ASTVผู้จัดการรายวัน – ผู้บริหาร สตาร์สไมโครฯ ชี้ ราคาหุ้นของบริษัทน่าปรับตัวดีกว่าปัจจุบัน เหตุปัจจัยพื้นฐานแกร่ง-นักวิเคราะห์หลายค่ายประเมินราคาหุ้นเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานที่ 6.60-7 บาท เชื่อต้องใช้เวลากว่าราคาหุ้นจะสะท้อน มั่นใจกำไรปีนี้โต 25% จากปีก่อน เชื่อปีหน้าผลประกอบการโตต่อเนื่องเหตุได้ลูกค้าใหม่เพิ่ม 5 ราย
นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโคร อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ SMT เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าปัจจุบัน เนื่องจาก บริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องและสินค้าที่บริษัทผลิตนั้นเป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีที่สูงมีคู่แข่งน้อยราย และจากการที่นักวิเคราะห์ประเมินราคาหุ้นเหมาะสมปีนี้จากการประเมินปัจจัยพื้นฐาน เช่น บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส คาดว่าราคาหุ้นของบริษัทเหมาะสมอยู่ที่ 7 บาทต่อหุ้น ส่วน บล.ทิสโก้ ประเมินราคาหุ้นเหมาะสมอยู่ที่ 6.60 บาทต่อหุ้น
" ราคาหุ้นของบริษัทขณะนี้ยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน ส่วนตัวมองว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะดีกว่านี้ แต่ต้องใช้เวลา ซึ่งหากประเมินราคาหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัสให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 7 บาทต่อหุ้น บล.ทิสโก้ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทมองว่าราคาหุ้นเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 6.60 บาท "นายพลศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทได้ส่งคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามามากกว่าที่คาด ในส่วนของกลุ่มชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (MMA) จากการที่ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะชิ้นส่วนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ฮาร์ดติสค์ไดร์ฟ์ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คจากที่ประชาชนหันมาใช้มากขึ้น ทำให้บริษัทได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตชิ้นส่วนMMA เพิ่มเป็น 100 ล้านชิ้นต่อปี จากเดิมที่มี 80 ล้านชิ้นต่อปี
สำหรับการเพิ่มกำลังการผลิต กลุ่มแพงวงจรไฟฟ้ารวม (IC) นั้นเป็นแผนเดิมที่บริษัทจะเพิ่มเป็น 1,200 ล้านชิ้นต่อปีต้นปี 53 จากเดิมที่ 700 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจะลงทุนเพิ่มอีก 50 ล้านบาท ในไตรมาส1/52 และสัดส่วนการผลิต IC จะเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 50% เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ส่วน MMA จะลดลงเหลือ 50% จากปีนี้ที่ 70%
นายพลศักดิ์ กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทจะมีคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น อีก 5 ราย โดยสั่งซื้อสินค้าในส่วน MMA 2 ราย และสินค้ากลุ่ม IC 3 ราย ทำให้บริษัทจะต้องออกสินค้าใหม่อีก 5 สินค้าเช่นกัน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีผลประกอบการเติบโตที่ดี ทำให้รายได้รวมปีหน้าเพิ่มขึ้น 15% จากปี 52 ที่คาดอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 51 แต่ในส่วนการเติบโตของกำไรสุทธิน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง
สำหรับกำไรสุทธิปีนี้น่าจะเติบโตประมาณ 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการสินค้าเติบโตขึ้นโดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง ซึ่งเติบโตตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ โดยในไตรมาส 3 นี้ กลุ่มสินค้าชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือ MMA มีเพิ่มขึ้นราว 60-70% ขณะเดียวกัน กลุ่มสินค้าแผงวงจร หรือ IC ก็มีเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากกฏหมายเกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา
"ไตรมาส3/52 บริษัทคาดรายได้เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาส2/52 ส่วนไตรมาส4/52คาดว่ารายได้จะโต20% จากไตรมาส3/52 แต่รายได้ทั้งปีจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มี 1.2 หมื่นล้านบาทจากครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยปีนี้คาดอัตรากำไรขั้นต้น 4% จากปี 51 อยู่ที่ 3.63% ส่วนอัตรากำไรสุทธิ คาดหวังไว้ที่ 2% จากเดิม 1.65%" นายพลศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ราคาหุ้น SMT วานนี้ เปิดตลาดที่ 5.95 บาท เป็นราคาสูงสุดของวานนี้และต่ำสุดที่ 5.40 บาท ก่อนปิดตลาดที่ 5.60 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 5.08% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 41.70 ล้านบาท
นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโคร อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ SMT เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าปัจจุบัน เนื่องจาก บริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องและสินค้าที่บริษัทผลิตนั้นเป็นสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีที่สูงมีคู่แข่งน้อยราย และจากการที่นักวิเคราะห์ประเมินราคาหุ้นเหมาะสมปีนี้จากการประเมินปัจจัยพื้นฐาน เช่น บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)เอเซีย พลัส คาดว่าราคาหุ้นของบริษัทเหมาะสมอยู่ที่ 7 บาทต่อหุ้น ส่วน บล.ทิสโก้ ประเมินราคาหุ้นเหมาะสมอยู่ที่ 6.60 บาทต่อหุ้น
" ราคาหุ้นของบริษัทขณะนี้ยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน ส่วนตัวมองว่าราคาหุ้นของบริษัทน่าจะดีกว่านี้ แต่ต้องใช้เวลา ซึ่งหากประเมินราคาหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานนักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัสให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 7 บาทต่อหุ้น บล.ทิสโก้ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัทมองว่าราคาหุ้นเหมาะสมตามปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 6.60 บาท "นายพลศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมาลูกค้าของบริษัทได้ส่งคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามามากกว่าที่คาด ในส่วนของกลุ่มชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (MMA) จากการที่ภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว โดยเฉพาะชิ้นส่วนโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ฮาร์ดติสค์ไดร์ฟ์ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คจากที่ประชาชนหันมาใช้มากขึ้น ทำให้บริษัทได้มีการเพิ่มกำลังการผลิตชิ้นส่วนMMA เพิ่มเป็น 100 ล้านชิ้นต่อปี จากเดิมที่มี 80 ล้านชิ้นต่อปี
สำหรับการเพิ่มกำลังการผลิต กลุ่มแพงวงจรไฟฟ้ารวม (IC) นั้นเป็นแผนเดิมที่บริษัทจะเพิ่มเป็น 1,200 ล้านชิ้นต่อปีต้นปี 53 จากเดิมที่ 700 ล้านชิ้นต่อปี ซึ่งจะลงทุนเพิ่มอีก 50 ล้านบาท ในไตรมาส1/52 และสัดส่วนการผลิต IC จะเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 50% เพราะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ส่วน MMA จะลดลงเหลือ 50% จากปีนี้ที่ 70%
นายพลศักดิ์ กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทจะมีคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น อีก 5 ราย โดยสั่งซื้อสินค้าในส่วน MMA 2 ราย และสินค้ากลุ่ม IC 3 ราย ทำให้บริษัทจะต้องออกสินค้าใหม่อีก 5 สินค้าเช่นกัน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีผลประกอบการเติบโตที่ดี ทำให้รายได้รวมปีหน้าเพิ่มขึ้น 15% จากปี 52 ที่คาดอยู่ที่ 12,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปี 51 แต่ในส่วนการเติบโตของกำไรสุทธิน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง
สำหรับกำไรสุทธิปีนี้น่าจะเติบโตประมาณ 25% จากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท เนื่องจากความต้องการสินค้าเติบโตขึ้นโดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง ซึ่งเติบโตตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ โดยในไตรมาส 3 นี้ กลุ่มสินค้าชิ้นส่วนไมโครอิเล็กทรอนิกส์ หรือ MMA มีเพิ่มขึ้นราว 60-70% ขณะเดียวกัน กลุ่มสินค้าแผงวงจร หรือ IC ก็มีเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากกฏหมายเกี่ยวกับชิ้นส่วนรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา
"ไตรมาส3/52 บริษัทคาดรายได้เพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาส2/52 ส่วนไตรมาส4/52คาดว่ารายได้จะโต20% จากไตรมาส3/52 แต่รายได้ทั้งปีจะใกล้เคียงกับปีก่อนที่มี 1.2 หมื่นล้านบาทจากครึ่งปีแรกได้รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยปีนี้คาดอัตรากำไรขั้นต้น 4% จากปี 51 อยู่ที่ 3.63% ส่วนอัตรากำไรสุทธิ คาดหวังไว้ที่ 2% จากเดิม 1.65%" นายพลศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ ราคาหุ้น SMT วานนี้ เปิดตลาดที่ 5.95 บาท เป็นราคาสูงสุดของวานนี้และต่ำสุดที่ 5.40 บาท ก่อนปิดตลาดที่ 5.60 บาท ลดลง 0.30 บาท หรือ 5.08% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 41.70 ล้านบาท