นายประเสริฐ ธีรนาคนาท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน สายงานกลั่นกรองสินเชื่อ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปล่อยสินเชื่อวงเงิน 50 ล้านบาทขึ้นไปของธนาคารในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาว่า ได้พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้กับลูกค้าในภาคธุรกิจต่างๆไปแล้วกว่า 378,000 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 3 อนุมัติสินเชื่อที่เป็นเม็ดเงินและภาระผูกพันไป 220,000 ล้านบาท ส่วนในไตรมาสสุดท้าย คาดว่าจะสามารถอนุมัติสินเชื่อใหม่วงเงิน 50 ล้านบาทขึ้นไป ไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท โดยเฉพาะสินเชื่อสนับสนุนมาตรการไทยเข้มแข็ง ขณะนี้มีผู้ยื่นขอสินเชื่อจำนวนมาก
"ธนาคารเชื่อมั่นว่าในไตรมาสสุดท้าย การพิจารณาสินเชื่อจะเพิ่มมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา ซึ่งจากการสำรวจลูกค้าสินเชื่อของธนาคาร พบว่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ 52.31 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ความเชื่อมั่นสูงเกินระดับ 50ประกอบกับเป็นช่วงฤดูกาลที่มีการใช้สินเชื่อสูง เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยว สินค้าเกษตรออกสู่ตลาด และงานก่อสร้างเดินหน้าเต็มที่"
นายประเสริฐกล่าวอีกว่า สินเชื่อที่ผ่านการกลั่นกรองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาของธนาคาร เกิดเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL เพียง 200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.05% เท่านั้น โดยในช่วง 2 ปีหลัง ไม่ปรากฏหนี้ NPL ซึ่งขณะนี้ธนาคารได้เริ่มนำ Business & Credit Model มาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อของทั้งธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลาง ทั้งนี้ เพื่อรองรับการพิจารณาสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น โดยเป็น Model ที่ชี้ถึงความเสี่ยงของธุรกิจ การเปรียบเทียบตัวเลขทางการเงินตามขนาดของธุรกิจ จะช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ล่าสุด ผลประกอบของธนาคารกรุงไทยในไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 4,250 ล้านบาท มีกำไรสุทธิหุ้นละ 0.38 บาท ส่วนในงวด 9 เดือน ธนาคารมีกำไรสุทธิ 9,471 ล้านบาท มีกำไรสุทธิหุ้นละ 0.85 บาท โดยในไตรมาส 3 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิ 11,220 ล้านบาท มีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย 3,728 ล้านบาท โดยมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ 2,702 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ร้อยละ 3.20 ธนาคารได้สำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามปกติเดือนละ 500 ล้านบาท รวมเป็นสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 1,566 ล้านบาท
ด้านเงินให้สินเชื่อรวมมีจำนวน 1,047,704 ล้านบาท มีเงินฝาก 1,145,087 ล้านบาท มีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 90,088 ล้านบาท โดยสัดส่วน NPL (gross) ลดลงจากร้อยละ 7.68 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 7.33 และสัดส่วน NPL (net) ลดลงจากร้อยละ 5.42 เป็นร้อยละ 4.95 มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 106,068 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.35
"ธนาคารเชื่อมั่นว่าในไตรมาสสุดท้าย การพิจารณาสินเชื่อจะเพิ่มมากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมา ซึ่งจากการสำรวจลูกค้าสินเชื่อของธนาคาร พบว่าความเชื่อมั่นอยู่ในระดับ 52.31 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ความเชื่อมั่นสูงเกินระดับ 50ประกอบกับเป็นช่วงฤดูกาลที่มีการใช้สินเชื่อสูง เพราะเป็นฤดูท่องเที่ยว สินค้าเกษตรออกสู่ตลาด และงานก่อสร้างเดินหน้าเต็มที่"
นายประเสริฐกล่าวอีกว่า สินเชื่อที่ผ่านการกลั่นกรองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาของธนาคาร เกิดเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL เพียง 200 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.05% เท่านั้น โดยในช่วง 2 ปีหลัง ไม่ปรากฏหนี้ NPL ซึ่งขณะนี้ธนาคารได้เริ่มนำ Business & Credit Model มาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อของทั้งธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดกลาง ทั้งนี้ เพื่อรองรับการพิจารณาสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น โดยเป็น Model ที่ชี้ถึงความเสี่ยงของธุรกิจ การเปรียบเทียบตัวเลขทางการเงินตามขนาดของธุรกิจ จะช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ล่าสุด ผลประกอบของธนาคารกรุงไทยในไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2552 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 4,250 ล้านบาท มีกำไรสุทธิหุ้นละ 0.38 บาท ส่วนในงวด 9 เดือน ธนาคารมีกำไรสุทธิ 9,471 ล้านบาท มีกำไรสุทธิหุ้นละ 0.85 บาท โดยในไตรมาส 3 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิ 11,220 ล้านบาท มีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย 3,728 ล้านบาท โดยมีรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ 2,702 ล้านบาท มีอัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ร้อยละ 3.20 ธนาคารได้สำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญตามปกติเดือนละ 500 ล้านบาท รวมเป็นสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 1,566 ล้านบาท
ด้านเงินให้สินเชื่อรวมมีจำนวน 1,047,704 ล้านบาท มีเงินฝาก 1,145,087 ล้านบาท มีสินเชื่อด้อยคุณภาพจำนวน 90,088 ล้านบาท โดยสัดส่วน NPL (gross) ลดลงจากร้อยละ 7.68 ในปี 2551 เป็นร้อยละ 7.33 และสัดส่วน NPL (net) ลดลงจากร้อยละ 5.42 เป็นร้อยละ 4.95 มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 106,068 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.35