“สอดแนมการเมือง”
โดย...ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
วันหยุดสุดสัปดาห์..ผมอยากพูดเรื่องหมา-หมาครับ!
หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 จรด 6 ตุลาคม 2519 ถือเป็นยุคปะทะทางความคิดก่อนจะกลายเป็นการเมืองที่หลั่งเลือด ระหว่างกระแสระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ความคิดสังคมนิยมนั้นมีแกนนำนักเรียน-นิสิต-นักศึกษาและประชาชนจำนวนหนึ่ง เป็นหัวหอกในการเคลื่อนไหว โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยชี้นำอยู่เบื้องหลัง
ในขณะที่ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ก็เคลื่อนไหวต่อต้านระบอบกระแสสังคมนิยมฯอย่างหนักหน่วงเช่นกัน
การต่อสู้ทางการเมืองครั้งนั้นถือเป็นยุทธการได้-เสีย หากฝ่ายคอมมิวนิสต์ชนะศึก แน่นอน..สถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องล่มสลายลงในทันที เพราะระบอบสังคมนิยมถือว่า ระบอบศักดินา(ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข)เป็นสิ่งล้าหลังในสังคม ที่ระบอบทุนนิยมสามานย์และสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ จะต้องโค่นล้มหรือกำจัดให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย
ประจวบกับห้วงนั้น..คอมมิวนิสต์เวียดนาม กัมพูชา ลาว ยึดอำนาจรัฐได้โดยเบ็ดเสร็จ ทฤษฎีโดมิโนจึงยิ่งเขย่าขวัญไปทั่วทั้งภูมิภาคนี้ ทำให้การต่อสู้ทางความคิดและการเคลื่อนไหวทางการเมือง ของทั้งสองฝ่ายยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดความแตกต่างทางการเมือง ได้กลายเป็นการเมืองที่หลั่งเลือด!
สุดท้าย..การเมืองหลั่งเลือดในไทยยุคนั้นก็จบลง ขบวนการสังคมนิยมคอมมิวนิสต์..แพ้ ฝ่ายระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..ชนะ
ครั้งนั้นมีนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ที่หนีรอดเงื้อมมือคณะทหารที่ยึดอำนาจรัฐไว้ในกำมือได้ พากันเดินทางเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลในยุคนั้นด้วยอาวุธ
ตอนนั้น..ผมไม่รู้อิโหน่อิเหน่เรื่องสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ แต่ได้เดินทางเข้าสู่เขตป่าเขาเช่นกัน และถูกจัดให้เข้าโรงเรียนการเมืองการทหารที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ จากนั้นก็ถูกส่งตัวไปอยู่ยังภูหินร่องกล้า จังหวัดพิษณุโลก
แต่ดวงผมมันชีพจรผมลงเท้าครับ เลขาธิการพรรคคอมฯเดินทางมาประชุมที่ภูร่องกล้า เมื่อจบการประชุม..ก็มีคำสั่งด่วน ให้ผมเดินทางไปยังชายแดนประเทศลาว-จีนร่วมกับเขาในทันที
เมื่อ“ป๋าเปรม”ผลักดันนโยบาย 66/2523 มีการนิรโทษกรรมทางการเมือง คอมมิวนิสต์จีนได้ยุติการช่วยเหลือคอมมิวนิสต์ไทย รวมทั้งคอมมิวนิสต์ไทยก็ทะเลาะกับคอมมิวนิสต์เวียดนาม กัมพูชา ลาว แนวหลังที่เคยเป็นทั้งแหล่งอาหาร-อาวุธ-ที่พักพิง กลายกลับเป็นจุดอันตรายในทันที
คอมมิวนิสต์ไทยส่งผมกับเพื่อนๆ เดินทางเข้ามายังจังหวัดน่าน ซึ่งทำให้ผมได้พบ“หมา”พันธุ์อัลเซเชียลผสมหมาไทยสีน้ำตาลอ่อนตัวหนึ่ง ขาซ้ายมันพิการ..ต้องวิ่งกะโผลกกะเผลกสามขา
หมาชราและพิการตัวนี้ชื่อ “ไอ้เสือ” มันเป็นหมาที่ทหารปลดแอกรู้จักกันเป็นอย่างดี สมัยหนุ่ม“ไอ้เสือ”ชอบฉายเดี่ยวท่องไปยัง“ทับ”ต่างๆ ของทหารปลดแอกฯ และจะได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีเสียด้วย เพราะหมาอย่าง“ไอ้เสือ”ไปที่ไหน ก็มักจะต้อนกวางมาให้มนุษย์นักล่ายิง ปีละไม่ต่ำกว่าสองร้อยตัวเศษเสมอมา
การล่าเป็นทีมระหว่างหมากับคนนั้น..ง่ายมาก เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์นักล่าถือปืนเตรียมล่า “ไอ้เสือ”หมาแสนรู้จะวิ่งนำหน้าหายลับเข้าไปในป่า ไม่นาน“ไอ้เสือ”จะวิ่งไล่เห่าและต้อนกวางโผล่ออกมาจากราวป่า วิ่งตรงมาให้มนุษย์นักล่าที่ยืนถือปืนยิง..เปรี้ยง..
เมื่อกวางล้มลง“ไอ้เสือ”จะตรงเข้าไปกัดที่คอกวาง มนุษย์นักล่าที่รู้ใจจะตัดเนื้อส่วนนั้นให้“ไอ้เสือ”กินก่อนเป็นรางวัล
ที่มาของชื่อ“ไอ้เสือ”นั้นเป็นตำนานของหมาไม่กลัวเสือครับ เสือร้ายแอบเข้าไปกินหมูที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตคอมมิวนิสต์ เสือถูกชาวบ้านยิงได้รับบาดเจ็บ ทำให้ทหารปลดแอกต้องจัดนหน่วยล่าเสือบาดเจ็บขึ้น ปกติหมาต้องกลัวเสือ.. แต่หมาพันธุ์ผสมตัวนี้กลับไม่กลัวเสือ มันเดินนำทหารปลดแอกตามกลิ่นเสือจนพบ
เมื่อทหารปลดแอกลั่นไกปืนยิงเสือตัวนั้น เจ้าหมาตัวนี้ก็วิ่งเข้าไปงับคอเสือร้ายต่อหน้าผู้คน ชาวบ้านและคอมมิวนิสต์จึงลงมติให้หมาตัวนี้ชื่อ“ไอ้เสือ”ครับ
ทำไมขาหลังข้างซ้ายของ”ไอ้เสือ”พิการน่ะหรือ? เพราะ“ไอ้เสือ”ไปเจอมนุษย์นักล่ายิงปืนห่วย เลยยิงกวางพลาดมาโดนเอาขาหลัง“ไอ้เสือ”แทน หมอคอมมิวนิสต์ต้องรักษามันอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้น”ไอ้เสือ”เข็ดครับ มันไม่เคยออกล่ากวางกับมนุษย์ฝีมือห่วยคนนั้นอีกเลย
อย่างไรก็ตาม..แม้ขาจะพิการและวิ่งโขยกเขยก แต่“ไอ้เสือ”ไปก็ยังคงออกล่ากวางอยู่เช่นเคย ขาพิการไม่เป็นอุปสรรคครับ “ไอ้เสือ”ใช้สมองอันชาญฉลาดเปลี่ยนวิธีให้กวางวิ่งช้าลง ด้วยการต้อนกวางให้ลงไปวิ่งทวนน้ำในห้วย เพื่อให้มนุษย์นักล่ายิงอย่างสบายใจเฉิบไงล่ะครับ
ตัวผมได้เห็น-ได้กินกวางที่ “ไอ้เสือ”ต้อนมาให้มนุษย์นักล่ายิงกว่าสิบตัว “ไอ้เสือ”จึงเป็นหมาที่ชาวคอมมิวนิสต์ยกย่อง และมีเบี้ยเลี้ยงเท่าทหารหน่วยรบพิเศษคนหนึ่ง จะมีเวรทหารปลดแอกอาบน้ำให้“ไอ้เสือ”ผู้รักความสะอาด รวมทั้งอาหารการกินเป็นอย่างดีทีเดียว
แต่หมาล่าเนื้อ-คือ-หมาล่าเนื้อ ผมพบมันตอนแก่แล้ว “ไอ้เสือ”ไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร “ไอ้เสือ”ตายอย่างสงบในหน่วยทหารที่ผมสังกัดครับ
เราฝังศพ“ไอ้เสือ”ตรงเนินเขาแห่งหนึ่ง มีทหารปลดแอกที่รู้จัก“ไอ้เสือ”กล่าวสดุดี ถึง ความดีและผลงานของ“ไอ้เสือ”ตั้งแต่หนุ่ม-ชรา-ตายอย่างสงบ
ที่มาของ“ไอ้เสือ”นั้น มันเป็นหมาที่ค่ายทหารรัฐบาลในอีกฟากเขาหนึ่งเลี้ยงไว้ แต่“ไอ้เสือ”ดันหลงทางเข้ามาในเขตทหารปลดแอกด้วยอาการหิวโซ “ไอ้เสือ”ได้อาหารกินประทังชีวิต ก่อนจะเดินตามทหารปลดแอกกลุ่มนั้น เข้าไปยังฐานที่มั่นของคอมมิวนิสต์ หลังจากนั้น“ไอ้เสือ”ก็อยู่กับทหารปลดแอกอย่างซื่อสัตย์จนสิ้นชีวิตกลางป่าเขา
“ป๋าเปรม”กับ“บิ๊กแม้ว”นั้น คนไทยส่วนใหญ่ในชาติไทยรู้ว่า ใครเป็นคนดี-ใครเป็นคนชั่ว ใครซื่อสัตย์-ใครขี้โกง ใครจงรักภักดี-ใครไม่จงรักภักดี..จริงไหม?
แต่ก็มีคนบางคน-บางกลุ่ม-บางพวก เข้าไปช่วยคนชั่วเพราะเห็นแก่เงิน-อำนาจ-ผลประโยชน์ ถือเป็นการทรยศชาติบ้านเมืองและประชาชนหรือไม่?
“ไอ้เสือ”เป็นหมา-เหนือหมา เป็นหมา-เหนือคนบางคน หมา-เหนือคนบางกลุ่ม หมา-เหนือคนบางพวก ที่วันนี้ได้เข้าไปเป็น“หมา”รับใช้คนชั่ว!
วันหยุดสบายๆแบบนี้..ผมจึงนึกถึง“หมา”บางตัว ที่ดีกว่า“คน”บางคน-บางกลุ่ม-บางพวก ที่หิวเงิน-หิวอำนาจ-หิวผลประโยชน์..จริงไหมครับ..ฮ่าฮ่าฮ่า!!!