xs
xsm
sm
md
lg

โค้งสุดท้ายหุ้นไทย..ขึ้นหรือลงอยู่ที่เม็ดเงินนอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ต่อเนื่องมาจนเข้าต้นไตรมาส 4นี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้นมาก ซึ่งสาเหตุสำคัญหนีไม่พ้นกระแสเม็ดเงินต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาและยังไม่มีทีท่าจะหยุด หรือผ่องถ่ายออกไป โดยในช่วงแรกๆนับว่าเม็ดเงินเหล่านี้ สร้างความคึกคักให้กับนักลงทุนทั้งสถาบัน และรายย่อยได้เป็นอย่างดี แต่พอนานวันเข้าไปเรื่อยๆจากความสุข ก็เริ่มกลายเป็นความทุกข์ เพราะไม่มีใครจะรู้ได้ว่า เม็ดเงินที่ถาโถมเข้ามานี้จะโยกออกไปวันไหน แม้แต่บรรดานักวิเคราะห์ ก็บ่งชี้สัญญาณที่ให้ควรจับตาได้เพียงค่าเงินดอลลาร์ ราคาน้ำมัน และตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญเท่านั้น

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KGI) จัดทำรายงานเดือนตุลาคม 2552 ไว้อย่างน่าสนใจ ในประเด็นมีความสำคัญมาก เพราะเป็นคำถามตรงใจของนักลงทุนทุกคน ... “ต.ค.นี้ นักลงทุนต่างประเทศจะซื้อสุทธิเป็นเดือนที่ 8 หรือไม่?” โดยหยิบยกข้อมูลทางสถิติมาอ้างถึงโอกาสความเป็นไปได้ว่าต่างชาติจะยังคงซื้อสุทธิต่อไปเป็นเดือนที่ 8 ในปีนี้

ขณะเดียวกันก็มีโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะปล่อยขายสุทธิออกมาภายในเดือนตุลาคมเช่นกัน และหากมีการขายสุทธิจริง จุดนี้จะมีนัยสำคัญอย่างมาก กับความเสี่ยงที่ว่า ตลาดจะเผชิญหน้ากับราคาหุ้นที่สูง (Price Risk) เต็มรูปแบบ จึงทำให้เดือนนี้ ถูกเป็นเดือนที่แนะนำให้ “ขาย”

สำหรับสถิติการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติที่ บล.เคจีไอ นำมาวิเคราะห์ปี 1992 – 2009 พบว่ามีถึง 7 ครั้งที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิขั้นต่ำถึง 5 เดือน อันได้แก่ ปี1993 1996 2002 2006 และมีการซื้อสุทธิต่อเนื่องถึง 7 เดือน 2 ครั้งในปี 2007 และ 2009 ส่วนการซื้อสุทธิต่อเนื่องสูงได้แก่ปี 1995 ซึ่งมีการซื้อสุทธิต่อเนื่องถึง 8 เดือน

ดังนั้นหากตุลาคมนี้นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิในหุ้นต่อเนื่องจากมีนาคม – กันยายนแล้ว จะถือเป็นสถิติใหม่ที่เทียบเท่าเมื่อครั้งในปี 1995 หรือในรอบเกือบ 14ปี และยังมีลุ้นถึงการสร้างสถิติใหม่ 9 เดือนหากเม็ดเงินภายนอกประเทศยังทะลักเข้ามาตลาดหุ้นไทยต่อในเดือนพฤศจิกายน

ม.ล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัดและในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ กล่าวว่า แนวโน้มการไหลเข้าของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยช่วงไตรมาส4/52 ยังประเมินได้ยากว่าจะเป็นไปในทิศทางใด เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่ในขณะนี้นั้นถือว่านักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าในช่วง3-4 เดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ในช่วงต้นเดือนตุลาคมตจะมีการขายหุ้นออกมาบ้างเป็นบางวัน

ทั้งนี้หากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯยังคงอ่อนค่าต่อเนื่อง เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัว และปัจจัยการเมืองไทยนิ่ง จะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยสูงว่าไตรมาส3/52ที่มียอดซื้อสุทธิ 35,030.90 ล้านบาท แต่หากค่าเงินดอลลาร์มีการแข็งค่าขึ้น จะทำให้มีเม็ดเงินไหลออก และจากการที่ พล.อ ชวลิต ยงใจยุทธ สมัครเข้าพรรคเพื่อไทย ทำให้มีผู้มองว่าน่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ปลายปีนี้หรือปีหน้า โดยจะต้องมีการประเมินว่าหากมีการเลือกตั้งใหม่จะส่งผลกระทบอย่างไร บ้าง เช่น การใช้จ่ายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ในส่วนนักลงทุนต่างชาตินั้นไม่ค่อยสนใจในเรื่องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล มากนัก

“ตอนนี้มองยากว่าไตรมาส4/52เม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งมีบางคนมองว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะขึ้นไปที่800 จุดได้ และถือว่าขึ้นสูงกว่าที่เคยคิดไว้ แต่ขณะนี้ต่างชาติยังเข้ามาลงทุน แม้บางวันมีการขายหุ้นออกมาบ้าง อย่างไรก็ตามหากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงตามที่หลายคนคาดการณ์ไว้ที่ 5-6% จากปัจจุบันและเศรษฐกิจฟื้น การเมืองนิ่งจะส่งผลดีให้ต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิต่อเนื่องต่อขณะที่การประกาศงบไตรมาส3/52 ซึ่งผลประกอบการแบงก์น่าจะออกมาดี ก็มีความเป็นไปได้ที่ยอดซื้อสุทธิของต่างชาติจะสูงกว่าไตรมาส3/52”ม.ล.ทองมกุฎ กล่าว

โดย บล.ซิตี้คอร์ป ได้มีการปรับเพิ่มประมาณการเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ 650 จุด จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 550 จุด เนื่องจาก ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามวงจรของอุตสาหกรรมพลังงาน วัสดุก่อสร้าง และปิโตรเคมีโลกจากเศรษฐกิจที่จะฟื้นตัว และคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี2553 จะอยู่ที่ 710-780จุด โดยปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากการฟื้นตัวตามตลาดโลก อสังหาริมทรัพย์ จากแรงขับเคลื่อนการใช้จ่ายภายในประเทศ และปรับลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารจากการปล่อยสินเชื่อและกำไรที่ลดลง

นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส4/52 เชื่อว่าเม็ดเงินต่างชาติจะมีการไหลออก เนื่องจาก ค่าเงินดอลลาร์จะมีการแข็งค่าขึ้นจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ได้รับซื้อคืนพันธบัตร ซึ่งทางการสหรัฐฯจะพยายามทำให้ค่าเงินดอลลาร์มีการแข็งค่าในระยะสั้น และจากการที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากภาคอุตสาหกรรมการผลิต จึงทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงต่ำกว่า 60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งจะทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลง 100 จุด ในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน

ดังนั้น บล.ทรีนีตี้ คาดว่าในต้นไตรมาส4/52 ดัชนีจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะ 744-760 จุด ได้ แต่จากนั้นจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 666-686 จุด เป็นเวลา 2 เดือน ซึ่งถือว่าเป็นจังหวะที่นักลงทุนควรเข้าซื้อหุ้นเพื่อรอการขาย และหลังจากนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อและคาดว่าดัชนีจะปรับตัวเพิ่มขึ้นกลับมาอยู่ที่ระดับ 700 จุดได้อีกครั้ง

“เราไม่สามารถตอบได้ว่าเม็ดเงินต่างชาติจะไหลออกจากตลาดหุ้นเท่าไหร่ ซึ่งหากดัชนีปรับตัวลดลง 1 จุด ก็อาจทำให้มีเม็ดเงินไหลออกไปเป็นหมื่นล้านบาทได้ แต่การแข็งค่าของดอลลาร์จะเป็นระยะสั้น และราคาน้ำมันก็จะปรับตัวลดลงตามความต้องการใช้ในภาคการผลิตที่ลดลง อีกทั้งช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่นักลงทุนต่างชาติหยุดยาว ก็อาจส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นจะมีการปรับตัวลดลงได้ 100 จุดเช่นกัน ”นางวชิราลักษณ์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น