ศูนย์ข่าวหาดใหญ่.....รายงาน
แม้ห้วงเวลานี้ “ฝ่ายบริหารการรถไฟฯ” จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเหมือนชนะในสนามศึกที่มีต่อ “สหภาพฯ รถไฟหาดใหญ่” อันเป็นแนวรบที่เกิดขึ้นในด้านใต้ที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนานถึง 14 วันมาแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต้องไม่ลืมว่าภาคประชาชนมีความรู้และเข้าใจต่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะภายหลังที่เกิดองค์กรภาคประชาชนอย่าง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ขึ้นมา และมีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วประเทศ
ดังนี้แล้วเมื่อประชาชนในนามเครือข่าย “พันธมิตรฯสงขลา” ลุกขึ้นหนุนเนื่องการต่อสู้ของ “สหภาพฯรถไฟหาดใหญ่” ชัยชนะที่ฝ่ายบริหารการรถไฟฯพยายามสร้างภาพว่ามีเหนือดังกล่าวนั้น สังคมคงจะต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไปว่า แท้จริงแล้วศึกภายในการรถไฟฯ ครั้งนี้จะคลี่คลายลงไปในรูปแบบใด
แน่นอนเวลานี้ฝ่ายบริหารหารรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก็ประสบความสำเร็จในการ “เล่นเกมสร้างภาพ” เอาชนะสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) สาขาหาดใหญ่ หลังจากต่างฝ่ายต่างเปิดศึกเคลื่อนไหวเผชิญหน้าติดต่อกันมานานถึง 13 วันและมีเหตุให้ต้องหยุดเดินรถไฟไปหลายขบวน โดยเฉพาะหยุดสนิทในเส้นทางสู่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ ฝ่ายบริหาร รฟท.สามารถผลักดันให้เปิดเดินรถไฟท้องถิ่นขบวนแรกสู่ชายแดนใต้ได้สำเร็จไปแล้ว เมื่อเวลา 08.30 น.วานนี้ (28 ต.ค.) โดยจัดเป็นขบวนรถพิเศษที่ 463 เส้นทางหาดใหญ่ - สุไหงโก-ลก ซึ่งทั้ง 8 โบกี้เนื่องแน่นไปด้วยผู้โดยสารที่ถูกจัดฉากไว้อย่างเป็นระบบ โดยให้ถ่ายเทมาจากขบวนรถไฟเที่ยวล่องจากกรุงเทพฯ สู่ชายแดนใต้รวม 2 ขบวนที่เพิ่งเดินทางไปถึงสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ช่วงเช้าวันเดียวกัน อันเป็นเวลาก่อนที่รถไฟขบวนท้องถิ่นพิเศษนี้จะล้อหมุนเพียงไม่นาน
ขณะเดียวกันความสำเร็จของฝ่ายบริหาร รฟท.ในครั้งนี้ก็เกิดจากการพยายามสร้างภาพให้ดูยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน เพราะถึงขั้นมีการระดมกำลังตำรวจรถไฟ รวมถึงประสานขอความช่วยเหลือไปยังหลายสถานีตำรวจภูธรและกองกำลัง อส.ในพื้นที่ ทำให้ในช่วงที่จะมีการปล่อยขบวนรถท้องถิ่นเที่ยวพิเศษดังกล่าว บริเวณสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่มีกองกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมอาวุธครบมือกระจายอยู่ทั่วกว่า 200 นาย
อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ยังมีการระดมพนักงานขับรถไฟและช่างเครื่องจากส่วนกลาง พร้อมด้วยนักเรียนวิศวกรรมรถไฟรวมแล้วประมาณ 70 ชีวิต ซึ่งขนลงมาเพื่อให้มาทำหน้าที่แทนพนักงานในพื้นที่และส่ง นายวิโรจน์ เตรียมพงษ์พันธุ์ รองผู้ว่าฯ รฟท.กับ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ศิริภักดี ผบก.ตำรวจรถไฟลงไปบัญชาการด้วยตัวเอง
ความจริงแล้วกลเกมเอาชนะด้วยการสร้างภาพเพื่อต้องการให้ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ตกเป็นจำเลยของสังคมทวีความเข้มข้นขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์นี้มาแล้ว
โดยฝ่ายบริหาร รฟท.คิดได้แค่เพียงว่า หากสามารถผลักดันให้เปิดเดินรถไฟสู่พื้นที่ชายแดนใต้ได้ ประชาชนก็จะหันมาสนับสนุนฝ่ายตน โดยไม่คำนึงถึงความสุ่มเสี่ยงในปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันเนื่องมาจากความไม่พร้อมสมบูรณ์ของหัวรถจักรและอุปกรณ์อื่นๆ รวมถึงความพร้อมในการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ความไม่สงบของแผ่นดินชายแดนใต้ที่ขบวนรถไฟจะต้องเดินทางเข้าไป ซึ่งในเรื่องนี้ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่หยิบยกมาเป็นเขื่องไขหลักของการเคลื่อนไหว
ปฏิบัติการสร้างภาพด้วยการเปิดเดินขบวนรถไฟสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเอาชนะในกลเกมการต่อสู้มีเกิดขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องกึกก้องของเจ้าหน้าที่รถไฟและประชาชนในพื้นที่ที่มาให้กำลังใจ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่
ครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.วันที่ 26 ต.ค.โดยฝ่ายบริหาร รฟท.ได้สั่งให้พนักงานขับรถไฟและช่างเครื่องที่ส่งมาจากส่วนกลาง พร้อมด้วยตำรวจรถไฟจำนวนมาก ทำการเข้ายึดรถไฟท้องถิ่นขบวนที่ 175 แล้วเคลื่อนขบวนออกจากสถานีชุมทางหาดใหญ่แบบไร้เงาผู้โดยสารแม้แต่คนเดียว มุ่งหน้าสู่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไปไม่ถึงสถานีสุไหงโก-ลก โดยไปเลี้ยวหัวกลับแค่เพียงที่สถานีปัตตานี แล้วย้อนกลับมาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ในช่วงค่ำของวันนั้น
ครั้งที่สองเกิดขึ้นในวันถัดมาคือเวลาประมาณ 10.30 น.วันที่ 27 ต.ค.โดยเป็นคำสั่งของฝ่ายบริหาร รฟท.อีกเช่นเคย สั่งให้พนักงานขับรถไฟและช่างเครื่องที่ส่งมาจากส่วนกลาง พร้อมด้วยตำรวจรถไฟชุดเดิม ยึดรถไฟท้องถิ่นขบวนที่ 463 เส้นทางพังลุง – สุไหงโก-ลก แล้วให้ขับเคลื่อนออกจากสถานีชุมทางหาดใหญ่ เป้าหมายอยู่ที่พื้นที่ใน 3 จังหวัดชานแดนภาคใต้ แต่ปรากฏว่าขณะรถไฟขบวนนี้เคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วได้เพียงประมาณ 300 เมตรก็มีอันต้องเบรกกะทันหัน เมื่อขบวนรถไฟหยุดนี้ก็ถูกห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่รถไฟและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ สร้างความโกลาหลตามมานานนับชั่วโมงก่อนที่จะกลับสู่ความสงบ
ทั้งนี้ ก็เนื่องจากพนักงานขับรถไฟชุดที่ส่งมาจากส่วนกลางไม่มีความชำนาญเส้นทางในพื้นที่ แต่กลับพยายามจะดันทุรังช่วยฝ่ายบริหาร รฟท.สร้างภาพนำขบวนรถฝ่าอุปสรรคต่างๆ มุ่งสู่พื้นที่ชายแดนใต้ไปให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงความพร้อมของหัวรถจักรและอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะความไม่พร้อมของระบบเบรก อีกทั้งมีการฝ่าสัญญาณไฟแดง ซึ่งระบบการสับเปลี่ยนรางก็ยังไม่ได้เตรียมรองรับ
ทว่า ยังดีที่หยุดขบวนรถไฟดังกล่าวไว้เสียก่อน มิเช่นนั้นก็คงจะเกิดอุบัติเหตุรถไฟตกราง หรือไม่ก็เกิดเหตุชนกับรถไฟสายท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เส้นทางหาดใหญ่-ลังกาวีอย่างแน่นอน ซึ่งความสูญเสียก็อาจจะไม่ต่างจากกรณีอุบัติเหตุ ณ สถานีเขาเต่าใน จ.ประจวบคีรีขันธ์เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา อันเป็นต้นต่อของความขัดแย้งใน รฟท.ที่ดำเนินมาจนถึงวันนี้
ในส่วนของ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่เองที่ไม่เคยขัดขวางปฏิบัติการสร้างภาพให้เดินรถไฟสู่ชายแดนใต้ของฝ่ายบริหาร รฟท.มาตลอด เพียงแต่มีปฏิบัติการต่างๆ ก็เพื่อต้องการชี้ให้ฝ่ายบริหาร รฟท. กระทรวงคมนาคมและรัฐบาล ได้เห็นถึงความสำคัญของความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟเท่านั้น
วานนี้ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ก็ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 เรื่องสมาชิก สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่และพนักงานพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในกรณีรถจักร รถพ่วง ที่มีสภาพสมบูรณ์ทำขบวน ซึ่งได้เรียกร้องว่า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในการให้บริการประชาชนที่ใช้บริการในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทาง สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ เห็นควรให้มีการตั้งคณะกรรมการที่มีคนกลางลงมาตรวจสอบสภาพของรถจักร รถพ่วง ให้มีความพร้อมสมบูรณ์ก่อนนำออกไปทำขบวน โดยต้องใช้พนักงานรถจักรแขวงหาดใหญ่ปฏิบัติงานเท่านั้น และให้การรถไฟฯ ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างการรถไฟกับ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ในข้อตกลงที่การรถไฟฯ ยังไม่ได้ปฏิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม แม้วันนี้ฝุ่นควันแห่งการต่อสู่ของฝ่ายบริหาร รฟท.กับ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่จะเจือจางลงบ้างแล้ว โดยการประชุมร่วมของทั้ง 2 ฝ่ายวานนี้ได้ข้อสรุปว่า จะให้มีการเปิดเดินรถไฟท้องถิ่น โดยเฉพาะในเส้นทางสู่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ยังเป็นไปแบบไม่เต็มระบบ เพราะสามารถเดินรถได้บางขบวนที่มีความพร้อม อีกทั้งหัวรถจักรหุ้มเกราะก็ยังมีจำนวนจำกัด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 14 วันมาแล้วที่ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ปฏิบัติการเคลื่อนไหว ซึ่งมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้ใช้บริหารรถไฟ รวมถึงต้องการให้สังคมรับรู้ถึงความพิกลพิการในการบริหารจัดการในองค์กรของ รฟท.ที่มากมายไปด้วยผลประโยชน์ มีการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงของผู้มีอำนาจและนักการเมืองบางกลุ่ม แถมผู้ที่กุมบังเหียนบริหารชาติบ้านเมืองก็มักจะละเลยการแก้ปัญหา รวมถึงไม่ใส่ใจในการสนับสนุนให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะระบบการบริการประชาชนของการรถไฟฯ ที่ยังมากมายไปด้วยความไม่พร้อมนั้น
ในส่วนของพันธมิตรฯสงขลา ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่เคยร่วมต่อสู่กับ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ตลอดช่วงหลายปีมานี้ โดยเฉพาะในเหตุการณ์การต่อสู้กับระบอบทักษิณ 193 วันในปี 2551 ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ลุกขึ้นเคลื่อนไหวในหนนี้ พันธมิตรฯ สงขลาก็ได้เป็นกำลังใจและคอยให้การช่วยเหลือมาตลอด
ขณะเดียวกันในช่วงที่ฝ่ายบริหาร รฟท.เปิดฉากชน สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่อย่างหนักหน่วงช่วง 3-4 วันมานี้ พันธมิตรฯ สงขลาก็ออกโรงเปิดฉากระดมพี่น้องประชาชนผู้มีหัวใจเดียวกันร่วมเคลื่อนไหวสนับสนุน สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่แบบคู่ขนานไปด้วย
นับตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.ที่แล้วมา คณะทำงานพันธมิตรฯ สงขลาก็ได้รวบรวมพี่น้องประชาชนออกเดินรณรงค์ในตัวเมืองหาดใหญ่ พร้อมกับตั้งเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมต่อสู่กับ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ ที่ลานประวัติศาสตร์ หน้าสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ตั้งแต่บ่ายวันที่ 27 ต.ค. อีกทั้งมีการออกแถลงการณ์สนับสนุนอย่างเป็นทางการแจกจ่ายทั่วจังหวัดสงขลาไปแล้ว โดยมีข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ได้แก่
1. สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ ได้เสนอให้เร่งตรวจซ่อมรถจักรให้มีความสมบูรณ์ก่อนนำมาใช้บริการ เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนมาตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.45 แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายบริหารการรถไฟฯ
2. การเกิดอุบัติเหตุที่สถานีรถไฟเขาเต่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค.52 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 88 ราย เป็นเพราะรถจักรในขบวนดังกล่าวอุปกรณ์ควบคุมความปลอดภัยเตือนภัย (Vigilance) ชำรุดใช้การไม่ได้ ทั้งที่เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ขบวนรถจะไม่มีไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ใช่อุปกรณ์เสริมตามที่ผู้บริหารชี้แจง อันถือเป็นการกล่าวเท็จต่อหน้าสาธารณะ และปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความบกพร่องผิดพลาดในการบริหารจัดการของตนเอง แต่กลับโยนความผิดให้กับพนักงานขับรถและ สร.รฟท.
3. ฝ่ายบริหารการรถไฟฯ กล่าวโจมตีพนักงานขับรถว่า ลอยแพผู้โดยสารนับพันคนที่สถานีรถไฟละแม จ.ชุมพร ซึ่งต่อมา นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการฯรถไฟได้ออกมายอมรับว่าเป็นผู้สั่งการเอง การกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด และสร้างความเกลียดชังต่อพนักงานและ สร.รฟท.
4. ฝ่ายบริหารการรถไฟฯ พยายามทำให้สังคมมองว่า พนักงานและ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ ทำการยึดหัวรถจักรและต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ตนเองพ้นผิดจากการหยุดเดินรถนั้น ข้อเท็จจริงคือ หัวรถจักรใช้งานไม่ได้จริง พนักงานและ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถอย่างเคร่งครัด โดยยึดถือความปลอดภัยของประชาชน รวมถึงสมบัติของประเทศชาติเป็นสำคัญ
5. จากการพยายามของฝ่ายบริหารการถไฟฯ ที่พยายามให้เปิดการเดินรถโดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ใช้บริการ และไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหา แต่กลับกระทำเพื่อสนองอำนาจของตนและนักการเมืองที่บงการอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะการปกป้องความผิดพลาดในการบริหารงานที่ล้มเหลว
6. ขอให้คณะกรรมการรถไฟฯ กระทรวงคมนาคม และรัฐบาลมีความจริงใจในการปฏิรูปการรถไฟฯ ให้มีคุณภาพในการให้บริการประชาชน และเร่งดำเนินการกับผู้บริหารที่ทุจริตและใช้อำนาจโดยมิชอบ รวมถึงต้องหยุดแผนผลักดันให้แปรรูปการรถไฟฯ ทุกรูปแบบทันที เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนตกไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนและนักการเมืองชั่วช้า
ในท้ายของแถลงการณ์พันธมิตรฯสงขลาได้สำทับว่า ขอประกาศว่าจะเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมต่อสู้กับพนักงานการรถไฟฯ และ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ เพื่อนำความเป็นธรรมนำความถูกต้องกลับคืนสู่สังคมและขัดขวางการแปรรูปการรถไฟฯ ทุกรูปแบบ และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมรับฟังทุกความจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับปัญหาในการรถไฟฯ ณ ลานประวัติศาสตร์ หน้าสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ นับตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค.เป็นต้นมา
เช่นนี้แล้ว แนวรบด้านใต้ในสนามศึกของการรถไฟฯ ครั้งนี้ จึงเป็นที่ที่สังคมควรต้องจับตากันใกล้ชิดต่อไป !!
แม้ห้วงเวลานี้ “ฝ่ายบริหารการรถไฟฯ” จะสามารถสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเหมือนชนะในสนามศึกที่มีต่อ “สหภาพฯ รถไฟหาดใหญ่” อันเป็นแนวรบที่เกิดขึ้นในด้านใต้ที่ดำเนินต่อเนื่องยาวนานถึง 14 วันมาแล้ว แต่ในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นต้องไม่ลืมว่าภาคประชาชนมีความรู้และเข้าใจต่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองมากขึ้นกว่าแต่ก่อน โดยเฉพาะภายหลังที่เกิดองค์กรภาคประชาชนอย่าง “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ขึ้นมา และมีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วประเทศ
ดังนี้แล้วเมื่อประชาชนในนามเครือข่าย “พันธมิตรฯสงขลา” ลุกขึ้นหนุนเนื่องการต่อสู้ของ “สหภาพฯรถไฟหาดใหญ่” ชัยชนะที่ฝ่ายบริหารการรถไฟฯพยายามสร้างภาพว่ามีเหนือดังกล่าวนั้น สังคมคงจะต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดต่อไปว่า แท้จริงแล้วศึกภายในการรถไฟฯ ครั้งนี้จะคลี่คลายลงไปในรูปแบบใด
แน่นอนเวลานี้ฝ่ายบริหารหารรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ก็ประสบความสำเร็จในการ “เล่นเกมสร้างภาพ” เอาชนะสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) สาขาหาดใหญ่ หลังจากต่างฝ่ายต่างเปิดศึกเคลื่อนไหวเผชิญหน้าติดต่อกันมานานถึง 13 วันและมีเหตุให้ต้องหยุดเดินรถไฟไปหลายขบวน โดยเฉพาะหยุดสนิทในเส้นทางสู่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ ฝ่ายบริหาร รฟท.สามารถผลักดันให้เปิดเดินรถไฟท้องถิ่นขบวนแรกสู่ชายแดนใต้ได้สำเร็จไปแล้ว เมื่อเวลา 08.30 น.วานนี้ (28 ต.ค.) โดยจัดเป็นขบวนรถพิเศษที่ 463 เส้นทางหาดใหญ่ - สุไหงโก-ลก ซึ่งทั้ง 8 โบกี้เนื่องแน่นไปด้วยผู้โดยสารที่ถูกจัดฉากไว้อย่างเป็นระบบ โดยให้ถ่ายเทมาจากขบวนรถไฟเที่ยวล่องจากกรุงเทพฯ สู่ชายแดนใต้รวม 2 ขบวนที่เพิ่งเดินทางไปถึงสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ช่วงเช้าวันเดียวกัน อันเป็นเวลาก่อนที่รถไฟขบวนท้องถิ่นพิเศษนี้จะล้อหมุนเพียงไม่นาน
ขณะเดียวกันความสำเร็จของฝ่ายบริหาร รฟท.ในครั้งนี้ก็เกิดจากการพยายามสร้างภาพให้ดูยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน เพราะถึงขั้นมีการระดมกำลังตำรวจรถไฟ รวมถึงประสานขอความช่วยเหลือไปยังหลายสถานีตำรวจภูธรและกองกำลัง อส.ในพื้นที่ ทำให้ในช่วงที่จะมีการปล่อยขบวนรถท้องถิ่นเที่ยวพิเศษดังกล่าว บริเวณสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่มีกองกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมอาวุธครบมือกระจายอยู่ทั่วกว่า 200 นาย
อีกทั้งก่อนหน้านี้ก็ยังมีการระดมพนักงานขับรถไฟและช่างเครื่องจากส่วนกลาง พร้อมด้วยนักเรียนวิศวกรรมรถไฟรวมแล้วประมาณ 70 ชีวิต ซึ่งขนลงมาเพื่อให้มาทำหน้าที่แทนพนักงานในพื้นที่และส่ง นายวิโรจน์ เตรียมพงษ์พันธุ์ รองผู้ว่าฯ รฟท.กับ พล.ต.ต.สุรพงษ์ ศิริภักดี ผบก.ตำรวจรถไฟลงไปบัญชาการด้วยตัวเอง
ความจริงแล้วกลเกมเอาชนะด้วยการสร้างภาพเพื่อต้องการให้ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ตกเป็นจำเลยของสังคมทวีความเข้มข้นขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์นี้มาแล้ว
โดยฝ่ายบริหาร รฟท.คิดได้แค่เพียงว่า หากสามารถผลักดันให้เปิดเดินรถไฟสู่พื้นที่ชายแดนใต้ได้ ประชาชนก็จะหันมาสนับสนุนฝ่ายตน โดยไม่คำนึงถึงความสุ่มเสี่ยงในปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อันเนื่องมาจากความไม่พร้อมสมบูรณ์ของหัวรถจักรและอุปกรณ์อื่นๆ รวมถึงความพร้อมในการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ความไม่สงบของแผ่นดินชายแดนใต้ที่ขบวนรถไฟจะต้องเดินทางเข้าไป ซึ่งในเรื่องนี้ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่หยิบยกมาเป็นเขื่องไขหลักของการเคลื่อนไหว
ปฏิบัติการสร้างภาพด้วยการเปิดเดินขบวนรถไฟสู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเอาชนะในกลเกมการต่อสู้มีเกิดขึ้นมาแล้วถึง 2 ครั้ง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องกึกก้องของเจ้าหน้าที่รถไฟและประชาชนในพื้นที่ที่มาให้กำลังใจ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่
ครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น.วันที่ 26 ต.ค.โดยฝ่ายบริหาร รฟท.ได้สั่งให้พนักงานขับรถไฟและช่างเครื่องที่ส่งมาจากส่วนกลาง พร้อมด้วยตำรวจรถไฟจำนวนมาก ทำการเข้ายึดรถไฟท้องถิ่นขบวนที่ 175 แล้วเคลื่อนขบวนออกจากสถานีชุมทางหาดใหญ่แบบไร้เงาผู้โดยสารแม้แต่คนเดียว มุ่งหน้าสู่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไปไม่ถึงสถานีสุไหงโก-ลก โดยไปเลี้ยวหัวกลับแค่เพียงที่สถานีปัตตานี แล้วย้อนกลับมาถึงสถานีชุมทางหาดใหญ่ในช่วงค่ำของวันนั้น
ครั้งที่สองเกิดขึ้นในวันถัดมาคือเวลาประมาณ 10.30 น.วันที่ 27 ต.ค.โดยเป็นคำสั่งของฝ่ายบริหาร รฟท.อีกเช่นเคย สั่งให้พนักงานขับรถไฟและช่างเครื่องที่ส่งมาจากส่วนกลาง พร้อมด้วยตำรวจรถไฟชุดเดิม ยึดรถไฟท้องถิ่นขบวนที่ 463 เส้นทางพังลุง – สุไหงโก-ลก แล้วให้ขับเคลื่อนออกจากสถานีชุมทางหาดใหญ่ เป้าหมายอยู่ที่พื้นที่ใน 3 จังหวัดชานแดนภาคใต้ แต่ปรากฏว่าขณะรถไฟขบวนนี้เคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วได้เพียงประมาณ 300 เมตรก็มีอันต้องเบรกกะทันหัน เมื่อขบวนรถไฟหยุดนี้ก็ถูกห้อมล้อมด้วยเจ้าหน้าที่รถไฟและพี่น้องประชาชนในพื้นที่ สร้างความโกลาหลตามมานานนับชั่วโมงก่อนที่จะกลับสู่ความสงบ
ทั้งนี้ ก็เนื่องจากพนักงานขับรถไฟชุดที่ส่งมาจากส่วนกลางไม่มีความชำนาญเส้นทางในพื้นที่ แต่กลับพยายามจะดันทุรังช่วยฝ่ายบริหาร รฟท.สร้างภาพนำขบวนรถฝ่าอุปสรรคต่างๆ มุ่งสู่พื้นที่ชายแดนใต้ไปให้ได้ โดยไม่คำนึงถึงความพร้อมของหัวรถจักรและอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะความไม่พร้อมของระบบเบรก อีกทั้งมีการฝ่าสัญญาณไฟแดง ซึ่งระบบการสับเปลี่ยนรางก็ยังไม่ได้เตรียมรองรับ
ทว่า ยังดีที่หยุดขบวนรถไฟดังกล่าวไว้เสียก่อน มิเช่นนั้นก็คงจะเกิดอุบัติเหตุรถไฟตกราง หรือไม่ก็เกิดเหตุชนกับรถไฟสายท่องเที่ยวระหว่างประเทศ เส้นทางหาดใหญ่-ลังกาวีอย่างแน่นอน ซึ่งความสูญเสียก็อาจจะไม่ต่างจากกรณีอุบัติเหตุ ณ สถานีเขาเต่าใน จ.ประจวบคีรีขันธ์เมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา อันเป็นต้นต่อของความขัดแย้งใน รฟท.ที่ดำเนินมาจนถึงวันนี้
ในส่วนของ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่เองที่ไม่เคยขัดขวางปฏิบัติการสร้างภาพให้เดินรถไฟสู่ชายแดนใต้ของฝ่ายบริหาร รฟท.มาตลอด เพียงแต่มีปฏิบัติการต่างๆ ก็เพื่อต้องการชี้ให้ฝ่ายบริหาร รฟท. กระทรวงคมนาคมและรัฐบาล ได้เห็นถึงความสำคัญของความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟเท่านั้น
วานนี้ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ก็ได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 เรื่องสมาชิก สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่และพนักงานพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในกรณีรถจักร รถพ่วง ที่มีสภาพสมบูรณ์ทำขบวน ซึ่งได้เรียกร้องว่า เพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุดในการให้บริการประชาชนที่ใช้บริการในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทาง สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ เห็นควรให้มีการตั้งคณะกรรมการที่มีคนกลางลงมาตรวจสอบสภาพของรถจักร รถพ่วง ให้มีความพร้อมสมบูรณ์ก่อนนำออกไปทำขบวน โดยต้องใช้พนักงานรถจักรแขวงหาดใหญ่ปฏิบัติงานเท่านั้น และให้การรถไฟฯ ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างการรถไฟกับ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ในข้อตกลงที่การรถไฟฯ ยังไม่ได้ปฏิบัติ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
อย่างไรก็ตาม แม้วันนี้ฝุ่นควันแห่งการต่อสู่ของฝ่ายบริหาร รฟท.กับ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่จะเจือจางลงบ้างแล้ว โดยการประชุมร่วมของทั้ง 2 ฝ่ายวานนี้ได้ข้อสรุปว่า จะให้มีการเปิดเดินรถไฟท้องถิ่น โดยเฉพาะในเส้นทางสู่พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ก็ยังเป็นไปแบบไม่เต็มระบบ เพราะสามารถเดินรถได้บางขบวนที่มีความพร้อม อีกทั้งหัวรถจักรหุ้มเกราะก็ยังมีจำนวนจำกัด
เป็นที่น่าสังเกตว่า ตลอดระยะเวลาเกือบ 14 วันมาแล้วที่ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ปฏิบัติการเคลื่อนไหว ซึ่งมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนผู้ใช้บริหารรถไฟ รวมถึงต้องการให้สังคมรับรู้ถึงความพิกลพิการในการบริหารจัดการในองค์กรของ รฟท.ที่มากมายไปด้วยผลประโยชน์ มีการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงของผู้มีอำนาจและนักการเมืองบางกลุ่ม แถมผู้ที่กุมบังเหียนบริหารชาติบ้านเมืองก็มักจะละเลยการแก้ปัญหา รวมถึงไม่ใส่ใจในการสนับสนุนให้เกิดการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พัฒนาขึ้น โดยเฉพาะระบบการบริการประชาชนของการรถไฟฯ ที่ยังมากมายไปด้วยความไม่พร้อมนั้น
ในส่วนของพันธมิตรฯสงขลา ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ที่เคยร่วมต่อสู่กับ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ตลอดช่วงหลายปีมานี้ โดยเฉพาะในเหตุการณ์การต่อสู้กับระบอบทักษิณ 193 วันในปี 2551 ที่ผ่านมา นับตั้งแต่ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ลุกขึ้นเคลื่อนไหวในหนนี้ พันธมิตรฯ สงขลาก็ได้เป็นกำลังใจและคอยให้การช่วยเหลือมาตลอด
ขณะเดียวกันในช่วงที่ฝ่ายบริหาร รฟท.เปิดฉากชน สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่อย่างหนักหน่วงช่วง 3-4 วันมานี้ พันธมิตรฯ สงขลาก็ออกโรงเปิดฉากระดมพี่น้องประชาชนผู้มีหัวใจเดียวกันร่วมเคลื่อนไหวสนับสนุน สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่แบบคู่ขนานไปด้วย
นับตั้งแต่วันที่ 26 ต.ค.ที่แล้วมา คณะทำงานพันธมิตรฯ สงขลาก็ได้รวบรวมพี่น้องประชาชนออกเดินรณรงค์ในตัวเมืองหาดใหญ่ พร้อมกับตั้งเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้และร่วมต่อสู่กับ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ ที่ลานประวัติศาสตร์ หน้าสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ตั้งแต่บ่ายวันที่ 27 ต.ค. อีกทั้งมีการออกแถลงการณ์สนับสนุนอย่างเป็นทางการแจกจ่ายทั่วจังหวัดสงขลาไปแล้ว โดยมีข้อเรียกร้อง 6 ข้อ ได้แก่
1. สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ ได้เสนอให้เร่งตรวจซ่อมรถจักรให้มีความสมบูรณ์ก่อนนำมาใช้บริการ เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนมาตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค.45 แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองจากฝ่ายบริหารการรถไฟฯ
2. การเกิดอุบัติเหตุที่สถานีรถไฟเขาเต่า เมื่อวันที่ 5 ต.ค.52 จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย บาดเจ็บ 88 ราย เป็นเพราะรถจักรในขบวนดังกล่าวอุปกรณ์ควบคุมความปลอดภัยเตือนภัย (Vigilance) ชำรุดใช้การไม่ได้ ทั้งที่เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ขบวนรถจะไม่มีไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ใช่อุปกรณ์เสริมตามที่ผู้บริหารชี้แจง อันถือเป็นการกล่าวเท็จต่อหน้าสาธารณะ และปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความบกพร่องผิดพลาดในการบริหารจัดการของตนเอง แต่กลับโยนความผิดให้กับพนักงานขับรถและ สร.รฟท.
3. ฝ่ายบริหารการรถไฟฯ กล่าวโจมตีพนักงานขับรถว่า ลอยแพผู้โดยสารนับพันคนที่สถานีรถไฟละแม จ.ชุมพร ซึ่งต่อมา นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการฯรถไฟได้ออกมายอมรับว่าเป็นผู้สั่งการเอง การกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างสถานการณ์ทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิด และสร้างความเกลียดชังต่อพนักงานและ สร.รฟท.
4. ฝ่ายบริหารการรถไฟฯ พยายามทำให้สังคมมองว่า พนักงานและ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ ทำการยึดหัวรถจักรและต่อสู้เรียกร้องเพื่อให้ตนเองพ้นผิดจากการหยุดเดินรถนั้น ข้อเท็จจริงคือ หัวรถจักรใช้งานไม่ได้จริง พนักงานและ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับและระเบียบการเดินรถอย่างเคร่งครัด โดยยึดถือความปลอดภัยของประชาชน รวมถึงสมบัติของประเทศชาติเป็นสำคัญ
5. จากการพยายามของฝ่ายบริหารการถไฟฯ ที่พยายามให้เปิดการเดินรถโดยไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ใช้บริการ และไม่มีความจริงใจที่จะแก้ปัญหา แต่กลับกระทำเพื่อสนองอำนาจของตนและนักการเมืองที่บงการอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะการปกป้องความผิดพลาดในการบริหารงานที่ล้มเหลว
6. ขอให้คณะกรรมการรถไฟฯ กระทรวงคมนาคม และรัฐบาลมีความจริงใจในการปฏิรูปการรถไฟฯ ให้มีคุณภาพในการให้บริการประชาชน และเร่งดำเนินการกับผู้บริหารที่ทุจริตและใช้อำนาจโดยมิชอบ รวมถึงต้องหยุดแผนผลักดันให้แปรรูปการรถไฟฯ ทุกรูปแบบทันที เพื่อไม่ให้ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนตกไปอยู่ในมือของกลุ่มทุนและนักการเมืองชั่วช้า
ในท้ายของแถลงการณ์พันธมิตรฯสงขลาได้สำทับว่า ขอประกาศว่าจะเคียงบ่าเคียงไหล่ร่วมต่อสู้กับพนักงานการรถไฟฯ และ สร.รฟท.สาขาหาดใหญ่ เพื่อนำความเป็นธรรมนำความถูกต้องกลับคืนสู่สังคมและขัดขวางการแปรรูปการรถไฟฯ ทุกรูปแบบ และขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมรับฟังทุกความจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับปัญหาในการรถไฟฯ ณ ลานประวัติศาสตร์ หน้าสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ นับตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค.เป็นต้นมา
เช่นนี้แล้ว แนวรบด้านใต้ในสนามศึกของการรถไฟฯ ครั้งนี้ จึงเป็นที่ที่สังคมควรต้องจับตากันใกล้ชิดต่อไป !!