ใครจะสังเกตบ้างไหมว่าช่วงระยะเวลา 1 ปีมานี้มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่นั่น ที่นี่ อย่างไม่หยุดหย่อน และในระยะ 1 เดือนมานี้ก็เกิดแผ่นดินไหวแทบทุกวัน ทั้งขนาดความรุนแรงก็เพิ่มมากขึ้นกว่าทุกระยะที่ผ่านมา
แผ่นดินไหวบางครั้งที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลกได้ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก และถ้าไหวในทะเลก็จะเกิดคลื่นลมแรง กระทั่งกลายเป็นสึนามิ แล้วทำให้ผู้คนตายจำนวนมากเช่นเดียวกัน
นั่นคือสัญญาณเตือนภัยที่พระแม่ธรณีได้ส่งสัญญาณเตือนภัยต่อมวลมนุษย์ว่ากำลังจะเกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ และต้องกลับเนื้อกลับตัวกันเสียใหม่ หาไม่แล้ววันสิ้นโลกก็คงมาถึงเร็วกว่าปกติอย่างแน่นอน
ในห้วงเวลานี้พวกนักดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ก็คาดการณ์กันว่าในปี 2012 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าจะมีดาวดวงหนึ่งหรืออาจเรียกว่าเป็นเทหะวัตถุขนาดใหญ่เคลื่อนตัวไปมาในอวกาศ จะพุ่งเข้าชนโลก จะทำให้เกิดไฟไหม้ส่วนใหญ่ของโลก จนชีวิตทั้งหลายในโลกนี้ต้องล้มหายตายจากไปเกือบหมด
จนนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มที่เชื่อว่าจะเป็นจริงกำลังคิดการเตรียมสร้างยานอวกาศเพื่อสรรหาเอามนุษย์จำนวนหนึ่งขึ้นไปลอยตัวอยู่บนอวกาศเสียก่อน ทำนองเดียวกับการสร้างเรือโนอาร์ในพระคัมภีร์นั่นเอง
เรื่องนี้มีคนเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีแนวที่สอดคล้องกับคำพยากรณ์สำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์สิ้นโลกของศาสนาสำคัญๆ ในโลกนี้ ที่ว่าการสิ้นโลกครั้งที่จะมาถึงนี้จะไม่สิ้นไปด้วยน้ำเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่จะสิ้นไปด้วยไฟหรือที่เรียกว่าไฟประลัยกัลป์นั่นแล
แต่เรื่องนี้ก็มีคนไม่เชื่ออยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน ล่าสุดมีกลุ่มนักดาราศาสตร์สากลออกมารายงานความเห็นของตนว่า ในห้วงเวลาดังกล่าวจะไม่มีเหตุการณ์ดาวเคราะห์อื่นใดพุ่งเข้าชนโลก
คนทั่วไปก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อข้างไหนดี แต่ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนี้ก็คงไม่มีใครคิดอ่านป้องกันแก้ไขอะไรได้ เพราะถ้าหากไม่เกิดเหตุร้ายก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วใครไหนจะป้องกันได้เล่า สรรพชีวิตย่อมต้องเป็นไปตามกรรมเป็นแท้
นั่นเป็นเรื่องมหันตภัยที่มาจากนอกโลก แต่สำหรับมหันตภัยที่จะเกิดกับโลกโดยมีต้นเหตุมาจากการกระทำของน้ำมือมนุษย์ด้วยกันนั้น นับว่าเป็นภัยที่ใกล้ตัวกว่า มีที่ไปที่มาที่สามารถระงับดับเหตุเสียก่อนได้ หากว่าเข้าใจและรู้เท่าทัน จึงมาพูดกันในเรื่องนี้จะดีกว่า
อันเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นทั่วไปในโลกมีความถี่มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้นนั้น เป็นผลธรรมดาธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดผลเช่นนั้น
และเหตุปัจจัยนั้นก็เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ที่ทำร้ายทำลายพระแม่ธรณีผู้มีพระคุณ ซึ่งได้ให้ที่กำเนิด ที่อยู่อาศัย ที่ทำกินและที่ตาย แต่มนุษย์หาได้สำนึกในพระคุณของพระแม่ธรณีไม่ กลับทำร้ายทำลายท่านอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่รามือ
จนพระแม่ธรณีทนนิ่งอยู่ไม่ไหว ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวจึงดิ้นรนเร่าๆ ไป นั่นคือแสดงออกด้วยอาการแผ่นดินไหวนั่นเอง
มนุษย์ทำร้ายทำลายพระแม่ธรณีผู้มีพระคุณแก่ตนอย่างไรเล่า? ลองมาจำแนกแจกแจงกันดูก็จะเห็นได้ชัด
ก่อนอื่นก็อยากจะอ้างความในพระสูตรอันมีมาในพระพุทธศาสนาว่า พิภพของเรานี้แม้พื้นผิวจะมีดินและน้ำอยู่ที่เปลือกผิวโลกก็ตาม แต่พื้นผิวโลกนั้นโดยความรวมก็เป็นดิน และลึกลงไปจากชั้นดินก็เป็นประเภทชั้นหินต่างๆ ซึ่งจัดว่าเป็นจำพวกดินเช่นเดียวกัน เหตุนี้ท่านจึงว่าเป็นพื้นดิน หรือพระแม่ธรณีนั่นเอง
ใต้พื้นดินนี้รองด้วยน้ำ ซึ่งรวมทั้งน้ำธรรมดา น้ำมัน และของเหลวต่างๆ แต่จะรองกันอย่างไร ในวันนี้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังมีความจำกัดอยู่มาก ที่ค้นคว้าได้ก็รู้แต่เพียงว่าใต้พื้นผิวดินนั้นมีน้ำหลายชนิด หลายประเภท แต่จะมีจำนวนเท่าใดและล้ำลึกลงไปเพียงไหน ความรู้มนุษย์ยังจำกัดมาก
ใต้แผ่นน้ำภายใต้พิภพนั้นรองไว้ด้วยลม และลมในที่นี้ย่อมหมายความรวมถึงก๊าซชนิดต่างๆ
พระสูตรยังระบุไว้อีกว่า ใต้ลมก็รองไว้ด้วยไฟ และยังเป็นไฟที่เผาผลาญอยู่ไม่มีวันที่สิ้นสุด แม้ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จะยอมรับแล้วว่ามีไฟที่ร้อนแรงอยู่ใต้พิภพนี้ก็ตาม แต่ยังไม่สามารถรู้ได้ทั่วถ้วนว่าปริมาณและการทำงานที่ทำให้เกิดไฟใต้พิภพนั้นเป็นอย่างไร
คงรู้แต่เพียงว่าเป็นไฟที่เผาผลาญอย่างยาวนานมานับล้าน ๆ ปีแล้ว และจะยังคงเผาผลาญต่อไปไม่มีวันที่จะสิ้นสุด
จึงรวมความได้ว่าพิภพอันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์เรานี้มี 4 ชั้น คือชั้นพื้นผิวได้แก่แผ่นดินหรือพระแม่ธรณี รองด้วยน้ำ ถัดจากน้ำรองด้วยลม ถัดจากลมรองด้วยไฟ
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาการของสังคมมนุษย์ทำให้ลัทธิบริโภคนิยมเกิดขึ้น ลัทธิทุนนิยมสามานย์เกิดขึ้น ความเห็นแก่ตัวและความไม่รู้จักพอก็เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่คิดถึงเหตุผลต้นปลายใดๆ อะไรที่ทำให้เกิดการบริโภคได้มากและต้นทุนต่ำหรือสามารถหากำไรได้ก็ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
แหล่งเก็บน้ำไม่พอก็ขุดเอาน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ ใช้กันอย่างไม่บันยะบันยัง จนกระทั่งแผ่นดินทรุดเป็นจุดเป็นหย่อม จนหลายพื้นที่ในโลกนี้กำลังทรุดตัวลงไปในพระมหาสมุทร เพราะมีน้ำกล้ำกรายสูงขึ้นมาท่วมมากเข้าทุกที จนขณะนี้ก็เริ่มมีความวิตกกันแล้วว่าผืนโลกหลายแห่งกำลังจะจมลงไปในทะเล
นอกจากน้ำก็ขุดเอาน้ำมันทุกชนิดเท่าที่จะขุดขึ้นมาได้ เพื่อมาใช้สอย เพื่อความสุข ความสนุกสนานและเพื่อหากำไรกันอย่างกว้างขวาง โดยมิได้คำนึงแม้แต่น้อยว่าน้ำมันจากใต้ดินแต่ละบาร์เรลนั้นกว่าจะเกิดเป็นน้ำมันได้ก็ใช้เวลานับล้านๆ ปี แต่มนุษย์นำมาใช้ในรูปน้ำมันเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าวก็หมดไปแล้ว และไม่หมดเปล่า กลับแปรเปลี่ยนเป็นมลพิษที่เป็นพิษทำลายมนุษย์ด้วยกันเองต่อไป
เท่ากับว่าชั้นน้ำอันเป็นชั้นที่รองแผ่นดินก็หดแห้งเหือดหายลงไปเป็นอันมาก และอีกไม่นานก็คงจะหมดเกลี้ยง
ขุดน้ำและน้ำมันอันเป็นชั้นน้ำขึ้นมาใช้ก็ยังไม่สาแก่ใจ ความละโมบโลภมาก ความเห็นแก่ตัว และความต้องการกำไรก็ยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ทำร้ายทำลายพระแม่ธรณีต่อไปด้วยการขุดเอาก๊าซซึ่งเป็นส่วนของผืนลมที่รองแผ่นน้ำอยู่อีกชั้นหนึ่งขึ้นมาใช้
มนุษย์รู้จักนำเอาก๊าซมาใช้นับพันปีแล้วก็จริงแต่นั่นเป็นไปโดยบังเอิญและโดยธรรมชาติ ไม่ได้มีจำนวนมากมายกระไรนัก แต่มาบัดนี้การขุดก๊าซธรรมชาติจากใต้พิภพขึ้นมาใช้ได้ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน และมากขึ้นทุกทีอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมิได้คำนึงว่ากว่าจะเป็นก๊าซหรือก๊าซเหล่านั้นดำรงอยู่มานับล้านๆ ปีแล้ว แต่มนุษย์กลับขุดมาใช้ให้หมดไปในแค่พริบตา แล้วปล่อยมลพิษอันเป็นพิษขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นอีก
เท่ากับว่าชั้นลมอันเป็นชั้นที่รองน้ำอยู่ก็หดตัวและกระทบต่อชั้นลมโดยรวม ส่งผลไปกระทบต่อชั้นน้ำด้วย
เท่านั้นก็ยังไม่พอ หลายประเทศในยุโรปที่มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็เห็นว่าการใช้น้ำมันและก๊าซยังมีต้นทุนที่สูง เพราะต้องนำมาเข้าโรงกลั่น โรงแยก สู้เอาพลังงานความร้อนมาใช้กันตรงๆ ไม่ได้ ว่าแล้วก็นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นขุดเจาะเอาความร้อนจากใต้พิภพขึ้นมาใช้ และเริ่มใช้กันไปมากในหลายประเทศแล้ว
รวมความว่านอกจากชั้นน้ำอันรองแผ่นดิน นอกจากชั้นลมอันรองแผ่นน้ำแล้ว มนุษย์ยังทำลายทำร้ายพระแม่ธรณีเพิ่มขึ้นอีกโดยการนำเอาไฟหรือความร้อนจากใต้พิภพขึ้นมาใช้อีกแหล่งหนึ่ง สิริรวมก็คือฐานของแผ่นดินคือพระแม่ธรณีกำลังถูกขุด ถูกเจาะ ถูกสูบ ถูกดูดขึ้นมาใช้อย่างไม่บันยะบันยัง และอย่างไม่หยุดยั้ง
ทำให้ฐานที่รองแผ่นดินอันเป็นผิวพิภพหดตัวลงอย่างกว้างขวาง และเป็นปริมาณที่มาก จนส่งผลกระทบต่อผืนแผ่นดินแล้ว อุปมาดั่งพื้นบ้านเมื่อขุดเจาะเอาดินเอาน้ำใต้ถุนบ้านออกมา ในที่สุดบ้านก็ต้องพังลงฉันใด ผืนพิภพหรือพระแม่ธรณีอันเป็นที่อยู่อาศัยของเรานี้ก็จะต้องถึงกาลพังทลายลงมาสักวันหนึ่ง
ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอย่างหนาตาและรุนแรงมากขึ้น ก็คือผลอันเกิดจากการรื้อฐานรากพื้นผิวพิภพซึ่งนับว่าเป็นการทำร้ายทำลายพระแม่ธรณี เป็นการเนรคุณต่อพระแม่ธรณีท่าน จนท่านกำลังทนไม่ไหวแล้ว แสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวดิ้นรนด้วยอาการแผ่นดินไหวให้ปรากฏ
มวลมนุษย์ทั้งผองจึงต้องรู้ถึงเหตุและผล รวมทั้งอาการดิ้นรนของพระแม่ธรณีแล้วหยุดยั้งการทำร้ายทำลายท่านเสียให้ทันท่วงที มิฉะนั้นสักวันหนึ่งการสิ้นโลกก็จักมาถึงเป็นแน่แท้.
แผ่นดินไหวบางครั้งที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลกได้ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก และถ้าไหวในทะเลก็จะเกิดคลื่นลมแรง กระทั่งกลายเป็นสึนามิ แล้วทำให้ผู้คนตายจำนวนมากเช่นเดียวกัน
นั่นคือสัญญาณเตือนภัยที่พระแม่ธรณีได้ส่งสัญญาณเตือนภัยต่อมวลมนุษย์ว่ากำลังจะเกิดมหันตภัยครั้งใหญ่ และต้องกลับเนื้อกลับตัวกันเสียใหม่ หาไม่แล้ววันสิ้นโลกก็คงมาถึงเร็วกว่าปกติอย่างแน่นอน
ในห้วงเวลานี้พวกนักดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ก็คาดการณ์กันว่าในปี 2012 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าจะมีดาวดวงหนึ่งหรืออาจเรียกว่าเป็นเทหะวัตถุขนาดใหญ่เคลื่อนตัวไปมาในอวกาศ จะพุ่งเข้าชนโลก จะทำให้เกิดไฟไหม้ส่วนใหญ่ของโลก จนชีวิตทั้งหลายในโลกนี้ต้องล้มหายตายจากไปเกือบหมด
จนนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มที่เชื่อว่าจะเป็นจริงกำลังคิดการเตรียมสร้างยานอวกาศเพื่อสรรหาเอามนุษย์จำนวนหนึ่งขึ้นไปลอยตัวอยู่บนอวกาศเสียก่อน ทำนองเดียวกับการสร้างเรือโนอาร์ในพระคัมภีร์นั่นเอง
เรื่องนี้มีคนเชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีแนวที่สอดคล้องกับคำพยากรณ์สำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์สิ้นโลกของศาสนาสำคัญๆ ในโลกนี้ ที่ว่าการสิ้นโลกครั้งที่จะมาถึงนี้จะไม่สิ้นไปด้วยน้ำเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา แต่จะสิ้นไปด้วยไฟหรือที่เรียกว่าไฟประลัยกัลป์นั่นแล
แต่เรื่องนี้ก็มีคนไม่เชื่ออยู่เป็นจำนวนมากเช่นเดียวกัน ล่าสุดมีกลุ่มนักดาราศาสตร์สากลออกมารายงานความเห็นของตนว่า ในห้วงเวลาดังกล่าวจะไม่มีเหตุการณ์ดาวเคราะห์อื่นใดพุ่งเข้าชนโลก
คนทั่วไปก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อข้างไหนดี แต่ถึงจะเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องนี้ก็คงไม่มีใครคิดอ่านป้องกันแก้ไขอะไรได้ เพราะถ้าหากไม่เกิดเหตุร้ายก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วใครไหนจะป้องกันได้เล่า สรรพชีวิตย่อมต้องเป็นไปตามกรรมเป็นแท้
นั่นเป็นเรื่องมหันตภัยที่มาจากนอกโลก แต่สำหรับมหันตภัยที่จะเกิดกับโลกโดยมีต้นเหตุมาจากการกระทำของน้ำมือมนุษย์ด้วยกันนั้น นับว่าเป็นภัยที่ใกล้ตัวกว่า มีที่ไปที่มาที่สามารถระงับดับเหตุเสียก่อนได้ หากว่าเข้าใจและรู้เท่าทัน จึงมาพูดกันในเรื่องนี้จะดีกว่า
อันเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นทั่วไปในโลกมีความถี่มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้นนั้น เป็นผลธรรมดาธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดผลเช่นนั้น
และเหตุปัจจัยนั้นก็เกิดขึ้นจากน้ำมือของมนุษย์ที่ทำร้ายทำลายพระแม่ธรณีผู้มีพระคุณ ซึ่งได้ให้ที่กำเนิด ที่อยู่อาศัย ที่ทำกินและที่ตาย แต่มนุษย์หาได้สำนึกในพระคุณของพระแม่ธรณีไม่ กลับทำร้ายทำลายท่านอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่รามือ
จนพระแม่ธรณีทนนิ่งอยู่ไม่ไหว ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวจึงดิ้นรนเร่าๆ ไป นั่นคือแสดงออกด้วยอาการแผ่นดินไหวนั่นเอง
มนุษย์ทำร้ายทำลายพระแม่ธรณีผู้มีพระคุณแก่ตนอย่างไรเล่า? ลองมาจำแนกแจกแจงกันดูก็จะเห็นได้ชัด
ก่อนอื่นก็อยากจะอ้างความในพระสูตรอันมีมาในพระพุทธศาสนาว่า พิภพของเรานี้แม้พื้นผิวจะมีดินและน้ำอยู่ที่เปลือกผิวโลกก็ตาม แต่พื้นผิวโลกนั้นโดยความรวมก็เป็นดิน และลึกลงไปจากชั้นดินก็เป็นประเภทชั้นหินต่างๆ ซึ่งจัดว่าเป็นจำพวกดินเช่นเดียวกัน เหตุนี้ท่านจึงว่าเป็นพื้นดิน หรือพระแม่ธรณีนั่นเอง
ใต้พื้นดินนี้รองด้วยน้ำ ซึ่งรวมทั้งน้ำธรรมดา น้ำมัน และของเหลวต่างๆ แต่จะรองกันอย่างไร ในวันนี้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยังมีความจำกัดอยู่มาก ที่ค้นคว้าได้ก็รู้แต่เพียงว่าใต้พื้นผิวดินนั้นมีน้ำหลายชนิด หลายประเภท แต่จะมีจำนวนเท่าใดและล้ำลึกลงไปเพียงไหน ความรู้มนุษย์ยังจำกัดมาก
ใต้แผ่นน้ำภายใต้พิภพนั้นรองไว้ด้วยลม และลมในที่นี้ย่อมหมายความรวมถึงก๊าซชนิดต่างๆ
พระสูตรยังระบุไว้อีกว่า ใต้ลมก็รองไว้ด้วยไฟ และยังเป็นไฟที่เผาผลาญอยู่ไม่มีวันที่สิ้นสุด แม้ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จะยอมรับแล้วว่ามีไฟที่ร้อนแรงอยู่ใต้พิภพนี้ก็ตาม แต่ยังไม่สามารถรู้ได้ทั่วถ้วนว่าปริมาณและการทำงานที่ทำให้เกิดไฟใต้พิภพนั้นเป็นอย่างไร
คงรู้แต่เพียงว่าเป็นไฟที่เผาผลาญอย่างยาวนานมานับล้าน ๆ ปีแล้ว และจะยังคงเผาผลาญต่อไปไม่มีวันที่จะสิ้นสุด
จึงรวมความได้ว่าพิภพอันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์เรานี้มี 4 ชั้น คือชั้นพื้นผิวได้แก่แผ่นดินหรือพระแม่ธรณี รองด้วยน้ำ ถัดจากน้ำรองด้วยลม ถัดจากลมรองด้วยไฟ
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาการของสังคมมนุษย์ทำให้ลัทธิบริโภคนิยมเกิดขึ้น ลัทธิทุนนิยมสามานย์เกิดขึ้น ความเห็นแก่ตัวและความไม่รู้จักพอก็เกิดขึ้น ดังนั้นจึงไม่คิดถึงเหตุผลต้นปลายใดๆ อะไรที่ทำให้เกิดการบริโภคได้มากและต้นทุนต่ำหรือสามารถหากำไรได้ก็ทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
แหล่งเก็บน้ำไม่พอก็ขุดเอาน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ ใช้กันอย่างไม่บันยะบันยัง จนกระทั่งแผ่นดินทรุดเป็นจุดเป็นหย่อม จนหลายพื้นที่ในโลกนี้กำลังทรุดตัวลงไปในพระมหาสมุทร เพราะมีน้ำกล้ำกรายสูงขึ้นมาท่วมมากเข้าทุกที จนขณะนี้ก็เริ่มมีความวิตกกันแล้วว่าผืนโลกหลายแห่งกำลังจะจมลงไปในทะเล
นอกจากน้ำก็ขุดเอาน้ำมันทุกชนิดเท่าที่จะขุดขึ้นมาได้ เพื่อมาใช้สอย เพื่อความสุข ความสนุกสนานและเพื่อหากำไรกันอย่างกว้างขวาง โดยมิได้คำนึงแม้แต่น้อยว่าน้ำมันจากใต้ดินแต่ละบาร์เรลนั้นกว่าจะเกิดเป็นน้ำมันได้ก็ใช้เวลานับล้านๆ ปี แต่มนุษย์นำมาใช้ในรูปน้ำมันเพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าวก็หมดไปแล้ว และไม่หมดเปล่า กลับแปรเปลี่ยนเป็นมลพิษที่เป็นพิษทำลายมนุษย์ด้วยกันเองต่อไป
เท่ากับว่าชั้นน้ำอันเป็นชั้นที่รองแผ่นดินก็หดแห้งเหือดหายลงไปเป็นอันมาก และอีกไม่นานก็คงจะหมดเกลี้ยง
ขุดน้ำและน้ำมันอันเป็นชั้นน้ำขึ้นมาใช้ก็ยังไม่สาแก่ใจ ความละโมบโลภมาก ความเห็นแก่ตัว และความต้องการกำไรก็ยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุดหย่อน ดังนั้นจึงอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ทำร้ายทำลายพระแม่ธรณีต่อไปด้วยการขุดเอาก๊าซซึ่งเป็นส่วนของผืนลมที่รองแผ่นน้ำอยู่อีกชั้นหนึ่งขึ้นมาใช้
มนุษย์รู้จักนำเอาก๊าซมาใช้นับพันปีแล้วก็จริงแต่นั่นเป็นไปโดยบังเอิญและโดยธรรมชาติ ไม่ได้มีจำนวนมากมายกระไรนัก แต่มาบัดนี้การขุดก๊าซธรรมชาติจากใต้พิภพขึ้นมาใช้ได้ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน และมากขึ้นทุกทีอย่างไม่หยุดยั้ง โดยมิได้คำนึงว่ากว่าจะเป็นก๊าซหรือก๊าซเหล่านั้นดำรงอยู่มานับล้านๆ ปีแล้ว แต่มนุษย์กลับขุดมาใช้ให้หมดไปในแค่พริบตา แล้วปล่อยมลพิษอันเป็นพิษขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศเพิ่มขึ้นอีก
เท่ากับว่าชั้นลมอันเป็นชั้นที่รองน้ำอยู่ก็หดตัวและกระทบต่อชั้นลมโดยรวม ส่งผลไปกระทบต่อชั้นน้ำด้วย
เท่านั้นก็ยังไม่พอ หลายประเทศในยุโรปที่มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ก็เห็นว่าการใช้น้ำมันและก๊าซยังมีต้นทุนที่สูง เพราะต้องนำมาเข้าโรงกลั่น โรงแยก สู้เอาพลังงานความร้อนมาใช้กันตรงๆ ไม่ได้ ว่าแล้วก็นำความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นขุดเจาะเอาความร้อนจากใต้พิภพขึ้นมาใช้ และเริ่มใช้กันไปมากในหลายประเทศแล้ว
รวมความว่านอกจากชั้นน้ำอันรองแผ่นดิน นอกจากชั้นลมอันรองแผ่นน้ำแล้ว มนุษย์ยังทำลายทำร้ายพระแม่ธรณีเพิ่มขึ้นอีกโดยการนำเอาไฟหรือความร้อนจากใต้พิภพขึ้นมาใช้อีกแหล่งหนึ่ง สิริรวมก็คือฐานของแผ่นดินคือพระแม่ธรณีกำลังถูกขุด ถูกเจาะ ถูกสูบ ถูกดูดขึ้นมาใช้อย่างไม่บันยะบันยัง และอย่างไม่หยุดยั้ง
ทำให้ฐานที่รองแผ่นดินอันเป็นผิวพิภพหดตัวลงอย่างกว้างขวาง และเป็นปริมาณที่มาก จนส่งผลกระทบต่อผืนแผ่นดินแล้ว อุปมาดั่งพื้นบ้านเมื่อขุดเจาะเอาดินเอาน้ำใต้ถุนบ้านออกมา ในที่สุดบ้านก็ต้องพังลงฉันใด ผืนพิภพหรือพระแม่ธรณีอันเป็นที่อยู่อาศัยของเรานี้ก็จะต้องถึงกาลพังทลายลงมาสักวันหนึ่ง
ปรากฏการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอย่างหนาตาและรุนแรงมากขึ้น ก็คือผลอันเกิดจากการรื้อฐานรากพื้นผิวพิภพซึ่งนับว่าเป็นการทำร้ายทำลายพระแม่ธรณี เป็นการเนรคุณต่อพระแม่ธรณีท่าน จนท่านกำลังทนไม่ไหวแล้ว แสดงอาการเจ็บปวดรวดร้าวดิ้นรนด้วยอาการแผ่นดินไหวให้ปรากฏ
มวลมนุษย์ทั้งผองจึงต้องรู้ถึงเหตุและผล รวมทั้งอาการดิ้นรนของพระแม่ธรณีแล้วหยุดยั้งการทำร้ายทำลายท่านเสียให้ทันท่วงที มิฉะนั้นสักวันหนึ่งการสิ้นโลกก็จักมาถึงเป็นแน่แท้.