทีปเป็น ผบ.ตร. ได้หารือกับนายอภิสิทธิ์ถึงข่าวลือเรื่องสัญญาณพิเศษเกี่ยวกับการสนับสนุนใครบางคนให้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ซึ่ง ก.ต.ช.หลายคนได้ยินได้ฟังมาคล้ายๆ กัน นายอภิสิทธิ์จึงรับปากว่าจะไปค้นหาความจริง จึงตัดสินใจเลื่อนประชุมออกไปก่อน
อย่างไรก็ตาม มีข่าวออกมา 2 กระแส ด้านหนึ่งบอกว่า หากที่ประชุม ก.ต.ช.เมื่อวันที่ 16 ก.ย.เดินหน้าลงมติตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ นายกฯ จะชนะแน่นอน โดยจะมีเสียงหนุน พล.ต.อ.ปทีป 5 ต่อ 4 เสียง โดยที่นายกฯ ไม่ต้องโหวตด้วย แต่นายกฯ ไม่ได้ต้องการชัยชนะ แต่อยากได้ความเข้าใจจากกรรมการ ก.ต.ช.มากกว่า นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า ก่อนประชุม ก.ต.ช.ในวันดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ได้เข้าหารือกับนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งนายชวนพร้อมสนับสนุนการตัดสินใจของนายอภิสิทธิ์ โดยนายอภิสิทธิ์ยืนยันจะเสนอชื่อ พล.ต.อ.ปทีป เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ไม่ว่าจะนัดประชุมกี่ครั้งก็ตาม เพราะไม่ต้องการเลือกคนที่เป็นเพื่อนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.จุมพล ,พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ ,พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รอง ผบ.ตร. เพราะไม่มั่นใจว่าจะช่วยเหลือเรื่องคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
ส่วนข่าวอีกกระแสหนึ่งบอกว่า เหตุที่ที่ประชุม ก.ต.ช.วันดังกล่าวไม่ลงมติตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ เพราะ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาราชการแทน ผบ.ตร.เกิดเปลี่ยนขั้ว ไม่หนุน พล.ต.อ.ปทีป แต่หันไปหนุน พล.ต.อ.จุมพล เป็น ผบ.ตร.แทน ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.และ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ก็ออกมาสำทับเรื่องนี้เช่นกัน โดยบอกว่า คนเสื้อแดงรู้ตั้งแต่ก่อนประชุม ก.ต.ช.แล้วว่า พล.ต.อ.ธานีเปลี่ยนใจ โดยจะโหวตให้กับ พล.ต.อ.จุมพล ทำให้ต้องเลื่อนการประชุมออกไป นายจตุพร ยังท้านายอภิสิทธิ์ด้วยว่า “หากนายอภิสิทธิ์แน่จริง และยังมั่นใจว่า พล.ต.อ.ธานียังสนับสนุน พล.ต.อ.ปทีป ขอให้แสดงความกล้าหาญด้วยการเอา พล.ต.อ.ธานี พร้อม ก.ต.ช.คนอื่นๆ มาแถลงข่าวสนับสนุนคนของตัวเองเลย เพราะไม่มียุคไหนที่นายกฯ จะต้องทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อ ผบ.ตร.ที่ตัวเองต้องการขนาดนี้มาก่อน และไม่เคยมีนายกฯ คนไหนย่อยยับได้ขนาดนี้”
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พูดถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์เลื่อนการประชุม ก.ต.ช.เพื่อตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ออกไปโดยไม่มีกำหนดว่า ตนมองว่านายกฯ ตัดสินใจได้ดี เมื่อเห็นว่าเรื่องดังกล่าวจะทำให้มีคนวิพากษ์วิจารณ์แปลสถานการณ์ไปในทางที่เป็นลบหรือผิด แล้วตัดสินใจเลื่อนออกไป ถือเป็นผู้นำที่ดี เพราะผู้นำที่ดี เมื่อรู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร จะต้องปรับปรุงแก้ไขยุทธวิธีในการปฏิบัติ
5. “พจมาน” เบิกความคดียึดทรัพย์ฯ ยัน ขายหุ้นให้ลูกจริง ด้าน “พิณทองทา”อ้าง แม่ให้ของขวัญวันเกิด 370 ล้านซื้อหุ้น!
เมื่อวันที่ 15 ก.ย. คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร (ชินวัตร) อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดีจำคุก 2 ปี ได้ขึ้นเบิกความคดีที่อัยการสูงสุดฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ให้ยึดทรัพย์สินจำนวน 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัว ตกเป็นของแผ่นดิน เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณมีพฤติกรรมร่ำรวยผิดปกติ จากการใช้อำนาจหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่งนายกฯ เอื้อประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ทั้งนี้ คุณหญิงพจมาน ในฐานะผู้ร้องคัดค้านที่ 1 ในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน เบิกความยืนยันว่า ได้ขายหุ้นให้ลูกๆ และพี่ชายบุญธรรมมานานแล้ว โดยขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป หุ้นบริษัท ชินแซทเทลไลท์ มูลค่า 37 ล้านบาท ,หุ้นบรรษัทเงินอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ไอเอฟซีที) มูลค่า 94 ล้านบาท และหุ้นธนาคารทหารไทย มูลค่า 5,056 ล้านบาท ให้แก่นายพานทองแท้ บุตรชาย เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2543 โดยนายพานทองแท้ผ่อนชำระเรื่อยมากระทั่งชำระครบเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2549
นอกจากนี้ ยังได้ขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปมูลค่า 450 ล้านบาท ให้แก่นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายบุญธรรม โดยนายบรรณพจน์ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน 3 ฉบับให้ไว้เป็นประกัน ซึ่งนายบรรณพจน์ผ่อนชำระตั้งแต่ปี 2546 และชำระครบในปี 2547 คุณหญิงพจมาน ยืนยันด้วยว่า การซื้อขายหุ้นดังกล่าวมีการซื้อขายและชำระเงินกันจริง ส่วนที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)กล่าวหาว่า ตั๋วสัญญาใช้เงินที่นายบรรณพจน์ออกให้ เป็นการทำขึ้นในภายหลังนั้น คุณหญิงพจมาน อ้างว่า ไม่จริง โดยยืนยันว่า นายบรรณพจน์ออกตั๋วสัญญาให้ตั้งแต่มีการซื้อขายหุ้น แต่ตั๋วใบเดิมหายไป จึงออกตั๋วสัญญาฉบับใหม่ให้แทน ไม่ได้เป็นการอำพรางการซื้อขายแต่อย่างใด คุณหญิงพจมาน ยังเบิกความกรณีที่ คตส.กล่าวหาว่าตนและ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของบริษัท วินมาร์คด้วยว่า ไม่จริง โดยบอกว่า เจ้าของบริษัทดังกล่าวก็คือ นายมามุส โมฮัมหมัด อัล อันซาลี มหาเศรษฐีชาวตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นเพื่อนนักธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมาขอซื้อหุ้นจากตนและ พ.ต.ท.ทักษิณมูลค่า 650 ล้านบาท ซึ่งขายให้ในราคาพาร์ และไม่ทราบว่า บริษัท วินมาร์คถือครองหุ้นอยู่นานเท่าใดก่อนจะขายหุ้นต่อให้ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาว ส่วนหุ้นชินคอร์ปที่ขายให้บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ 32.9 ล้านหุ้นนั้น คุณหญิงพจมาน บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ขายหุ้นดังกล่าวเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.2542 ส่วนเมื่อได้เงินมาแล้วเข้าบัญชีตนนั้น เนื่องจากเป็นเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณยืมตนไป
ด้าน น.ส.พิณทองทา ชินวัตร ในฐานะผู้ร้องคัดค้านการยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ได้ขึ้นเบิกความต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 17 ก.ย. โดยเบิกความว่า ตนมีทรัพย์สินซึ่งถูกอายัดในคดีนี้กว่า 2.3 หมื่นล้านบาท และว่า ตนซื้อหุ้นบริษัท ชินคอร์ป มาจากนายพานทองแท้ พี่ชาย รวม 2 ครั้ง ครั้งแรก(9 ก.ย.2545) 367 ล้านบาท ครั้งที่สอง(3 มิ.ย.2546) 110 ล้านบาท ส่วนเงินที่นำมาซื้อหุ้นนั้น น.ส.พิณทองทา บอกว่า เป็นเงินที่คุณหญิงพจมาน มารดาให้เป็นของขวัญวันเกิดครบรอบ 20 ปี เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2545 จำนวน 370 ล้านบาท และว่า เงินของขวัญที่บุพการีมอบให้ ไม่ต้องเสียภาษี ส่วนเหตุที่นำเงินไปซื้อหุ้น เนื่องจากมารดาอยากให้นำเงินไปลงทุนทำธุรกิจ สำหรับหุ้นชินคอร์ปที่บริษัท แอมเพิลริช ถืออยู่ 164.6 ล้านหุ้นนั้น น.ส.พิณทองทา บอกว่า ตนและนายพานทองแท้ พี่ชาย เป็นผู้ขายให้เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2549 ก่อนจะขายต่อให้เทมาเส็กของสิงคโปร์เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2549 ส่วนเหตุที่ไม่ขายหุ้นชินคอร์ปตรงให้เทมาเส็ก แต่กลับโอนให้แอมเพิลริชก่อนนั้น น.ส.พิณทองทา บอกว่า เพราะต้องการให้เงินซื้อขายทั้งหมดยังอยู่ในประเทศไทย
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทวิตผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ถึงกรณีที่ น.ส.พิณทองทาขึ้นเบิกความในคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านว่า “คอร์รัปชั่นแปลว่าเอาเงินรัฐมาใส่กระเป๋าตัว แต่นี่เป็นเงินครอบครัวที่แสดงบัญชีว่ามีมาก่อนเป็นนายกฯ แล้วรัฐฟ้องเพื่อเอาเข้ารัฐ?” พ.ต.ท.ทักษิณ ยังบอกอีกว่า “บุญบาป เหมือนสึนามิ มาเร็วไปเร็ว ผมได้ใช้วิบากกรรมชาติที่แล้วหมดแล้ว สึนามิกำลังจะกลับทะเล เพื่อทะเลจะกลับมาสวยงามกว่าเดิม”