นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวตอบคำถามนายสุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอำนวยการกลุ่มเนชั่น พิธีกรรับเชิญในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่เคลียดกับการทำงานเพราะตนเลือกมาทำงาน การเมืองเอง และก็สนุกกับงาน ตนมีความเชื่อว่าจะทำอะไรให้ดีต้องสนุกกับมัน ตนอยู่กับการเมืองมารู้ว่าการเมืองคือการแก้ปัญหา และปัญหาจะไม่มีวันหมดไป เรื่อนี้จบก็มีเรื่องใหม่มา เราก็ทำหน้าที่แก้ปัญหาไป และจะไม่ให้ปัญหาวันต่อวันมาบดบังในสิ่งที่เราอยากทำสำหรับระยะยาวด้วย ก็สนุกกับการแก้ปัญหาไป
มันสนุกตรงที่ว่าเราพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง สังคม ให้ดีขึ้น มีหลายเรื่องที่เราใฝ่ฝันว่าประเทศไทยน่าจะต้องมี ยกตัวอย่างในเรื่องระยะยาวที่อยากทำตอนนี้คือเรื่องระบบสวัสดิการที่ดี เราเริ่มเรียนฟรี เราเริ่มทำเบี้ยยังชีพ นี่เราผ่านกฎหมายเรื่องกองทุนเงินออม เราปรับปรุงระบบสุขภาพอยู่ เรื่องแบบนี้ เรามีความรู้สึกว่า เราได้มีส่วนในการผลักดันให้มันเกิดขึ้น สมมติ 5 ปี 10 ปีจากนี้ไป ระบบนี้มันเริ่มเติบโตขึ้น คนไทยถือว่ามีความมั่นคง มีสวัสดิการ คิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราพึงพอใจ
เมื่อถามว่า โดนวิจารณ์ตลอดเวลาไม่รู้สึกเลยว่ามันคุ้มหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องการเมืองเป็นเรื่องซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะเห็นเหมือนกันหมด คือการวิพากษ์วิจารณ์เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่มีใคร วิจารณ์เลยก็แสดงว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่ว่าแน่นอนล่ะ คนวิจารณ์ไม่มีใครชอบหรอก แต่ว่าเราก็ฟัง
ถ้าถามว่าหงุดหงิดบ้างไหม บางทีหงุดหงิดเวลาที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งไม่อยู่กับข้อเท็จจริง หรือว่าไม่ค่อยมีเหตุมีผลเท่าไหร่ หรือว่าถ้าเลวร้ายที่สุดก็อาจจะมีวาระแอบแฝง อันนี้ก็ไม่เป็นไร แต่มีอยู่บ้าง แต่ว่าถ้ามีข้อวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะซึ่งให้เราเห็นปัญหา เราต้องขอบคุณนะ เพราะฉะนั้น หลายเรื่องเวลาที่เป็นประเด็นขึ้นมา บางทีเราก็จะเห็นว่าทุกปัญหาเวลาถูกวิจารณ์ ผมไม่มีลักษณะที่จะไปตอบโต้ แบบที่บอกว่า คุณว่าผม ผมว่าคุณ ผมก็จะบอกว่า พยายามจะอธิบายว่าที่คุณวิจารณ์ มุมมองอาจจะต่างกัน และบางเรื่องผมต้องขอบคุณว่า เวลามีการตรวจสอบ ทำให้ผมสามารถที่จะไปมองเห็นบางจุด บางมุมได้
ต่อข้อถามว่าประเมินตัวเองหรือเปล่าบริหารมา 10 เดือนแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่อยากประเมินตัวเอง แต่คิดว่า 10 เดือนที่ผ่านมาก็มีหลายบททดสอบ ชัดเจน ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ส่วนที่มีคนมองว่ารัฐบาลชุดนี้สงสัยไม่รอด มันก็เป็นมุมมอง คืออย่างนี้ เวลาอยากจะบอกว่าอะไรนะ เป็นเด็ก อ่อน ไม่เข้มแข็ง ก็พูด บางทีก็บอกเด็กดื้อ แปลกดีนะ ก็แล้วแต่จะมอง
เมื่อถามว่า แล้วตกลงเราเป็นเด็กอะไรกันแน่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็บอกว่า ไม่รู้ว่าเด็กหรือเปล่านะ เด็กเขาไม่นับว่าตนเป็นเด็กอยู่แล้วล่ะ อายุพอสมควรแล้ว ก็กล้าให้เปรียบเทียบได้ว่า ถ้าบอกว่าเด็กคือไม่มีวุฒิภาวะ ตอบตนมาว่าไม่มีวุฒิภาวะเรื่องอะไร เรื่องความสามารถ เรื่องจริยธรรม เรื่องอารมณ์ ตรงไหนบกพร่องบอกมา
ส่วนที่มองว่านายกรัฐมนตรีซื้อเวลาไปเรื่อยไม่ยอมตัดสินใจเช่นเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ไม่ได้แต่งตั้ง ผบ.ตร. ไม่ใช่เรื่องซื้อเวลา ตนได้พูดจุดยืนชัด ว่ามันมีความแตกต่างทางความคิดของคณะกรรมการ ก.ต.ช. และเราก็พยายามที่จะหาทางที่จะไม่ให้มันเกิดความขัดแย้งที่รุนแรง เมื่อซักต่อว่า มันมีบางเรื่องที่มันมีปัจจัยนอกเหนือการควบคุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
เมื่อถามว่า ปัจจัยนอกเหนือการควบคุม มีไหม อะไรบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มี มันก็ทุกเรื่อง นอกเหนือจากเศรษฐกิจ ถามก่อนเศรษฐกิจรอบนี้ ประเทศไทย คนไทย ทำอะไรผิด เราอยู่ของเราเฉยๆ นอกเหนือความควบคุม เศรษฐกิจโลกมันล่ม ส่งออกหาย 20 % ท่องเที่ยวหาย 20 % เราก็จะมาโอดครวญว่า ไม่ใช่ความผิดของเราก็ไม่ใช่ เราก็ต้องแก้ไขไป แต่จะมาบอกว่าทำไมรัฐบาลไม่สามารถทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้เลย มันก็ต้องเข้าใจว่าเงื่อนไขมันเป็นอย่างไร
แต่ตอนนี้ผ่านมา 10 เดือน ก็ว่าการประเมินเริ่มแตกต่างแล้วนะ เมื่อต้นปี คนบอกคนจะว่างงาน 2 ล้าน เศรษฐกิจจะฟุบยาว อะไรต่าง ๆ ขณะนี้ไม่มีใครคิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้น มันก็มีความก้าวหน้าในการแก้ปัญหามาโดยลำดับ และก็กล้าบอกว่า 10 เดือนหลายเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองทุกพรรคเคยพูดมา แต่ยังไม่ได้ทำ เราทำไปเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ทำตามนี้ นโยบายอื่นๆ ก็เดินหน้า สมานฉันท์ก็อย่างที่บอกนะครับ ไม่มีใครสามารถทำให้คนทุกคนมาเห็นตรงกันอยู่แล้ว แต่ก็มีคำตอบ พอผมมีคำตอบเรื่องประชามติ คิดว่าน่าจะเป็นที่ยอมรับ แต่บังเอิญตอนนี้ฝ่ายค้านเขาเปลี่ยนใจ
เมื่อถามว่า ถ้าเลือกตั้งพรุ่งนี้พร้อมไหม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าเลือกพรุ่งนี้ ก็ต้องพร้อม ไม่มีปัญหา ส่วนจะแพ้หรือชนะอยู่ที่ประชาชน ต่อข้อถามว่าประเมินว่าประชาชนจะให้เราแพ้หรือชนะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเมินว่าถ้าแพ้ชนะทางใดทางหนึ่งก็แพ้ชนะกันไม่มาก สู้กับพรรคเพื่อไทยสูสี
ต่อข้อถามว่าแต่คนอื่นเขาประเมินว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังคิดอย่างนี้ว่าคะแนนพรรคน่าจะชนะ แต่ ส.ส.เขตยังเป็นปัญหาอยู่ ถามย้ำว่า คะแนนพรรคชนะ เอาความมั่นใจนี้มาจากไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดูจากหลายการสำรวจความคิดเห็นอะไรต่างๆ คราวที่แล้ว แพ้ไปไม่กี่แสนคะแนนจาก 30 ล้าน แพ้ไปไม่กี่แสนคะแนน หลังจากนั้นมาเราได้ทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งตนก็สัมผัสกับพี่น้องประชาชนแล้ว เขามีความพอใจ หลายคนยอมรับ บอกไม่เคยรู้มาก่อนว่า เราจะเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งเขาคิดว่าเราใจแคบ ถ้าเป็นโครงการคนอื่นโละทิ้ง วันนี้โอท็อป กองทุนหมู่บ้าน เราไปปรับปรุง ก็มีความพอใจ หลายคนก็บอกว่าเรื่องที่พูด ๆ แบบเรียนฟรี พูดไปเฉยๆ หรือเปล่า ไม่ทำจริง นี่ 3 เดือน 4 เดือนเข้ามาทำเสร็จ ก็มีหลายอย่างซึ่งคิดว่าก็เป็นที่ยอมรับ
เมื่อถามว่าพร้อมทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะอยู่ต่อ หรือยุบสภาเลือกตั้งใหม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พร้อมหมดล่ะ ต่อข้อถามอีกว่า พร้อมจะรับการปฏิวัติไหม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่พร้อม ไม่ใช่ผมไม่พร้อมครับ ประเทศไม่พร้อมครับ
มันสนุกตรงที่ว่าเราพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง สังคม ให้ดีขึ้น มีหลายเรื่องที่เราใฝ่ฝันว่าประเทศไทยน่าจะต้องมี ยกตัวอย่างในเรื่องระยะยาวที่อยากทำตอนนี้คือเรื่องระบบสวัสดิการที่ดี เราเริ่มเรียนฟรี เราเริ่มทำเบี้ยยังชีพ นี่เราผ่านกฎหมายเรื่องกองทุนเงินออม เราปรับปรุงระบบสุขภาพอยู่ เรื่องแบบนี้ เรามีความรู้สึกว่า เราได้มีส่วนในการผลักดันให้มันเกิดขึ้น สมมติ 5 ปี 10 ปีจากนี้ไป ระบบนี้มันเริ่มเติบโตขึ้น คนไทยถือว่ามีความมั่นคง มีสวัสดิการ คิดว่ามันเป็นสิ่งที่เราพึงพอใจ
เมื่อถามว่า โดนวิจารณ์ตลอดเวลาไม่รู้สึกเลยว่ามันคุ้มหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องการเมืองเป็นเรื่องซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะเห็นเหมือนกันหมด คือการวิพากษ์วิจารณ์เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่มีใคร วิจารณ์เลยก็แสดงว่าไม่ต้องรับผิดชอบอะไร แต่ว่าแน่นอนล่ะ คนวิจารณ์ไม่มีใครชอบหรอก แต่ว่าเราก็ฟัง
ถ้าถามว่าหงุดหงิดบ้างไหม บางทีหงุดหงิดเวลาที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งไม่อยู่กับข้อเท็จจริง หรือว่าไม่ค่อยมีเหตุมีผลเท่าไหร่ หรือว่าถ้าเลวร้ายที่สุดก็อาจจะมีวาระแอบแฝง อันนี้ก็ไม่เป็นไร แต่มีอยู่บ้าง แต่ว่าถ้ามีข้อวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะซึ่งให้เราเห็นปัญหา เราต้องขอบคุณนะ เพราะฉะนั้น หลายเรื่องเวลาที่เป็นประเด็นขึ้นมา บางทีเราก็จะเห็นว่าทุกปัญหาเวลาถูกวิจารณ์ ผมไม่มีลักษณะที่จะไปตอบโต้ แบบที่บอกว่า คุณว่าผม ผมว่าคุณ ผมก็จะบอกว่า พยายามจะอธิบายว่าที่คุณวิจารณ์ มุมมองอาจจะต่างกัน และบางเรื่องผมต้องขอบคุณว่า เวลามีการตรวจสอบ ทำให้ผมสามารถที่จะไปมองเห็นบางจุด บางมุมได้
ต่อข้อถามว่าประเมินตัวเองหรือเปล่าบริหารมา 10 เดือนแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่อยากประเมินตัวเอง แต่คิดว่า 10 เดือนที่ผ่านมาก็มีหลายบททดสอบ ชัดเจน ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ส่วนที่มีคนมองว่ารัฐบาลชุดนี้สงสัยไม่รอด มันก็เป็นมุมมอง คืออย่างนี้ เวลาอยากจะบอกว่าอะไรนะ เป็นเด็ก อ่อน ไม่เข้มแข็ง ก็พูด บางทีก็บอกเด็กดื้อ แปลกดีนะ ก็แล้วแต่จะมอง
เมื่อถามว่า แล้วตกลงเราเป็นเด็กอะไรกันแน่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ก็บอกว่า ไม่รู้ว่าเด็กหรือเปล่านะ เด็กเขาไม่นับว่าตนเป็นเด็กอยู่แล้วล่ะ อายุพอสมควรแล้ว ก็กล้าให้เปรียบเทียบได้ว่า ถ้าบอกว่าเด็กคือไม่มีวุฒิภาวะ ตอบตนมาว่าไม่มีวุฒิภาวะเรื่องอะไร เรื่องความสามารถ เรื่องจริยธรรม เรื่องอารมณ์ ตรงไหนบกพร่องบอกมา
ส่วนที่มองว่านายกรัฐมนตรีซื้อเวลาไปเรื่อยไม่ยอมตัดสินใจเช่นเรื่องการแต่งตั้ง ผบ.ตร. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ไม่ได้แต่งตั้ง ผบ.ตร. ไม่ใช่เรื่องซื้อเวลา ตนได้พูดจุดยืนชัด ว่ามันมีความแตกต่างทางความคิดของคณะกรรมการ ก.ต.ช. และเราก็พยายามที่จะหาทางที่จะไม่ให้มันเกิดความขัดแย้งที่รุนแรง เมื่อซักต่อว่า มันมีบางเรื่องที่มันมีปัจจัยนอกเหนือการควบคุม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง
เมื่อถามว่า ปัจจัยนอกเหนือการควบคุม มีไหม อะไรบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มี มันก็ทุกเรื่อง นอกเหนือจากเศรษฐกิจ ถามก่อนเศรษฐกิจรอบนี้ ประเทศไทย คนไทย ทำอะไรผิด เราอยู่ของเราเฉยๆ นอกเหนือความควบคุม เศรษฐกิจโลกมันล่ม ส่งออกหาย 20 % ท่องเที่ยวหาย 20 % เราก็จะมาโอดครวญว่า ไม่ใช่ความผิดของเราก็ไม่ใช่ เราก็ต้องแก้ไขไป แต่จะมาบอกว่าทำไมรัฐบาลไม่สามารถทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมได้เลย มันก็ต้องเข้าใจว่าเงื่อนไขมันเป็นอย่างไร
แต่ตอนนี้ผ่านมา 10 เดือน ก็ว่าการประเมินเริ่มแตกต่างแล้วนะ เมื่อต้นปี คนบอกคนจะว่างงาน 2 ล้าน เศรษฐกิจจะฟุบยาว อะไรต่าง ๆ ขณะนี้ไม่มีใครคิดอย่างนั้น เพราะฉะนั้น มันก็มีความก้าวหน้าในการแก้ปัญหามาโดยลำดับ และก็กล้าบอกว่า 10 เดือนหลายเรื่องซึ่งเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองทุกพรรคเคยพูดมา แต่ยังไม่ได้ทำ เราทำไปเยอะแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ทำตามนี้ นโยบายอื่นๆ ก็เดินหน้า สมานฉันท์ก็อย่างที่บอกนะครับ ไม่มีใครสามารถทำให้คนทุกคนมาเห็นตรงกันอยู่แล้ว แต่ก็มีคำตอบ พอผมมีคำตอบเรื่องประชามติ คิดว่าน่าจะเป็นที่ยอมรับ แต่บังเอิญตอนนี้ฝ่ายค้านเขาเปลี่ยนใจ
เมื่อถามว่า ถ้าเลือกตั้งพรุ่งนี้พร้อมไหม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าเลือกพรุ่งนี้ ก็ต้องพร้อม ไม่มีปัญหา ส่วนจะแพ้หรือชนะอยู่ที่ประชาชน ต่อข้อถามว่าประเมินว่าประชาชนจะให้เราแพ้หรือชนะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเมินว่าถ้าแพ้ชนะทางใดทางหนึ่งก็แพ้ชนะกันไม่มาก สู้กับพรรคเพื่อไทยสูสี
ต่อข้อถามว่าแต่คนอื่นเขาประเมินว่าพรรคประชาธิปัตย์จะแพ้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังคิดอย่างนี้ว่าคะแนนพรรคน่าจะชนะ แต่ ส.ส.เขตยังเป็นปัญหาอยู่ ถามย้ำว่า คะแนนพรรคชนะ เอาความมั่นใจนี้มาจากไหน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ดูจากหลายการสำรวจความคิดเห็นอะไรต่างๆ คราวที่แล้ว แพ้ไปไม่กี่แสนคะแนนจาก 30 ล้าน แพ้ไปไม่กี่แสนคะแนน หลังจากนั้นมาเราได้ทำอะไรหลายอย่าง ซึ่งตนก็สัมผัสกับพี่น้องประชาชนแล้ว เขามีความพอใจ หลายคนยอมรับ บอกไม่เคยรู้มาก่อนว่า เราจะเป็นแบบนี้ แม้กระทั่งเขาคิดว่าเราใจแคบ ถ้าเป็นโครงการคนอื่นโละทิ้ง วันนี้โอท็อป กองทุนหมู่บ้าน เราไปปรับปรุง ก็มีความพอใจ หลายคนก็บอกว่าเรื่องที่พูด ๆ แบบเรียนฟรี พูดไปเฉยๆ หรือเปล่า ไม่ทำจริง นี่ 3 เดือน 4 เดือนเข้ามาทำเสร็จ ก็มีหลายอย่างซึ่งคิดว่าก็เป็นที่ยอมรับ
เมื่อถามว่าพร้อมทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะอยู่ต่อ หรือยุบสภาเลือกตั้งใหม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พร้อมหมดล่ะ ต่อข้อถามอีกว่า พร้อมจะรับการปฏิวัติไหม นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่พร้อม ไม่ใช่ผมไม่พร้อมครับ ประเทศไม่พร้อมครับ