บล.บีฟิท เตือนนักลงทุน ดัชนีแตะ 747 จุด รีบขายกำไรก่อนปรับตัวลดลงแรง เหตุที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและเร็วเกินไป จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ แนะนำรอซื้อที่ 650 จุด ชูหุ้นกลุ่มสื่อสาร -รับเหมาก่อสร้างน่าสนใจมากสุด เพราะความชัดเจนของใบอนุญาต3จี และโครงการไทยเข้มแข็งหนุนรายได้ - กำไรโต
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด (มหาชน)หรือ BSEC เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากการมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุน อย่างไรก็ตามาจากการที่ปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ 740 กว่าจุด และมีค่าP/ Eที่ 29-30 เท่า นั้นถือว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและเร็วกว่าที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส3/52 จะออกมา ซึ่งในสัปดาห์นี้ หรือ สัปดาห์หน้าเชื่อว่าดัชนีจะมีความผันผวนสูง โดยอาจปรับตัวเพิ่มสูง และอาจจะปรับตัวลดลงแรงเช่นกันเพื่อพักฐาน ซึ่งนักลงทุนต้องระวังหากดัชนีแตะ 747 จุด และมูลค่าการซื้อขายสูง 3-4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นนักลงทุนที่มีการลงทุนระยะกลางควรที่จะขายทำกำไรออกมา
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าหุ้นที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 650-670 จุด ซึ่งเป็นจังหวะที่จะเข้าไปทยอยซื้อลงทุน ในกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2553 จะผันผวนอยู่ที่ระดับ 563-878 จุด และคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น 17.20% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 34.90% จากปี2551 ซึ่งปีนี้ที่มีการเติบโตสูงขึ้นเพราะ ฐานกำไรของปีก่อนนั้นต่ำมาก จากได้รับผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลก
นายเอกพิทยา เอี่ยมมงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท กล่าวว่า นักลงทุนที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นควรรอเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวลดลงในรอบนี้ก่อน แล้วค่อยเข้าไปลงทุน โดยกลุ่มที่น่าเข้าไปนั้น มี2 กลุ่ม คือ สื่อสาร และรับเหมาก่อสร้าง
โดยกลุ่มสื่อสารจะได้รับผลดี จากการที่คณะกรรมการกำกับกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)ที่จะมีการพิจารณาให้ใบอนุญาต 3Gในต้นปีหน้า อีกทั้งจะมีการยื่นประมูลใบอนุญาตในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้รายได้ของกลุ่มนี้ปรับตัวดีขึ้นจากการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)และ กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)ลดลง และจะมีรายได้จากการให้บริการข้อมูลเพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับผลดีจากโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งมีงบในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน1.14 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของงบลงทุนที่จะใช้ทั้งหมด โดยจะทำให้ปีหน้าผลประกอบการของกลุ่มนี้น่าจะดีขึ้น จึงแนะนำซื้อ ITD CK STEC
ขณะที่หุ้นกลุ่ม พลังงาน ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ นั้นยังไม่แนะนำให้เข้าไปลงทุน เพราะ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ถึงแม้ในช่วงไตมาส4/52 ยอดการปล่อยสินเชื่อของแบงก์จะดี และปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นก่อนหน้าที่ผลประกอบการจะออกมาแล้ว
สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีนั้นได้รับผลกระทบจากกรณีมาบตาพุดทำให้หลายโครงการมีการดำเนินการล่าช้ากระทบกับการเติบโตรายได้และกำไรในอนาคต และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงหากรัฐไม่ต่ออายุมาตรการภาษีอสังหาฯในปีหน้า ซึ่งจะทำให้กำไรของกลุ่มนี้ปรับตัวลดลง
“การประมาณการความเสียหายจากของกลุ่มปตท.ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีมาบตาพุดแต่ละบล.จะประเมินแตกต่างกันแล้วแต่จะใช้วิธีประเมินอย่างไร ซึ่งบริษัทมองว่าหากโครงการล่าช้าไป 1 ปี จะทำให้รายได้และกำไรลดลง แต่หากกรณีมาบตาพุดจบเร็วแล้วกว่าที่คาดก็จะทำให้ผลกระทบต่อรายได้และกำไร ลดลง ”นายเอกพิทยา กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ลิมศุภนาค นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด (มหาชน)หรือ BSEC เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากการมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุน อย่างไรก็ตามาจากการที่ปัจจุบันดัชนีอยู่ที่ 740 กว่าจุด และมีค่าP/ Eที่ 29-30 เท่า นั้นถือว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงและเร็วกว่าที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส3/52 จะออกมา ซึ่งในสัปดาห์นี้ หรือ สัปดาห์หน้าเชื่อว่าดัชนีจะมีความผันผวนสูง โดยอาจปรับตัวเพิ่มสูง และอาจจะปรับตัวลดลงแรงเช่นกันเพื่อพักฐาน ซึ่งนักลงทุนต้องระวังหากดัชนีแตะ 747 จุด และมูลค่าการซื้อขายสูง 3-4 หมื่นล้านบาท ดังนั้นนักลงทุนที่มีการลงทุนระยะกลางควรที่จะขายทำกำไรออกมา
ทั้งนี้บริษัทคาดว่าหุ้นที่จะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 650-670 จุด ซึ่งเป็นจังหวะที่จะเข้าไปทยอยซื้อลงทุน ในกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2553 จะผันผวนอยู่ที่ระดับ 563-878 จุด และคาดว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้น 17.20% จากปีนี้ที่คาดว่าจะโต 34.90% จากปี2551 ซึ่งปีนี้ที่มีการเติบโตสูงขึ้นเพราะ ฐานกำไรของปีก่อนนั้นต่ำมาก จากได้รับผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลก
นายเอกพิทยา เอี่ยมมงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.บีฟิท กล่าวว่า นักลงทุนที่จะเข้าลงทุนในตลาดหุ้นควรรอเข้าลงทุนในช่วงที่ตลาดมีการปรับตัวลดลงในรอบนี้ก่อน แล้วค่อยเข้าไปลงทุน โดยกลุ่มที่น่าเข้าไปนั้น มี2 กลุ่ม คือ สื่อสาร และรับเหมาก่อสร้าง
โดยกลุ่มสื่อสารจะได้รับผลดี จากการที่คณะกรรมการกำกับกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)ที่จะมีการพิจารณาให้ใบอนุญาต 3Gในต้นปีหน้า อีกทั้งจะมีการยื่นประมูลใบอนุญาตในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะทำให้รายได้ของกลุ่มนี้ปรับตัวดีขึ้นจากการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)และ กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน)ลดลง และจะมีรายได้จากการให้บริการข้อมูลเพิ่มขึ้น
สำหรับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง จะได้รับผลดีจากโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งมีงบในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน1.14 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของงบลงทุนที่จะใช้ทั้งหมด โดยจะทำให้ปีหน้าผลประกอบการของกลุ่มนี้น่าจะดีขึ้น จึงแนะนำซื้อ ITD CK STEC
ขณะที่หุ้นกลุ่ม พลังงาน ธนาคารพาณิชย์ อสังหาริมทรัพย์ นั้นยังไม่แนะนำให้เข้าไปลงทุน เพราะ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ถึงแม้ในช่วงไตมาส4/52 ยอดการปล่อยสินเชื่อของแบงก์จะดี และปัจจุบันราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นก่อนหน้าที่ผลประกอบการจะออกมาแล้ว
สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีนั้นได้รับผลกระทบจากกรณีมาบตาพุดทำให้หลายโครงการมีการดำเนินการล่าช้ากระทบกับการเติบโตรายได้และกำไรในอนาคต และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงหากรัฐไม่ต่ออายุมาตรการภาษีอสังหาฯในปีหน้า ซึ่งจะทำให้กำไรของกลุ่มนี้ปรับตัวลดลง
“การประมาณการความเสียหายจากของกลุ่มปตท.ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีมาบตาพุดแต่ละบล.จะประเมินแตกต่างกันแล้วแต่จะใช้วิธีประเมินอย่างไร ซึ่งบริษัทมองว่าหากโครงการล่าช้าไป 1 ปี จะทำให้รายได้และกำไรลดลง แต่หากกรณีมาบตาพุดจบเร็วแล้วกว่าที่คาดก็จะทำให้ผลกระทบต่อรายได้และกำไร ลดลง ”นายเอกพิทยา กล่าว