ASTVผู้จัดการรายวัน - ทีมโฆษก ปชป.สั่งจับตา"แม้ว-ลิ่วล้อ"จับมือ"ฮุนเซน" เดินเกมลดเครดิตไทย เตรียมรวบรวมข้อมูลผลประโยชน์แอบแฝง"แม้ว-ฮุนเซน"ประจาน "ปณิธาน" ปัดล่มทวิภาคี "มาร์ค-ฮุนเซน" บนเวทีอาเซียน อ้างตารางนายกฯแน่น "ส.ว." เชื่อ"แม้ว"อยู่เบื้องหลัง"ฮุนเซน"ตบหน้ารัฐบาลไทย
วานนี้ (25 ต.ค.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทวิตเตอร์ขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เกรงใจสมเด็จฯฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลังตอบโต้กรณีที่ระบุจะไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นตนเห็นว่าคำทวิตเตอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีสาระหลายส่วน ที่บ่งชี้ให้เห็นว่ารู้กันและสอดรับกับคำพูดหลายส่วนของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่า เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อลดความน่าเชื่อถือของไทยในขณะที่เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงต่อการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะนำคลิปส่วนตัวไปให้สมเด็จฯฮุนเซน และการเดินทางโดยใช้การทูตส่วนตัวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และทั้งหมดมีที่มาเดียวกัน คือ เป็นผลจากรัฐบาลในอดีตได้ดำเนินการ ในลักษณะยอมเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไปแลกเพื่อประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น จึงเป็นที่มาของความขัดแย้งเข้าใจผิดระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการดำเนินการทางการเมืองที่ดึงมิติเรื่องความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เข้ามาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ
"หากไม่เห็นแก่ประเทศก็ควรฟังคำเตือนของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่พูดว่าระวังจะเป็นการทรยศต่อประเทศชาติและที่ระบุว่าทั่วโลกรู้ดีว่าเป็นคดีความทางการเมือง อยากจะถามว่า ถ้าเชื่อคำพูดดังกล่าวจริง ทำไมคุณทักษิณจึงโดนถอนวีซ่า ยึดทรัพย์ และห้ามเข้าหลายประเทศทั้งในยุโรป และอเมริกา และถ้ามั่นใจในสถานะของความเป็นนักโทษการเมือง ทำไมไม่กล้าขอลี้ภัยในฐานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งกฎบัตรสหประชาชาติก็ให้การยอมรับสิทธิในกรณีที่ต้องคดีจากการคุกคามทางการเมือง แต่เป็นเพราะคดีดังกล่าวนั้นถือเป็นคดีอาญาต่อแผ่นดิน จึงไม่สามารถใช้สถานะดังกล่าวได้"
**อัดคำพูด"นพเล่"กระทบยุติธรรมไทย
ส่วนที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศและทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่านายกฯ ไม่ควรใช้วาจาสามหาวข่มขู่ต่อสมเด็จฯฮุนเซนนั้น นายกฯ รับผิดชอบคำพูดทุกคำและให้เกียรติบุคคลอื่นเสมอ ถ้าใครได้ติดตามเรื่องอย่างใกล้ชิด และดูที่มาของเหตุการณ์ หากยังมีความเป็นคนไทยเหลืออยู่ก็รู้ดีว่า คำพูดของนายนพดล และนายกฯฮุนเซน นั้นกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยโดยตรง และนายอภิสิทธิ์ ไม่เคยมีอคติในการดำเนินการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับมิตรประเทศ แต่เป็นเพราะคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปตรงกับนายกฯฮุนเซนเอง จึงสร้างความสงสัยให้กับหลายคนและคำให้สัมภาษณ์ของนายนพดล นั้น ถ้าดูถ้อยความจะเห็นว่าไม่มีประโยคใดเลยที่ปกป้องผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของประเทศ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นการยกระดับยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไปสู่การยืมมือเพื่อนบ้านกดดันไทยโดยตรง แต่โชคดีที่ประชาคมอาเซียนปฏิเสธแนวทางดังกล่าว เพราะยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน และเห็นว่าเพราะสาเหตุที่มีกลุ่มคนรับไม่ได้ต่อความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้ ที่ได้รับความยอมรับจากผู้นำชาติต่างๆ ในเวทีโลกมาตลอด จึงเชื่อว่าคงจะมีการขับเคลื่อนต่อเนื่องหลังจากนี้จากการเดินสายของ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชวลิต และบุคคลอื่นต่อเนื่อง เพื่อสอดรับกับการประชุมเอเปคและประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียน แนวทางการเมืองที่เปิดช่องให้มีการแทรกแซงจากต่างชาติต่อ
ในลักษณะของการสบคบกันระหว่างพรรคการเมืองในประเทศกับมิตรประเทศนั้นเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศชาติและจงใจสร้างเงื่อน ไปสู่ความตึงเครียดในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมิตรประเทศ จึงอยากให้คนไทยรับรู้ ตรึกตรอง และช่วยกันสกัดกั้น โดยออกมาปกป้องชื่อเสียง ศักดิ์ศรี รวมไปถึงความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ให้ถูกล่วงล้ำอธิปไตยทางการเมืองด้วยวิธีดังกล่าว เมื่อกลุ่มของ พล.อ.ชวลิต และกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 เข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ก็เห็นได้ว่าการขับเคลื่อนการเมืองของพรรคนี้จะคาบเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งน่าเป็นห่วงเพราะมีความละเอียดอ่อนและบอบบางอย่างยิ่ง
**ยันไม่ประมาทเสื้อแดงตั้งป้อมไล่ รบ.
สำหรับกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเป้าล้มรัฐบาลได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้จะรับมือไหวหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า หากการตั้งเป้าดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ใช้วิธีนอกกฎหมาย ไม่สร้างความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ไม่สร้างเงื่อนไขของความขัดแย้งและความรุนแรง ก็คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ในอดีตนั้นเมื่อมีการพยากรณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะโดยคนเสื้อแดง หรือโดย พ.ต.ท.ทักษิณก็ดี ภายในเงื่อนเวลาดังกล่าวนั้นจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย เกิดการจลาจล เผาบ้านเผาเมืองขึ้นทุกครั้ง ดังนั้น คิดว่าฝ่ายความมั่นคงจึงประมาทไม่ได้ต่อคำทำนายดังกล่าว
เมื่อถามว่าการเรียกร้องให้คนไทยปกป้องชื่อเสียงของประเทศชาติทำอย่างไร นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า อยากให้คนไทยรับรู้และเท่าทันต่อการปลุกระดมนี้และควรจะดูตัวอย่างของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ผู้นำทุกประเทศปฏิเสธที่จะแทรกแซงกิจการภายในจากความพยายามที่เกิดขึ้นมา ดังนั้น ตนคิดว่าคนไทยก็ต้องบอกว่าเรื่องของทิศทางในชาติและการเมืองภายในประเทศ เป็นเรื่องภายในที่สามารถแก้ไขกันได้ด้วยคนไทยกันเอง
"ที่พูดด้วยคำพูดสะใจเหมือนกับว่ารัฐบาลโดนตบหน้า ผมอยากจะเรียนว่าพฤติกรรมดังกล่าวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่กระทบต่อไทยทั้งชาติ ถ้าโดนตบหน้าก็ถือว่าไม่มีคนไทยคนใดที่ไม่โดนตบหน้า คนที่พูดดังกล่าว ถามตัวเองดีกว่า ถ้าไม่รู้สึกหน้าชาบ้าง ก็อยากถามว่ามีความเป็นคนไทยอยู่หรือเปล่า"
**เตรียมแฉพฤติกรรมแม้วฮั้ว"ฮุนเซน"
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเปิดโปงพฤติกรรมของอดีต คมช.ว่า รัฐบาลไม่มีความเกี่ยวข้องกับ คมช. และเป็นความพยายามที่จะโยงให้เกี่ยวข้องกัน แต่ข้อเท็จจริงนั้น รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลชุดที่ 3 หลังการเลือกตั้งปี 50 ซึ่งถือว่าห่างไกลจากยุค คมช.เป็นอย่างมาก แต่มีความพยายามพูดต่อเนื่องว่ามีบันได 3 ขั้นบ้าง 4 ขั้นบ้างเพื่อผลักดันพรรคประชาธิปัตย์ โดยทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการจงใจใส่ร้าย และไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ดังนั้นคนที่พูดเรื่องนี้ หากเคยเป็นทหาร ก็ควรจะรับผิดชอบและคำนึงถึงเกียรติภูมิของตัวเองก่อนที่จะให้ข้อมูลในลักษณะที่ไม่จริง ซึ่งหากเป็นชายชาติทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียมจัดทำข้อมูลเพื่อชี้แจงให้ประชาชนรับทราบถึงความเชื่อมโยงระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับสมเด็จฯฮุนเซน ในการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันจนทำให้สมเด็จฯฮุนเซน ต้องออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับไทย ซึ่งจะมีการไล่เลียงถึงพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่เป็นรัฐบาล ที่ได้สัมปทานโทรศัพท์มือถือในกัมพูชา ต่อเนื่องมาจนถึงมติ ครม.ที่อนุมัติให้ความเห็นชอบให้มีการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาวิหารเป็นมรดกโลก
นอกจากนี้ที่น่าจับตามองที่สุด คือ ผลประโยชน์ในการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในกัมพูชา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่เปิดเผยในหนังสือชี้ชวน และรายงานประจำปีของชินคอร์ป ที่เสนอต่อตลาดหลักทรัพย์ที่มีการบ่งบอกถึงการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก และจะทำให้เทมาเส็กได้ดูแลผลประโยชน์ทุกรายการที่บริษัทชินคอร์ปได้รับจากกัมพูชาที่มีระยะเวลาสัมปทานถึง 99 ปี
**ปณิธาน"ปัดเวทีอาเซียนทำสัมพันธ์ร้าว
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมแบบทวิภาคีไทย-กัมพูชาว่า ไม่มีการวางกำหนดการนี้ไว้ในกำหนดการเพราะกำหนดการของนายอภิสิทธิ์ ในการประชุมครั้งนี้ค่อนข้างแน่นและเวลาไม่พอ ยืนยันเรื่องนี้ไม่มีปัญหาและไม่ล่มตามที่มีกระแสข่าวออกมา
เมื่อถามว่า สื่อต่างประเทศวิเคราะห์ว่าการประชุมครั้งนี้จะสร้างรอยร้าวด้านความสัมพันธ์ในอาเซียน โดยเฉพาะระหว่างไทย-กัมพูชามากกว่า นายปณิธาน กล่าวว่า ความเห็นนั้นแตกต่างกันได้ ไม่มีปัญหา แต่การประชุมประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะผู้นำชาติต่างๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอบคุณสิ่งที่รัฐบาลจัดการประชุมครั้งนี้ และการประชุมวาระสำคัญ เช่น การสร้างอาเซียนให้เป็นปึกแผ่นและเข้มแข็ง โดยยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลางประสานงานนั้นก็เป็นไปด้วยดี รวมทั้งกำหนดบทบาทให้อาเซียนกับกลุ่มประเทศ G-20 ทำงานร่วมกัน
นายปณิธานกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้อาเซียนปรับกลไกหลายอย่าง เช่น ด้านสิทธิมนุษยชน การร่วมมือด้านเศรษฐกิจและเขตการค้าเสรี การยกระดับการศึกษา การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การดำเนินการโทรทัศน์อาเซียนเป็นจุดศูนย์รวมแลกเปลี่ยนข่าวสาร รวมทั้งการผลักดันให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการประชุมด้วย แม้ยอมรับว่ามันค่อนข้างยากก็ตาม ทั้งนี้ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ระบุว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าภาคเยาวชนจะเข้าพบผู้นำการประชุมและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอาเซียนและจะมาร่วมประชุมที่นี่แทนพวกเรา
"ย้ำว่าที่ประชุมไม่พูดเรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องของ 2 ประเทศที่มีความเห็นแตกต่างบ้างในบางประเด็นเท่านั้น และในทางกลับกันนายอภิสิทธิ์ กับนายกฯกัมพูชาได้เสนอความเห็นสอดคล้องและสนับสนุนกันหลายเรื่อง เช่น โครงสร้างพื้นฐานในอาเซียนเพื่อนำเงินจากจีนและญี่ปุ่นมาลงทุนและพัฒนาภูมิภาค" นายปณิธาน กล่าว
**"ส.ว."เชื่อ"แม้ว"อยู่เบื้องหลังฮุนเซน
นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา หนึ่งในกลุ่ม 40 ส.ว.กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และสมาชิกพรรคเพื่อไทยเดินทางไปพบกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชาว่า ทั้งสมเด็จฮุนเซน และ พล.อ.ชวลิต ต่างก็แอบอิงอาศัยประโยชน์ต่อกันในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองที่ระอุอยู่ในขณะนี้โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังเร่งเครื่องลงมือทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีที่ คตส.อายัดเงิน 76,000 ล้านบาทในสองเดือนข้างหน้านี้ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้ตนเองหลุดพ้นบ่วงกรรม เพื่อหวนคืนสู่อำนาจ และทวงคืนทรัพย์สินที่ถูกอายัด โดยใช้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวในสภา และแกนนำเสื้อแดงเคลื่อนไหวนอกสภา
โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมทั้งเปิดทวิตเตอร์และให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน ข้ามายังประเทศไทยทกครั้งที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำทุกวิธีเพื่อโค่นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่ก็ล้มเหลวมาตลอด จึงหันมาใช้ยุทธศาสตร์ใหม่โดยให้ พล.อ.ชวลิต ไปพบสมเด็จฮุนเซน
นายประสาร กล่าวอีกว่า ส่วนคำสัมภาษณ์ของสมเด็จฮุนเซน ที่พร้อมจะจัดบ้านพักให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และจะไม่ยอมส่งตัวให้ทางการไทยทั้งๆ ที่ไทยกัมพูชามีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนตั้งแต่ปี 2544 แต่สมเด็จฮุนเซน กลับจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาให้ทางการไทยดำเนินคดีนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก การทำเช่นนี้ของสมเด็จฮุนเซน ต้องการเพิ่มอำนาจต่อรองให้ตัวเองกรณีเขาพระวิหาร ยังสะท้อนทั้งยึดเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวเหนือกฎหมายและผลประโยชน์ของทั้ง 2 ชาติ
"ดังนั้น ผมจึงขอสนับสนุนท่าทีของคุณอภิสิทธิ์ ที่ให้สัมภาษณ์เตือนสมเด็จฮุนเซน นอกจากนี้ รัฐบาลควรแสดงท่าทีทางการทูตเชิงรุกให้ประชาชนไทยมีความภูมิใจ ไม่รู้สึกว่าไทยตกเป็นเบี้ยล่างของประเทศกัมพูชาด้วยน้ำมือของคนเหล่านี้"
**เลขาฯ"กษิต"อัด"นพเล่"ป้อง"มาร์ค"
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์ เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศและที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่านายอภิสิทธิ์ ไม่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศได้ว่า ความจริงแล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์กับความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้มีปัญหาอะไร และการประชุมอาเซียนก็เป็นไปได้ด้วยดี และครั้งนี้ไม่ได้ทำให้บรรยากาศการประชุมไม่ราบรื่น แต่ปัญหาแท้จริงเกิดขึ้นในสมัยที่นายนพดล เป็น รมว.ต่างประเทศ ในช่วงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้มีการออกแถลงการณ์โดยไม่รอบคอบ ซึ่งทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองก็ตัดสินเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
นาชวนนท์ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นเรื่องของพม่า เรื่องของนางอองซานซูจี ถือเป็นเรื่องภายในประเทศ ซึ่ง พล.อ.เต็งเส่ง นายกรัฐมนตรีพม่าเองก็เชิญนายอภิสิทธิ์ไปเยือนพม่า ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดูเรื่องของเวลาเพื่อที่จะเดินทางไปให้เร็วที่สุด หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการเลื่อนมาโดยตลอด รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศมีความเข้าใจอันดีต่อกัน
**ก.ม.ม.จี้รัฐป้องศักดิ์ศรียุติธรรมไทย
นายสุริยะใส กตะศิลา ว่าที่เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ยืนยันต่อประชาคมโลกถึงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยว่ามีความน่าเชื่อถือ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของคนไทย หลังจากกรณีที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้สัมภาษณ์โจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ ถือเป็นความล้มเหลวของนโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาล ที่ไม่ออกมาโต้ตอบการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซน ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยต้องเสียหาย
ว่าที่เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ยังกล่าวด้วยว่า รู้สึกเห็นใจนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งตนมองว่านายกษิต ต้องเร่งหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางแสดงจุดยืนของรัฐบาลไทย เนื่องจากเกรงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะขยายเป็นความขัดแย้ง และจะกลายเป็นอคติระหว่างชนชาติที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
**เขมรหนักข้อผุดเขื่อนบน"เขาวิหาร"
วานนี้ (25 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษว่า จากกรณีนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกัมพูชา ได้ประกาศสนับสนุนช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษชายหนีคดีอาญาแผ่นดินอย่างแข็งกร้าวต่อรัฐบาลไทยและกระบวนการยุติธรรมไทยนั้น ล่าสุดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ ทหารทั้ง 2 ฝ่ายยังคงตรึงกำลังเข้มตามบริเวณเขาพระวิหารเช่นเดิมและไม่มีรายงานการเสริมกำลังเพิ่มเติมแต่อย่างใด เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาได้มีการเสริมกำลังทหาร รถถังและอาวุธหนักตลอดแนวชายแดนอย่างเต็มที่ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว
ขณะที่บริเวณลำห้วย ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เก่า กับ วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ บริเวณโคปุระชั้นที่ 1 ด้านทิศตะวันตกของประสาทพระวิหาร ที่ทหารไทยและทหารกัมพูชาตรึงกำลังกันอยู่ในขณะนี้ ปรากฏว่า ฝ่ายกัมพูชาได้มีการปรับเตรียมพื้นที่เพื่อจะทำการก่อสร้างเขื่อนหรือฝายกักเก็บน้ำไว้ใช้
**สุดด้านไม่สนแม้ไทยประท้วง
ทั้งนี้ บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนและอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) ทางฝ่ายไทย จึงได้ทำหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลกัมพูชาแล้ว แต่ทางฝ่ายกัมพูชายังเมินเฉยและยังคงเดินหน้าสร้างเขื่อนหรือฝายกักเก็บน้ำดังกล่าวต่อไป โดยมีทหารไทยคอยเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดและไม่สามารถที่จะห้ามปรามได้ เนื่องจากเกรงจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา
ขณะเดียวกันที่บริเวณช่องคานม้าชายแดนไทย-กัมพูชา ต.เสาธงชัย อ.กันทร์ลักษ์ ซึ่งเป็นปากทางที่จะขึ้นไปยังภูมะเขือ ทางด้านทิศตะวันตกเขาพระวิหาร ได้มีทหารกัมพูชาจำนวนมากมาตั้งฐานบัญชาการและรวมพลกันอยู่อย่างคึกคัก โดยที่บริเวณช่องคานม้านี้ทหารกัมพูชาสามารถเคลื่อนกำลังขึ้นไปยังภูมะเขือจุดที่เคยมีการปะทะกันรุนแรงระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทยและเป็นบริเวณที่ทั้ง 2 ฝ่ายตรึงกำลังกันอยู่ในขณะนี้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะระยะทางไม่ไกลจากบริเวณดังกล่าว
"จิ๋ว"สั่งแปลสื่อเขมรยกหางแจกสื่อไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (25 ต.ค.) ระหว่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นประธานเปิดการแข่งขันกอล์ฟการกุศาลของหอการค้าจังหวัดตราด นางดวงใจ จันทร เลขาธิการหอการค้าตราด ได้นำหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 24 ตุลาคมหลายฉบับของกัมพูชาที่ลงตีพิมพ์เรื่องราวพล.อ.ชวลิต เดินทางไปพบ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่กรุงพนมเปญให้พล.อ.ชวลิต ดู โดยข้อความตีพิมพ์ดังกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซ็น เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความรักความผูกพันฐานเพื่อน และชาวกัมพูชาส่วนใหญ่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับความเป็นธรรม และเห็นด้วยกับการที่ สมเด็จฮุนเซน จะให้พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปลี้ภัยที่ประเทศกัมพูชา และเห็นว่าการที่ พล.อ.ชวลิต เดินทางไปพบสมเด็จฮุนเซ็นเป็นเรื่องดีและเป็นการตบหน้ารัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย
**โพลระบุ ‘จิ๋ว’ ชักศึกเข้าบ้าน
วานนี้ (25 ต.ค.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ได้สำรวจ ความคิดเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,847 คน เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา กรณี พล.อ.ชวลิต พบปะกับ สมเด็จฮุนเซน พบว่าประชาชน ร้อยละ 33.95 เห็นว่าเป็นเกมการเมือง การแสดงศักยภาพของ พล.อ.ชวลิต ที่เป็นการหาทางออกให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ร้อยละ 28.86 เห็นว่าเป็นการชักศึกเข้าบ้าน ทำให้ต่างประเทศเข้ามายุ่งเกี่ยว กับการเมืองไทย ร้อยละ 19.33 เห็นว่าทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาตึงเตรียดมากขึ้น ร้อยละ 11.48 เห็นว่าการพบกันจะทำให้ความขัดแย้ง ภายในของไทยแตกแยกมากขึ้น ยากที่จะแก้ไขได้
ส่วนข่าวการสร้างบ้านพักให้ พ.ต.ท.ทักษิณ การไม่ส่งตัวให้ไทย และแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กัมพูชา มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ประชาชนร้อยละ 71.52 เห็นว่าการกระทำดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ตึงเครียดมากขึ้น เพราะเป็นการเลือกข้าง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน ซึ่งขัดแย้งกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างแน่นอน ร้อยละ 22.58 ไม่แน่ใจ เพราะอาจจะเป็นเพียงเกมการเมืองก็ได้
ทั้งนี้ผลสำรวจร้อยละ 35.95 เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ การเมืองไทยร้อนแรงขึ้น มีความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ชิงความได้เปรียบกันมากขึ้น ร้อยละ 26.85 เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาขัดแย้งภายในการเมืองไทยจะแก้ไขยากขึ้น เพราะขยายผลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ร้อยละ 21.22 เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นว่านักการเมืองสามารถทำทุกอย่างเพื่อจะเอาชนะคะคานกัน
วานนี้ (25 ต.ค.) นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทวิตเตอร์ขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เกรงใจสมเด็จฯฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หลังตอบโต้กรณีที่ระบุจะไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้นตนเห็นว่าคำทวิตเตอร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีสาระหลายส่วน ที่บ่งชี้ให้เห็นว่ารู้กันและสอดรับกับคำพูดหลายส่วนของนายกรัฐมนตรีฮุนเซน ต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย ทำให้หลายฝ่ายสงสัยว่า เป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อลดความน่าเชื่อถือของไทยในขณะที่เป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียน
นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นผลโดยตรงต่อการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะนำคลิปส่วนตัวไปให้สมเด็จฯฮุนเซน และการเดินทางโดยใช้การทูตส่วนตัวของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และทั้งหมดมีที่มาเดียวกัน คือ เป็นผลจากรัฐบาลในอดีตได้ดำเนินการ ในลักษณะยอมเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไปแลกเพื่อประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้น จึงเป็นที่มาของความขัดแย้งเข้าใจผิดระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน เป็นการดำเนินการทางการเมืองที่ดึงมิติเรื่องความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เข้ามาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ
"หากไม่เห็นแก่ประเทศก็ควรฟังคำเตือนของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ที่พูดว่าระวังจะเป็นการทรยศต่อประเทศชาติและที่ระบุว่าทั่วโลกรู้ดีว่าเป็นคดีความทางการเมือง อยากจะถามว่า ถ้าเชื่อคำพูดดังกล่าวจริง ทำไมคุณทักษิณจึงโดนถอนวีซ่า ยึดทรัพย์ และห้ามเข้าหลายประเทศทั้งในยุโรป และอเมริกา และถ้ามั่นใจในสถานะของความเป็นนักโทษการเมือง ทำไมไม่กล้าขอลี้ภัยในฐานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง ซึ่งกฎบัตรสหประชาชาติก็ให้การยอมรับสิทธิในกรณีที่ต้องคดีจากการคุกคามทางการเมือง แต่เป็นเพราะคดีดังกล่าวนั้นถือเป็นคดีอาญาต่อแผ่นดิน จึงไม่สามารถใช้สถานะดังกล่าวได้"
**อัดคำพูด"นพเล่"กระทบยุติธรรมไทย
ส่วนที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศและทนายความส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่านายกฯ ไม่ควรใช้วาจาสามหาวข่มขู่ต่อสมเด็จฯฮุนเซนนั้น นายกฯ รับผิดชอบคำพูดทุกคำและให้เกียรติบุคคลอื่นเสมอ ถ้าใครได้ติดตามเรื่องอย่างใกล้ชิด และดูที่มาของเหตุการณ์ หากยังมีความเป็นคนไทยเหลืออยู่ก็รู้ดีว่า คำพูดของนายนพดล และนายกฯฮุนเซน นั้นกระทบต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของไทยโดยตรง และนายอภิสิทธิ์ ไม่เคยมีอคติในการดำเนินการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับมิตรประเทศ แต่เป็นเพราะคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปตรงกับนายกฯฮุนเซนเอง จึงสร้างความสงสัยให้กับหลายคนและคำให้สัมภาษณ์ของนายนพดล นั้น ถ้าดูถ้อยความจะเห็นว่าไม่มีประโยคใดเลยที่ปกป้องผลประโยชน์และศักดิ์ศรีของประเทศ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นการยกระดับยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไปสู่การยืมมือเพื่อนบ้านกดดันไทยโดยตรง แต่โชคดีที่ประชาคมอาเซียนปฏิเสธแนวทางดังกล่าว เพราะยึดมั่นในหลักการไม่แทรกแซงกิจการภายใน และเห็นว่าเพราะสาเหตุที่มีกลุ่มคนรับไม่ได้ต่อความสำเร็จของรัฐบาลชุดนี้ ที่ได้รับความยอมรับจากผู้นำชาติต่างๆ ในเวทีโลกมาตลอด จึงเชื่อว่าคงจะมีการขับเคลื่อนต่อเนื่องหลังจากนี้จากการเดินสายของ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชวลิต และบุคคลอื่นต่อเนื่อง เพื่อสอดรับกับการประชุมเอเปคและประชุมสุดยอดระหว่างสหรัฐฯ กับอาเซียน แนวทางการเมืองที่เปิดช่องให้มีการแทรกแซงจากต่างชาติต่อ
ในลักษณะของการสบคบกันระหว่างพรรคการเมืองในประเทศกับมิตรประเทศนั้นเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศชาติและจงใจสร้างเงื่อน ไปสู่ความตึงเครียดในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับมิตรประเทศ จึงอยากให้คนไทยรับรู้ ตรึกตรอง และช่วยกันสกัดกั้น โดยออกมาปกป้องชื่อเสียง ศักดิ์ศรี รวมไปถึงความน่าเชื่อถือในกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ให้ถูกล่วงล้ำอธิปไตยทางการเมืองด้วยวิธีดังกล่าว เมื่อกลุ่มของ พล.อ.ชวลิต และกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 เข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ก็เห็นได้ว่าการขับเคลื่อนการเมืองของพรรคนี้จะคาบเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งน่าเป็นห่วงเพราะมีความละเอียดอ่อนและบอบบางอย่างยิ่ง
**ยันไม่ประมาทเสื้อแดงตั้งป้อมไล่ รบ.
สำหรับกรณีที่แกนนำพรรคเพื่อไทย และกลุ่มคนเสื้อแดงตั้งเป้าล้มรัฐบาลได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้จะรับมือไหวหรือไม่ นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า หากการตั้งเป้าดังกล่าวเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ใช้วิธีนอกกฎหมาย ไม่สร้างความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ไม่สร้างเงื่อนไขของความขัดแย้งและความรุนแรง ก็คิดว่าไม่มีปัญหาอะไร แต่ในอดีตนั้นเมื่อมีการพยากรณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะโดยคนเสื้อแดง หรือโดย พ.ต.ท.ทักษิณก็ดี ภายในเงื่อนเวลาดังกล่าวนั้นจะเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย เกิดการจลาจล เผาบ้านเผาเมืองขึ้นทุกครั้ง ดังนั้น คิดว่าฝ่ายความมั่นคงจึงประมาทไม่ได้ต่อคำทำนายดังกล่าว
เมื่อถามว่าการเรียกร้องให้คนไทยปกป้องชื่อเสียงของประเทศชาติทำอย่างไร นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า อยากให้คนไทยรับรู้และเท่าทันต่อการปลุกระดมนี้และควรจะดูตัวอย่างของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ผู้นำทุกประเทศปฏิเสธที่จะแทรกแซงกิจการภายในจากความพยายามที่เกิดขึ้นมา ดังนั้น ตนคิดว่าคนไทยก็ต้องบอกว่าเรื่องของทิศทางในชาติและการเมืองภายในประเทศ เป็นเรื่องภายในที่สามารถแก้ไขกันได้ด้วยคนไทยกันเอง
"ที่พูดด้วยคำพูดสะใจเหมือนกับว่ารัฐบาลโดนตบหน้า ผมอยากจะเรียนว่าพฤติกรรมดังกล่าวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่กระทบต่อไทยทั้งชาติ ถ้าโดนตบหน้าก็ถือว่าไม่มีคนไทยคนใดที่ไม่โดนตบหน้า คนที่พูดดังกล่าว ถามตัวเองดีกว่า ถ้าไม่รู้สึกหน้าชาบ้าง ก็อยากถามว่ามีความเป็นคนไทยอยู่หรือเปล่า"
**เตรียมแฉพฤติกรรมแม้วฮั้ว"ฮุนเซน"
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเปิดโปงพฤติกรรมของอดีต คมช.ว่า รัฐบาลไม่มีความเกี่ยวข้องกับ คมช. และเป็นความพยายามที่จะโยงให้เกี่ยวข้องกัน แต่ข้อเท็จจริงนั้น รัฐบาลชุดนี้เป็นรัฐบาลชุดที่ 3 หลังการเลือกตั้งปี 50 ซึ่งถือว่าห่างไกลจากยุค คมช.เป็นอย่างมาก แต่มีความพยายามพูดต่อเนื่องว่ามีบันได 3 ขั้นบ้าง 4 ขั้นบ้างเพื่อผลักดันพรรคประชาธิปัตย์ โดยทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นการจงใจใส่ร้าย และไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ดังนั้นคนที่พูดเรื่องนี้ หากเคยเป็นทหาร ก็ควรจะรับผิดชอบและคำนึงถึงเกียรติภูมิของตัวเองก่อนที่จะให้ข้อมูลในลักษณะที่ไม่จริง ซึ่งหากเป็นชายชาติทหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียมจัดทำข้อมูลเพื่อชี้แจงให้ประชาชนรับทราบถึงความเชื่อมโยงระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับสมเด็จฯฮุนเซน ในการเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันจนทำให้สมเด็จฯฮุนเซน ต้องออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวกับไทย ซึ่งจะมีการไล่เลียงถึงพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่เป็นรัฐบาล ที่ได้สัมปทานโทรศัพท์มือถือในกัมพูชา ต่อเนื่องมาจนถึงมติ ครม.ที่อนุมัติให้ความเห็นชอบให้มีการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาวิหารเป็นมรดกโลก
นอกจากนี้ที่น่าจับตามองที่สุด คือ ผลประโยชน์ในการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติในกัมพูชา ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่เปิดเผยในหนังสือชี้ชวน และรายงานประจำปีของชินคอร์ป ที่เสนอต่อตลาดหลักทรัพย์ที่มีการบ่งบอกถึงการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับเทมาเส็ก และจะทำให้เทมาเส็กได้ดูแลผลประโยชน์ทุกรายการที่บริษัทชินคอร์ปได้รับจากกัมพูชาที่มีระยะเวลาสัมปทานถึง 99 ปี
**ปณิธาน"ปัดเวทีอาเซียนทำสัมพันธ์ร้าว
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมแบบทวิภาคีไทย-กัมพูชาว่า ไม่มีการวางกำหนดการนี้ไว้ในกำหนดการเพราะกำหนดการของนายอภิสิทธิ์ ในการประชุมครั้งนี้ค่อนข้างแน่นและเวลาไม่พอ ยืนยันเรื่องนี้ไม่มีปัญหาและไม่ล่มตามที่มีกระแสข่าวออกมา
เมื่อถามว่า สื่อต่างประเทศวิเคราะห์ว่าการประชุมครั้งนี้จะสร้างรอยร้าวด้านความสัมพันธ์ในอาเซียน โดยเฉพาะระหว่างไทย-กัมพูชามากกว่า นายปณิธาน กล่าวว่า ความเห็นนั้นแตกต่างกันได้ ไม่มีปัญหา แต่การประชุมประสบความสำเร็จด้วยดี เพราะผู้นำชาติต่างๆ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ขอบคุณสิ่งที่รัฐบาลจัดการประชุมครั้งนี้ และการประชุมวาระสำคัญ เช่น การสร้างอาเซียนให้เป็นปึกแผ่นและเข้มแข็ง โดยยึดอาเซียนเป็นศูนย์กลางประสานงานนั้นก็เป็นไปด้วยดี รวมทั้งกำหนดบทบาทให้อาเซียนกับกลุ่มประเทศ G-20 ทำงานร่วมกัน
นายปณิธานกล่าวว่า การประชุมครั้งนี้อาเซียนปรับกลไกหลายอย่าง เช่น ด้านสิทธิมนุษยชน การร่วมมือด้านเศรษฐกิจและเขตการค้าเสรี การยกระดับการศึกษา การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม การดำเนินการโทรทัศน์อาเซียนเป็นจุดศูนย์รวมแลกเปลี่ยนข่าวสาร รวมทั้งการผลักดันให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับการประชุมด้วย แม้ยอมรับว่ามันค่อนข้างยากก็ตาม ทั้งนี้ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน ระบุว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าภาคเยาวชนจะเข้าพบผู้นำการประชุมและก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอาเซียนและจะมาร่วมประชุมที่นี่แทนพวกเรา
"ย้ำว่าที่ประชุมไม่พูดเรื่องความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องของ 2 ประเทศที่มีความเห็นแตกต่างบ้างในบางประเด็นเท่านั้น และในทางกลับกันนายอภิสิทธิ์ กับนายกฯกัมพูชาได้เสนอความเห็นสอดคล้องและสนับสนุนกันหลายเรื่อง เช่น โครงสร้างพื้นฐานในอาเซียนเพื่อนำเงินจากจีนและญี่ปุ่นมาลงทุนและพัฒนาภูมิภาค" นายปณิธาน กล่าว
**"ส.ว."เชื่อ"แม้ว"อยู่เบื้องหลังฮุนเซน
นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา หนึ่งในกลุ่ม 40 ส.ว.กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และสมาชิกพรรคเพื่อไทยเดินทางไปพบกับสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชาว่า ทั้งสมเด็จฮุนเซน และ พล.อ.ชวลิต ต่างก็แอบอิงอาศัยประโยชน์ต่อกันในช่วงสถานการณ์บ้านเมืองที่ระอุอยู่ในขณะนี้โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังเร่งเครื่องลงมือทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ศาลจะตัดสินคดีที่ คตส.อายัดเงิน 76,000 ล้านบาทในสองเดือนข้างหน้านี้ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้ตนเองหลุดพ้นบ่วงกรรม เพื่อหวนคืนสู่อำนาจ และทวงคืนทรัพย์สินที่ถูกอายัด โดยใช้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวในสภา และแกนนำเสื้อแดงเคลื่อนไหวนอกสภา
โดยเฉพาะการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา รวมทั้งเปิดทวิตเตอร์และให้ พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน ข้ามายังประเทศไทยทกครั้งที่มีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ทำทุกวิธีเพื่อโค่นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แต่ก็ล้มเหลวมาตลอด จึงหันมาใช้ยุทธศาสตร์ใหม่โดยให้ พล.อ.ชวลิต ไปพบสมเด็จฮุนเซน
นายประสาร กล่าวอีกว่า ส่วนคำสัมภาษณ์ของสมเด็จฮุนเซน ที่พร้อมจะจัดบ้านพักให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และจะไม่ยอมส่งตัวให้ทางการไทยทั้งๆ ที่ไทยกัมพูชามีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนตั้งแต่ปี 2544 แต่สมเด็จฮุนเซน กลับจะไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาให้ทางการไทยดำเนินคดีนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก การทำเช่นนี้ของสมเด็จฮุนเซน ต้องการเพิ่มอำนาจต่อรองให้ตัวเองกรณีเขาพระวิหาร ยังสะท้อนทั้งยึดเอาความสัมพันธ์ส่วนตัวเหนือกฎหมายและผลประโยชน์ของทั้ง 2 ชาติ
"ดังนั้น ผมจึงขอสนับสนุนท่าทีของคุณอภิสิทธิ์ ที่ให้สัมภาษณ์เตือนสมเด็จฮุนเซน นอกจากนี้ รัฐบาลควรแสดงท่าทีทางการทูตเชิงรุกให้ประชาชนไทยมีความภูมิใจ ไม่รู้สึกว่าไทยตกเป็นเบี้ยล่างของประเทศกัมพูชาด้วยน้ำมือของคนเหล่านี้"
**เลขาฯ"กษิต"อัด"นพเล่"ป้อง"มาร์ค"
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์ เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณีที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศและที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่านายอภิสิทธิ์ ไม่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสองประเทศได้ว่า ความจริงแล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์กับความสัมพันธ์ประเทศเพื่อนบ้านไม่ได้มีปัญหาอะไร และการประชุมอาเซียนก็เป็นไปได้ด้วยดี และครั้งนี้ไม่ได้ทำให้บรรยากาศการประชุมไม่ราบรื่น แต่ปัญหาแท้จริงเกิดขึ้นในสมัยที่นายนพดล เป็น รมว.ต่างประเทศ ในช่วงรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้มีการออกแถลงการณ์โดยไม่รอบคอบ ซึ่งทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองก็ตัดสินเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
นาชวนนท์ กล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นเรื่องของพม่า เรื่องของนางอองซานซูจี ถือเป็นเรื่องภายในประเทศ ซึ่ง พล.อ.เต็งเส่ง นายกรัฐมนตรีพม่าเองก็เชิญนายอภิสิทธิ์ไปเยือนพม่า ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดูเรื่องของเวลาเพื่อที่จะเดินทางไปให้เร็วที่สุด หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการเลื่อนมาโดยตลอด รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศมีความเข้าใจอันดีต่อกัน
**ก.ม.ม.จี้รัฐป้องศักดิ์ศรียุติธรรมไทย
นายสุริยะใส กตะศิลา ว่าที่เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) เรียกร้องให้รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์ยืนยันต่อประชาคมโลกถึงกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยว่ามีความน่าเชื่อถือ เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของคนไทย หลังจากกรณีที่สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้สัมภาษณ์โจมตีกระบวนการยุติธรรมของไทยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับความเป็นธรรม ทั้งนี้ ถือเป็นความล้มเหลวของนโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาล ที่ไม่ออกมาโต้ตอบการให้สัมภาษณ์ของสมเด็จฮุน เซน ที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยต้องเสียหาย
ว่าที่เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ยังกล่าวด้วยว่า รู้สึกเห็นใจนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งตนมองว่านายกษิต ต้องเร่งหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพื่อหาแนวทางแสดงจุดยืนของรัฐบาลไทย เนื่องจากเกรงว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะขยายเป็นความขัดแย้ง และจะกลายเป็นอคติระหว่างชนชาติที่ทุกคนไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
**เขมรหนักข้อผุดเขื่อนบน"เขาวิหาร"
วานนี้ (25 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษว่า จากกรณีนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกัมพูชา ได้ประกาศสนับสนุนช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษชายหนีคดีอาญาแผ่นดินอย่างแข็งกร้าวต่อรัฐบาลไทยและกระบวนการยุติธรรมไทยนั้น ล่าสุดสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะด้านเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ ทหารทั้ง 2 ฝ่ายยังคงตรึงกำลังเข้มตามบริเวณเขาพระวิหารเช่นเดิมและไม่มีรายงานการเสริมกำลังเพิ่มเติมแต่อย่างใด เนื่องจากฝ่ายกัมพูชาได้มีการเสริมกำลังทหาร รถถังและอาวุธหนักตลอดแนวชายแดนอย่างเต็มที่ตั้งแต่ช่วงต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว
ขณะที่บริเวณลำห้วย ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างฐานปฏิบัติการตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เก่า กับ วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ บริเวณโคปุระชั้นที่ 1 ด้านทิศตะวันตกของประสาทพระวิหาร ที่ทหารไทยและทหารกัมพูชาตรึงกำลังกันอยู่ในขณะนี้ ปรากฏว่า ฝ่ายกัมพูชาได้มีการปรับเตรียมพื้นที่เพื่อจะทำการก่อสร้างเขื่อนหรือฝายกักเก็บน้ำไว้ใช้
**สุดด้านไม่สนแม้ไทยประท้วง
ทั้งนี้ บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดนและอยู่ในพื้นที่อ้างสิทธิ 4.6 ตารางกิโลเมตร (ตร.กม.) ทางฝ่ายไทย จึงได้ทำหนังสือประท้วงไปยังรัฐบาลกัมพูชาแล้ว แต่ทางฝ่ายกัมพูชายังเมินเฉยและยังคงเดินหน้าสร้างเขื่อนหรือฝายกักเก็บน้ำดังกล่าวต่อไป โดยมีทหารไทยคอยเฝ้าจับตาดูความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดและไม่สามารถที่จะห้ามปรามได้ เนื่องจากเกรงจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา
ขณะเดียวกันที่บริเวณช่องคานม้าชายแดนไทย-กัมพูชา ต.เสาธงชัย อ.กันทร์ลักษ์ ซึ่งเป็นปากทางที่จะขึ้นไปยังภูมะเขือ ทางด้านทิศตะวันตกเขาพระวิหาร ได้มีทหารกัมพูชาจำนวนมากมาตั้งฐานบัญชาการและรวมพลกันอยู่อย่างคึกคัก โดยที่บริเวณช่องคานม้านี้ทหารกัมพูชาสามารถเคลื่อนกำลังขึ้นไปยังภูมะเขือจุดที่เคยมีการปะทะกันรุนแรงระหว่างทหารกัมพูชากับทหารไทยและเป็นบริเวณที่ทั้ง 2 ฝ่ายตรึงกำลังกันอยู่ในขณะนี้ได้อย่างรวดเร็ว เพราะระยะทางไม่ไกลจากบริเวณดังกล่าว
"จิ๋ว"สั่งแปลสื่อเขมรยกหางแจกสื่อไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (25 ต.ค.) ระหว่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมาชิกพรรคเพื่อไทย เป็นประธานเปิดการแข่งขันกอล์ฟการกุศาลของหอการค้าจังหวัดตราด นางดวงใจ จันทร เลขาธิการหอการค้าตราด ได้นำหนังสือพิมพ์ฉบับวันที่ 24 ตุลาคมหลายฉบับของกัมพูชาที่ลงตีพิมพ์เรื่องราวพล.อ.ชวลิต เดินทางไปพบ สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่กรุงพนมเปญให้พล.อ.ชวลิต ดู โดยข้อความตีพิมพ์ดังกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุนเซ็น เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความรักความผูกพันฐานเพื่อน และชาวกัมพูชาส่วนใหญ่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้รับความเป็นธรรม และเห็นด้วยกับการที่ สมเด็จฮุนเซน จะให้พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปลี้ภัยที่ประเทศกัมพูชา และเห็นว่าการที่ พล.อ.ชวลิต เดินทางไปพบสมเด็จฮุนเซ็นเป็นเรื่องดีและเป็นการตบหน้ารัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทย
**โพลระบุ ‘จิ๋ว’ ชักศึกเข้าบ้าน
วานนี้ (25 ต.ค.) สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต ได้สำรวจ ความคิดเห็นประชาชนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,847 คน เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา กรณี พล.อ.ชวลิต พบปะกับ สมเด็จฮุนเซน พบว่าประชาชน ร้อยละ 33.95 เห็นว่าเป็นเกมการเมือง การแสดงศักยภาพของ พล.อ.ชวลิต ที่เป็นการหาทางออกให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ร้อยละ 28.86 เห็นว่าเป็นการชักศึกเข้าบ้าน ทำให้ต่างประเทศเข้ามายุ่งเกี่ยว กับการเมืองไทย ร้อยละ 19.33 เห็นว่าทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาตึงเตรียดมากขึ้น ร้อยละ 11.48 เห็นว่าการพบกันจะทำให้ความขัดแย้ง ภายในของไทยแตกแยกมากขึ้น ยากที่จะแก้ไขได้
ส่วนข่าวการสร้างบ้านพักให้ พ.ต.ท.ทักษิณ การไม่ส่งตัวให้ไทย และแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้กัมพูชา มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ประชาชนร้อยละ 71.52 เห็นว่าการกระทำดังกล่าวทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ตึงเครียดมากขึ้น เพราะเป็นการเลือกข้าง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างชัดเจน ซึ่งขัดแย้งกับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างแน่นอน ร้อยละ 22.58 ไม่แน่ใจ เพราะอาจจะเป็นเพียงเกมการเมืองก็ได้
ทั้งนี้ผลสำรวจร้อยละ 35.95 เห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะส่งผลให้ การเมืองไทยร้อนแรงขึ้น มีความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ชิงความได้เปรียบกันมากขึ้น ร้อยละ 26.85 เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาขัดแย้งภายในการเมืองไทยจะแก้ไขยากขึ้น เพราะขยายผลไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ร้อยละ 21.22 เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เห็นว่านักการเมืองสามารถทำทุกอย่างเพื่อจะเอาชนะคะคานกัน