นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง ฐานสนับสนุนนักการเมืองกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เปรียบเทียบระหว่าง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และมิตรภาพสัมพันธ์คนเสื้อเหลือง - แดง ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง จากประชาชน 27 จังหวัด 4,286 ครัวเรือน ระหว่างวันที่ 22 - 24 ตุลาคม 2552 ผลการสำรวจพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.4 ขออยู่ตรงกลางยังไม่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดระหว่าง นายอภิสิทธิ์ กับ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ร้อยละ 25.0 สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ร้อยละ 21.6 สนับสนุน นายอภิสิทธิ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบแนวโน้มฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อนักการเมืองทั้งสอง พบว่า แนวโน้มตกต่ำลงทั้งสองคน เพราะคนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ตรงกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดย ฐานสนับสนุนของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ตกลงจากร้อยละ 39.7 ในเดือนกันยายน 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 25.0 ส่วนฐานสนับสนุนของ นายอภิสิทธิ์ ตกลงจากร้อยละ 27.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.6 ในการสำรวจครั้งล่าสุด
ผลสำรวจครั้งนี้ยังพบสิ่งที่ฝ่ายการเมืองทั้งที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และ นายอภิสิทธิ์ น่าพิจารณาคือ ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.6 ต่างก็อยาก เห็นมิตรภาพความสัมพันธ์ที่ดีของคนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดงในการเคลื่อนไหว ทางการเมือง ในขณะที่เพียงร้อยละ 7.4 ไม่อยากเห็นและร้อยละ 8.0 ไม่มีความเห็น
ผลสำรวจยังย้ำให้เห็นสิ่งที่น่าพิจารณาในการขับเคลื่อนการเมืองไทย ในอนาคตคือ 5 อันดับแรกวิธีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่สาธารณชนไม่อยากเห็น พบว่า ส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 92.1 ไม่อยากเห็นการใช้ความรุนแรง ทำร้ายกัน ร้อยละ 90.8 ไม่อยากเห็นการชุมนุมปิดถนน ชาวบ้านเดือดร้อน ร้อยละ 87.7 ไม่อยากเห็นการแบ่งพรรคแบ่งพวก ร้อยละ 82.6 ไม่อยากเห็นการโจมตี ตอบโต้ใช้อารมณ์ ร้อยละ 81.8 ไม่อยากเห็นการปิดหู ปิดตาประชาชน บิดเบือนความจริง
ส่วนท่าทีของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในการพบกับผู้นำกัมพูชา พบว่า ประชาชนก่ำกึ่งกันคือ ร้อยละ 42.9 เห็นด้วย เพราะ เป็นเรื่องปกติใครจะพบใครไม่สำคัญ เชื่อในเจตนาดีของ พล.อ.ชวลิต น่าจะเป็นผลดีต่อทั้งสองประเทศ ไม่มีผลอะไร ควรมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งสองประเทศ ร้อยละ 40.2 ไม่เห็นด้วย เพราะเกรงจะวุ่นวาย ขัดแย้งบานปลาย อาจมีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่ควรเข้ามายุ่งกับการเมืองอีกแล้ว เกรงจะสร้างความสับสน เป็นต้น ร้อยละ 16.9 ไม่มีความเห็น
นายนพดล กล่าวว่า แม้คนไทยส่วนใหญ่เลือกอยู่ตรงกลางมากขึ้น โดยสะท้อนให้เห็นถึงการปฏิเสธของคนไทยต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แข็งกร้าวและนำไปสู่ความแตกแยกของคนในครอบครัว ชุมชนและในสังคมไทย ตรงกันข้ามประชาชนที่อยู่ตรงกลางมักจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเชิงสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่มีประเด็นทางการเมืองเกิดขึ้นก็มักจะทำให้คนไทยที่อยู่ตรงกลางแบ่งออกเป็นสองฝ่ายมากพอๆ กัน จึงน่าเป็นห่วงในจุดนี้
นายนพดล กล่าวว่าจากการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสนทนากลุ่ม และสัมภาษณ์เชิงลึก จากประชาชนทุกสาขาอาชีพ พบบางประเด็นที่สำคัญ คือ ส่วนมากยอมรับว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นคนดี แต่จุดอ่อนของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ อยู่ตรงที่ความห่างเหิน ไม่ใกล้ชิดประชาชนอย่างแท้จริง ไม่รวดเร็วฉับไวต่อ ความเดือดร้อนของประชาชน แตกต่างไปจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ลงพื้นที่ใกล้ชิดชาวบ้าน เข้าถึงชาวบ้านด้วยตนเอง แต่ นายอภิสิทธิ์ จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมือง อยู่กับคนชนชั้นสูง เพราะภาพข่าวที่ปรากฏมักอยู่กับเวทีสัมมนา เปิดงาน บรรยายพิเศษ ตามงานต่างๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงมองว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วมีอำนาจ มากต้องสามารถแก้ปัญหาเดือดร้อนได้รวดเร็วฉับไว และไม่ชอบการพูดแก้ตัว ไม่ชอบคำพูดสวยหรูที่ไม่มีผลงานจับต้องได้
ส่วนข้อห่วงใยของประชาชนคือ กลัวว่านายอภิสิทธิ์ จะเสียโอกาสทำงาน เพื่อประชาชน และประชาชนเองก็กลัวว่าจะเสียโอกาสได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนดีไป
สำหรับคนกรุงเทพฯ มองว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีผลงานโดดเด่น ให้คนกรุงเทพฯได้มากกว่านี้ เพราะทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกรัฐมนตรีอยู่พรรคการเมืองเดียวกัน ส่วนข้อเสนอแนะในการเพิ่มฐานสนับสนุนให้ ทำงานเพื่อประชาชนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือ ประการแรก ลงพื้นที่ชนบท ห่างไกลให้มากขึ้น ประการที่สอง ลดการเปิดงาน หรือออกงาน บรรยายพิเศษลง ประการที่สาม เพิ่มเวลาแก้ปัญหาในระดับชุมชนให้เห็นผลชัดเจน รวดเร็วฉับไวมากยิ่งขึ้น เช่น ปัญหาปากท้อง ปัญหาที่ทำกิน ปัญหายาเสพติด ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบแนวโน้มฐานสนับสนุนของสาธารณชนต่อนักการเมืองทั้งสอง พบว่า แนวโน้มตกต่ำลงทั้งสองคน เพราะคนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะอยู่ตรงกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดย ฐานสนับสนุนของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ตกลงจากร้อยละ 39.7 ในเดือนกันยายน 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 25.0 ส่วนฐานสนับสนุนของ นายอภิสิทธิ์ ตกลงจากร้อยละ 27.1 มาอยู่ที่ร้อยละ 21.6 ในการสำรวจครั้งล่าสุด
ผลสำรวจครั้งนี้ยังพบสิ่งที่ฝ่ายการเมืองทั้งที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และ นายอภิสิทธิ์ น่าพิจารณาคือ ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่หรือร้อยละ 84.6 ต่างก็อยาก เห็นมิตรภาพความสัมพันธ์ที่ดีของคนเสื้อเหลือง คนเสื้อแดงในการเคลื่อนไหว ทางการเมือง ในขณะที่เพียงร้อยละ 7.4 ไม่อยากเห็นและร้อยละ 8.0 ไม่มีความเห็น
ผลสำรวจยังย้ำให้เห็นสิ่งที่น่าพิจารณาในการขับเคลื่อนการเมืองไทย ในอนาคตคือ 5 อันดับแรกวิธีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่สาธารณชนไม่อยากเห็น พบว่า ส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 92.1 ไม่อยากเห็นการใช้ความรุนแรง ทำร้ายกัน ร้อยละ 90.8 ไม่อยากเห็นการชุมนุมปิดถนน ชาวบ้านเดือดร้อน ร้อยละ 87.7 ไม่อยากเห็นการแบ่งพรรคแบ่งพวก ร้อยละ 82.6 ไม่อยากเห็นการโจมตี ตอบโต้ใช้อารมณ์ ร้อยละ 81.8 ไม่อยากเห็นการปิดหู ปิดตาประชาชน บิดเบือนความจริง
ส่วนท่าทีของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในการพบกับผู้นำกัมพูชา พบว่า ประชาชนก่ำกึ่งกันคือ ร้อยละ 42.9 เห็นด้วย เพราะ เป็นเรื่องปกติใครจะพบใครไม่สำคัญ เชื่อในเจตนาดีของ พล.อ.ชวลิต น่าจะเป็นผลดีต่อทั้งสองประเทศ ไม่มีผลอะไร ควรมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทั้งสองประเทศ ร้อยละ 40.2 ไม่เห็นด้วย เพราะเกรงจะวุ่นวาย ขัดแย้งบานปลาย อาจมีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่ควรเข้ามายุ่งกับการเมืองอีกแล้ว เกรงจะสร้างความสับสน เป็นต้น ร้อยละ 16.9 ไม่มีความเห็น
นายนพดล กล่าวว่า แม้คนไทยส่วนใหญ่เลือกอยู่ตรงกลางมากขึ้น โดยสะท้อนให้เห็นถึงการปฏิเสธของคนไทยต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แข็งกร้าวและนำไปสู่ความแตกแยกของคนในครอบครัว ชุมชนและในสังคมไทย ตรงกันข้ามประชาชนที่อยู่ตรงกลางมักจะสนับสนุนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในเชิงสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่มีประเด็นทางการเมืองเกิดขึ้นก็มักจะทำให้คนไทยที่อยู่ตรงกลางแบ่งออกเป็นสองฝ่ายมากพอๆ กัน จึงน่าเป็นห่วงในจุดนี้
นายนพดล กล่าวว่าจากการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการสนทนากลุ่ม และสัมภาษณ์เชิงลึก จากประชาชนทุกสาขาอาชีพ พบบางประเด็นที่สำคัญ คือ ส่วนมากยอมรับว่า นายอภิสิทธิ์ เป็นคนดี แต่จุดอ่อนของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ อยู่ตรงที่ความห่างเหิน ไม่ใกล้ชิดประชาชนอย่างแท้จริง ไม่รวดเร็วฉับไวต่อ ความเดือดร้อนของประชาชน แตกต่างไปจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ลงพื้นที่ใกล้ชิดชาวบ้าน เข้าถึงชาวบ้านด้วยตนเอง แต่ นายอภิสิทธิ์ จะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมือง อยู่กับคนชนชั้นสูง เพราะภาพข่าวที่ปรากฏมักอยู่กับเวทีสัมมนา เปิดงาน บรรยายพิเศษ ตามงานต่างๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังคงมองว่า เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วมีอำนาจ มากต้องสามารถแก้ปัญหาเดือดร้อนได้รวดเร็วฉับไว และไม่ชอบการพูดแก้ตัว ไม่ชอบคำพูดสวยหรูที่ไม่มีผลงานจับต้องได้
ส่วนข้อห่วงใยของประชาชนคือ กลัวว่านายอภิสิทธิ์ จะเสียโอกาสทำงาน เพื่อประชาชน และประชาชนเองก็กลัวว่าจะเสียโอกาสได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นคนดีไป
สำหรับคนกรุงเทพฯ มองว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะมีผลงานโดดเด่น ให้คนกรุงเทพฯได้มากกว่านี้ เพราะทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและนายกรัฐมนตรีอยู่พรรคการเมืองเดียวกัน ส่วนข้อเสนอแนะในการเพิ่มฐานสนับสนุนให้ ทำงานเพื่อประชาชนในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือ ประการแรก ลงพื้นที่ชนบท ห่างไกลให้มากขึ้น ประการที่สอง ลดการเปิดงาน หรือออกงาน บรรยายพิเศษลง ประการที่สาม เพิ่มเวลาแก้ปัญหาในระดับชุมชนให้เห็นผลชัดเจน รวดเร็วฉับไวมากยิ่งขึ้น เช่น ปัญหาปากท้อง ปัญหาที่ทำกิน ปัญหายาเสพติด ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน