ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - ตำรวจ ทหารนราฯสนธิกำลังปิดล้อมตรวจค้นโรงเรียนปอเนาะในบาเจาะ คุมครู-นักเรียนราว 60 คนไปสอบ หลังได้กลิ่นกลุ่มแนวร่วมขนอาวุธปืนสงครามเข้ามาเตรียมก่อเหตุในพื้นที่ ขณะเดียวกันรวบอีก 10 หลังปูพรมค้นในพื้นที่ 6 อำเภอ "สุเทพ"ควง"กษิต"-"ผบ.ทบ." นำทูต 18 ประเทศพบปะผู้นำศาสนา-ผู้นำท้องถิ่นขับเคลื่อนแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จชต.งบฯกว่า 63,000 ล้านบาท
วานนี้ (12 ต.ค.) พ.ต.อ.จำลอง งามเนตร ผกก.สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส นาวาโท นฤมิต ศุขสมิติ ผบ.ฉก.นราธิวาสที่ 32 กองทัพเรือ ใช้กฎอัยการศึก นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 300 นายกระจายกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่เป้าหมายกว่า 5 จุดในพื้นที่ ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ หลังสืบทราบว่าได้มีกลุ่มแนวร่วมขนอาวุธปืนสงครามเข้ามาเตรียมก่อเหตุในพื้นที่ โดยจุดแรกเข้าตรวจค้นที่หมู่ 4 ซึ่งมีบ้านต้องสงสัยอยู่ 2 หลังตั้งอยู่กลางป่าและกลุ่มมือปืน RKK ที่ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตกำลังกบดานอยู่ เมื่อไปถึงพบว่าคนร้ายได้ไหวตัวทันหลบหนีไปได้
จากนั้นกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเดิมได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นโรงเรียนแสงธรรมวิทยา ตั้งอยู่เลขที่ 79/1 หมู่ 3 บ้านคลอและ ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ ซึ่งเป็นโรงเรียนปอเนาะสอนศาสนาเพียงอย่างเดียว ไม่มีสอนสายสามัญ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังขอตรวจค้นทันที โดยเฉพาะหอพักนักศึกษา และหอพักครูสอนศาสนา หรือ "อุสตาส" จากการตรวจสอบบุคคลพบว่า มีนักศึกษา เป็นชาวเขมรรวมอยู่ด้วย 1 คน
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบป้ายทะเบียนรถยนต์หมวดจังหวัดสุรินทร์ถูกทิ้งไว้หลังหอพักนักศึกษา คาดว่าอาจจะถูกนำมาใช้ในการสวมทะเบียนก่อเหตุร้าย จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับคุมตัวนักศึกษา และครูสอนศาสนาราว 60 คนขึ้นรถจีเอ็มซี.ของทหาร 2 คันไปสอบสวนเพื่อตรวจที่ชุดเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 32 ว่ามีสารประกอบระเบิดปนเปื้อนตามร่างกายและเสื้อผ้าด้วยหรือไม่หากไม่พบเจ้าหน้าที่จะปล่อยตัวกลับทันที ส่วนผู้ต้องสงสัยที่มีหมายจับเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีทันที
**เผยผลกวาดล้างจับได้อีก 10 ราย
ขณะที่ พ.ต.อ.สมพงษ์ ชินดวง รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ได้แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาหลังจากสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง เข้าตรวจค้นระรอก 2 ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง, แว้ง, บาเจาะ, สุไหงปาดี, ตากใบ และศรีสาคร โดยการปิดล้อมตรวจค้นครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 10 ราย ประกอบด้วยผู้ต้องหา พ.ร.บ.อาวุธปืน 1 ราย คือ นายมะยูนา มะแซ อายุ 34 ปี บ้านเลขที่ 53/1 ม.3 ต.ศรีสาคร อ.ศรีสาคร, ผู้ต้องหา พ.ร.บ.ยาเสพติด 7 ราย และผู้ต้องหาวิ่งราวทรัพย์ 2 ราย
ส่วนความคืบหน้าในการติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลกนั้น พ.ต.อ.สมพงษ์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับนายอับดุลฮากิม ปูตะ อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นคนครอบครองรถยนต์คันที่ก่อเหตุคาร์บอมบ์ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก เป็นคนสุดท้าย ตามหมายจับของศาลเลขที่ 591/52 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารได้ร่วมกันทำการติดตามตัวอยู่
**สุเทพพาทูต18ปท.พิสูจน์ไฟใต้
วันเดียวกันที่หอประชุมศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก นำเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย 18 ประเทศ เดินทางมาพบปะผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำจิตวิญญาณ ผู้นำตามธรรมชาติ และกรรมการหมู่บ้าน 2,800 คน เพื่อมอบแนวทาง แนวคิด และวิธีการปฏิบัติการตามแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.กสิกร คีรีศรี ผบ.กองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ หทาร (พตท.) นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ให้การต้อนรับ
ในโอกาสเดียวกันนี้ นายสุเทพ ยังได้นำเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย มาร่วมสังเกตการณ์และรับทราบถึงสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคด้วยตนเองอีกด้วย
สำหรับแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมกับ ศอ.บต. และจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้จัดทำประชาคมขับเคลื่อนการดำเนินโครงการภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยกลไกสำคัญ คือ ผู้นำ 4 เสาหลัก ได้แก่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำจิตวิญญาณ ผู้นำตามธรรมชาติ และกรรมการหมู่บ้าน ในการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความสงบสันติสุขในพื้นที่อย่างยั่งยืนและถาวร โดยมีบทบาทหน้าที่ขับเคลื่อนการจัดทำประชาคม การรับรองบัญชีรายชื่อครัวเรือน บัญชีความต้องการโดยเรียงลำดับการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 64,000 บาทต่อปี และกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ 64,000-120,000 บาทต่อปี เพื่อยกระดับรายได้ให้ไม่ต่ำกว่า 120,000 บาทต่อปีต่อครัวเรือน โดยมีพื้นที่เป้าหมาย จ.ปัตตานี 227 หมู่บ้าน จ.ยะลา 95 หมู่บ้าน จ.นราธิวาส 229 หมู่บ้าน จ.สงขลา 97 หมู่บ้าน และ จ.สตูล 74 หมู่บ้าน รวม 722 หมู่บ้าน 2,888 คน
**สั่ง จนท.เพิ่มความเข้มดับไฟใต้
นายสุเทพ กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่สงบในปัจจุบันเริ่มดีขึ้น จำนวนเหตุการณ์ที่เกิดน้อยลง มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตลดน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งทางรัฐบาลเองก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขณะนี้มีประชาชนในพื้นที่บางส่วน อดทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไหว ได้เรียกร้องให้รัฐบาลใช้ความเด็ดขาด ในการจัดการกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ก่อเหตุร้ายในพื้นที่
รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องยึดมั่นในหลักการปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ประชาชนในพื้นที่เองต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส ร่วมมือกับทางรัฐบาล และทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ซึ่งจะสามารถป้องกันการแก้ไขเหตุการณ์ได้ในที่สุด แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองนั้นจะต้องเข้มงวดกวดขันกันมากยิ่งขึ้น และทำงานอยู่ในกรอบของกฎหมายว่าด้วยการเคารพสิทธิของประชาชน
สำหรับนโยบายในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณ 64,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาพื้นที่โดยจะดำเนินการในเวลา 3 ปีติดต่อกันโดยการจัดทำโครงการนั้นให้ดำเนินการตามคำขอของประชาชน โดยผ่านกระบวนการประชาสังคม ซึ่งมีผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ช่วยกันคิดกันกลั่นกรอง แล้วรัฐบาลจะดูแลสนับสนุนให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรี โดยได้ตั้งตัวเลขเอาไว้ที่ปีละ 120,000 บาทต่อครอบครัวต่อปี
สำหรับการคัดเลือกครอบครัวเข้าร่วมโครงการ กรรมการหมู่บ้าน จะเป็นผู้คัดเลือก ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ได้ เพราะเมื่อประชาชนพ้นจากความยากจน อยู่อย่างมีความสุข และถ้าหากมีฐานะดี คงไม่มีใครที่จะดินรนที่จะแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา แต่ทุกๆ ฝ่ายก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ หากประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมแก้ปัญหากับทางรัฐบาล ตนเชื่อว่าจะสามารถนำความสงบสุขกลับสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างแน่นอน.
วานนี้ (12 ต.ค.) พ.ต.อ.จำลอง งามเนตร ผกก.สภ.บาเจาะ จ.นราธิวาส นาวาโท นฤมิต ศุขสมิติ ผบ.ฉก.นราธิวาสที่ 32 กองทัพเรือ ใช้กฎอัยการศึก นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารกว่า 300 นายกระจายกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่เป้าหมายกว่า 5 จุดในพื้นที่ ต.บาเระใต้ อ.บาเจาะ หลังสืบทราบว่าได้มีกลุ่มแนวร่วมขนอาวุธปืนสงครามเข้ามาเตรียมก่อเหตุในพื้นที่ โดยจุดแรกเข้าตรวจค้นที่หมู่ 4 ซึ่งมีบ้านต้องสงสัยอยู่ 2 หลังตั้งอยู่กลางป่าและกลุ่มมือปืน RKK ที่ก่อเหตุยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตกำลังกบดานอยู่ เมื่อไปถึงพบว่าคนร้ายได้ไหวตัวทันหลบหนีไปได้
จากนั้นกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเดิมได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นโรงเรียนแสงธรรมวิทยา ตั้งอยู่เลขที่ 79/1 หมู่ 3 บ้านคลอและ ต.บาเร๊ะใต้ อ.บาเจาะ ซึ่งเป็นโรงเรียนปอเนาะสอนศาสนาเพียงอย่างเดียว ไม่มีสอนสายสามัญ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลังขอตรวจค้นทันที โดยเฉพาะหอพักนักศึกษา และหอพักครูสอนศาสนา หรือ "อุสตาส" จากการตรวจสอบบุคคลพบว่า มีนักศึกษา เป็นชาวเขมรรวมอยู่ด้วย 1 คน
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังพบป้ายทะเบียนรถยนต์หมวดจังหวัดสุรินทร์ถูกทิ้งไว้หลังหอพักนักศึกษา คาดว่าอาจจะถูกนำมาใช้ในการสวมทะเบียนก่อเหตุร้าย จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับคุมตัวนักศึกษา และครูสอนศาสนาราว 60 คนขึ้นรถจีเอ็มซี.ของทหาร 2 คันไปสอบสวนเพื่อตรวจที่ชุดเฉพาะกิจนราธิวาสที่ 32 ว่ามีสารประกอบระเบิดปนเปื้อนตามร่างกายและเสื้อผ้าด้วยหรือไม่หากไม่พบเจ้าหน้าที่จะปล่อยตัวกลับทันที ส่วนผู้ต้องสงสัยที่มีหมายจับเจ้าหน้าที่จะควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีทันที
**เผยผลกวาดล้างจับได้อีก 10 ราย
ขณะที่ พ.ต.อ.สมพงษ์ ชินดวง รอง ผบก.ภ.จว.นราธิวาส ได้แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาหลังจากสนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง เข้าตรวจค้นระรอก 2 ในพื้นที่ 6 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง, แว้ง, บาเจาะ, สุไหงปาดี, ตากใบ และศรีสาคร โดยการปิดล้อมตรวจค้นครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 10 ราย ประกอบด้วยผู้ต้องหา พ.ร.บ.อาวุธปืน 1 ราย คือ นายมะยูนา มะแซ อายุ 34 ปี บ้านเลขที่ 53/1 ม.3 ต.ศรีสาคร อ.ศรีสาคร, ผู้ต้องหา พ.ร.บ.ยาเสพติด 7 ราย และผู้ต้องหาวิ่งราวทรัพย์ 2 ราย
ส่วนความคืบหน้าในการติดตามตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลกนั้น พ.ต.อ.สมพงษ์ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับนายอับดุลฮากิม ปูตะ อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นคนครอบครองรถยนต์คันที่ก่อเหตุคาร์บอมบ์ในพื้นที่ อ.สุไหงโก-ลก เป็นคนสุดท้าย ตามหมายจับของศาลเลขที่ 591/52 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารได้ร่วมกันทำการติดตามตัวอยู่
**สุเทพพาทูต18ปท.พิสูจน์ไฟใต้
วันเดียวกันที่หอประชุมศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก นำเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย 18 ประเทศ เดินทางมาพบปะผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำจิตวิญญาณ ผู้นำตามธรรมชาติ และกรรมการหมู่บ้าน 2,800 คน เพื่อมอบแนวทาง แนวคิด และวิธีการปฏิบัติการตามแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.กสิกร คีรีศรี ผบ.กองกำลังผสมพลเรือน ตำรวจ หทาร (พตท.) นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ให้การต้อนรับ
ในโอกาสเดียวกันนี้ นายสุเทพ ยังได้นำเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย มาร่วมสังเกตการณ์และรับทราบถึงสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคด้วยตนเองอีกด้วย
สำหรับแผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ร่วมกับ ศอ.บต. และจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้จัดทำประชาคมขับเคลื่อนการดำเนินโครงการภายใต้แผนการพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยอาศัยกลไกสำคัญ คือ ผู้นำ 4 เสาหลัก ได้แก่ ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำจิตวิญญาณ ผู้นำตามธรรมชาติ และกรรมการหมู่บ้าน ในการขับเคลื่อนแผนการพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดความสงบสันติสุขในพื้นที่อย่างยั่งยืนและถาวร โดยมีบทบาทหน้าที่ขับเคลื่อนการจัดทำประชาคม การรับรองบัญชีรายชื่อครัวเรือน บัญชีความต้องการโดยเรียงลำดับการให้ความช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมาย โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำกว่า 64,000 บาทต่อปี และกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ 64,000-120,000 บาทต่อปี เพื่อยกระดับรายได้ให้ไม่ต่ำกว่า 120,000 บาทต่อปีต่อครัวเรือน โดยมีพื้นที่เป้าหมาย จ.ปัตตานี 227 หมู่บ้าน จ.ยะลา 95 หมู่บ้าน จ.นราธิวาส 229 หมู่บ้าน จ.สงขลา 97 หมู่บ้าน และ จ.สตูล 74 หมู่บ้าน รวม 722 หมู่บ้าน 2,888 คน
**สั่ง จนท.เพิ่มความเข้มดับไฟใต้
นายสุเทพ กล่าวว่า สถานการณ์ความไม่สงบในปัจจุบันเริ่มดีขึ้น จำนวนเหตุการณ์ที่เกิดน้อยลง มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตลดน้อยลงกว่าเดิม ซึ่งทางรัฐบาลเองก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขณะนี้มีประชาชนในพื้นที่บางส่วน อดทนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ไหว ได้เรียกร้องให้รัฐบาลใช้ความเด็ดขาด ในการจัดการกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่ก่อเหตุร้ายในพื้นที่
รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องยึดมั่นในหลักการปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ ประชาชนในพื้นที่เองต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส ร่วมมือกับทางรัฐบาล และทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ซึ่งจะสามารถป้องกันการแก้ไขเหตุการณ์ได้ในที่สุด แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองนั้นจะต้องเข้มงวดกวดขันกันมากยิ่งขึ้น และทำงานอยู่ในกรอบของกฎหมายว่าด้วยการเคารพสิทธิของประชาชน
สำหรับนโยบายในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณ 64,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาพื้นที่โดยจะดำเนินการในเวลา 3 ปีติดต่อกันโดยการจัดทำโครงการนั้นให้ดำเนินการตามคำขอของประชาชน โดยผ่านกระบวนการประชาสังคม ซึ่งมีผู้นำหมู่บ้าน ผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนา ช่วยกันคิดกันกลั่นกรอง แล้วรัฐบาลจะดูแลสนับสนุนให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรี โดยได้ตั้งตัวเลขเอาไว้ที่ปีละ 120,000 บาทต่อครอบครัวต่อปี
สำหรับการคัดเลือกครอบครัวเข้าร่วมโครงการ กรรมการหมู่บ้าน จะเป็นผู้คัดเลือก ซึ่งคาดว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ได้ เพราะเมื่อประชาชนพ้นจากความยากจน อยู่อย่างมีความสุข และถ้าหากมีฐานะดี คงไม่มีใครที่จะดินรนที่จะแบ่งแยกดินแดน ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขปัญหา แต่ทุกๆ ฝ่ายก็ต้องทำหน้าที่ต่อไปให้ดีที่สุด
ทั้งนี้ หากประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะร่วมแก้ปัญหากับทางรัฐบาล ตนเชื่อว่าจะสามารถนำความสงบสุขกลับสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างแน่นอน.
