xs
xsm
sm
md
lg

ฮุนไดปรับผลิต3ฐานอาเซียน รับอุตฯรถยนต์เปิดเสรีอาฟต้า

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - “ฮุนได” เล็งปรับฐานการผลิตในอาเซียน ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เผยบริษัทแม่ที่เกาหลีกำลังศึกษาเลือกผลิตภัณฑ์ ขึ้นไลน์ผลิตแต่ละแห่งให้ชัดเจน เพื่อแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มอาเซียน หลังภาษีปรับเป็น 0% ตามกรอบอาฟต้า ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2553 เป็นต้นไป รวมถึงเปิดเสรีการค้าอาเซียน-อินเดีย เชื่อจะส่งผลดีต่อค่ายรถเล็ก แต่ยักษ์ใหญ่เช่นค่ายรถญี่ปุ่นจะไม่มีผลนัก เหตุใช้ชิ้นส่วนและเน้นผลิตส่งออกมากอยู่แล้ว

นายโยชิซึมิ คุราตะ ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “ASTV ผู้จัดการรายวัน”ว่า ฮุนไดอาจจะเข้ามาทำตลาดในประเทศแถบอาเซียน ช้ากว่าบรรดาค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น แต่ฮุนไดก็มีความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจและการลงทุนในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการเปิดเสรีการค้าตามกรอบอาเซียน หรืออาฟต้า (ASEAN Free Trade Area - AFTA) ที่เตรียมลดภาษีศุลกากรสินค้าในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนลงเป็น 0% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 จะยิ่งส่งผลดีกับอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวม

“ปัจจุบันฮุนไดมีการผลิตรถยนต์ในภูมิภาคอาเซียน 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไทย ซึ่งขณะนี้บริษัทแม่ฮุนไดประเทศเกาหลีกำลังศึกษาอยู่ว่า ฐานการผลิตแต่ละแห่งในอาเซียนจะประกอบรถอะไรรุ่นไหนบ้าง เพื่อสนับสนุนและไม่มีปัญหาซ้ำซ้อนกัน เพราะในอนาคตจะได้แลกเปลี่ยนรถยนต์ที่ผลิตระหว่างกัน ภายใต้ภาษี 0% ตามกรอบอาฟต้า และเชื่อว่าจะทำให้โอกาสทางธุรกิจของฮุนไดมีมากยิ่งขึ้น”

ทั้งนี้ฮุนได มอเตอร์ ประเทศเกาหลี มีนโยบายจะผลิตรถยนต์ในหลายๆ ประเทศที่ทำตลาดอยู่ เพียงแต่ขณะนี้ยังไม่สรุปชัดลงไปว่าประเทศไหนจะผลิตรุ่นไหนอย่างไร แต่แนวโน้มยังคงจะพิจารณาตามการผลิตปัจจุบันและความต้องการของตลาด อย่างมาเลเซียเป็นตลาดของรถยนต์นั่งกลุ่มคอมแพ็กคาร์ลงมา อินโดนีเซียเป็นตลาดรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี ส่วนประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตรถยนต์นั่งขนาดกลาง หรือหรูหรา ซึ่งคาดว่าในเร็วๆ นี้จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน รวมถึงการมองไปที่ข้อตกลงเสรีทางการค้าระหว่างอาเซียนและอินเดียด้วย แม้จะยังไม่เห็นความชัดเจนในรายละเอียดนัก

นายคุราตะกล่าวว่า นอกจากฮุนได โซนาต้า ที่ประกอบในไทย ซึ่งปัจจุบันหยุดการผลิตเพื่อรอรุ่นไมเนอร์เชนจ์ปีหน้า ส่วนรถรุ่นอื่นๆ ที่จำหน่ายในตลาดรถยนต์ไทย ล้วนนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ ยังไม่มีการนำรถยนต์จากประเทศอื่นๆ ในอาเซียนมาทำตลาดแต่อย่างใด แม้มาเลเซียและอินโดนีเซียจะประกอบรถยนต์ฮุนไดหลายรุ่นอยู่ก็ตาม

ดังนั้นข้อตกลงอาฟต้าจึงเป็นสิ่งที่ดี ต่อทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์และผู้บริโภคชาวไทย โดยเฉพาะค่ายรถยนต์ขนาดกลางและเล็กอย่างฮุนได ที่จะมีโอกาสนำเข้ารถยนต์รุ่นใหม่ๆ มาทำตลาด ทำให้เกิดความหลากหลายและเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้า รวมถึงการใช้ชิ้นส่วนเพื่อการผลิต เพราะบริษัทแม่พยายามสนับสนุนให้ใช้ชิ้นส่วนผลิตในประเทศนั้นอยู่แล้ว

“อย่างไรก็ตาม การลดภาษียานยนต์เป็น 0% ตามกรอบอาฟต้า คิดว่าจะไม่มีผลต่อบรรดาค่ายยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่น ที่ปกติใช้ชิ้นส่วนเพื่อการผลิตในประเทศมากอยู่แล้ว และยังเน้นการส่งออกมากกว่านำเข้า ทำให้อาจจะไม่เห็นการนำเสนอโปรดักต์ใหม่ๆ ในไทย หรือมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของค่ายรถรายใหญ่ จากข้อตกลงอาฟต้ามากนัก” นายคุราตะกล่าวและว่า

ส่วนเรื่องราคารถยนต์ยังไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจนจะเป็นเท่าไหร่ เพราะการลดภาษีนำเข้าจาก 5% ลงมาเหลือ 0% ถือว่าไม่เยอะมาก เมื่อเทียบกับค่าการบริหารจัดการที่ต้องเสียไป อาทิ ค่าขนส่ง ค่าการตลาด และค่าการสต็อกอะไหล่ ซึ่งทั้งหมดเป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณากันอีกครั้ง

นายคุราตะกล่าวว่า สำหรับการเลือกผลิตภัณฑ์จากมาเลเซียและอินโดนีเซียมาทำตลาด เมื่อโครงสร้างภาษีนำเข้าอาฟต้าเป็น 0% เรื่องนี้คงต้องดูว่านำเข้ามาแล้ว จะสามารถแข่งขันได้หรือไม่ เพราะถ้าเป็นรถที่ดีและทำราคาได้เหมาะสม ฮุนไดประเทศไทยก็พร้อมที่จะนำเข้ามาทำตลาดอยู่แล้ว

“เก๋งคอมแพกต์รุ่นเอลันตร้าที่ผลิตในมาเลเซีย เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการทำตลาดในไทย เช่นเดียวกับรถเอ็มพีวีรุ่น เอช1 ที่ปัจจุบันนำเข้าจากเกาหลีใต้ แต่ปีหน้าจะเริ่มผลิตที่อินโดนีเซีย ถือเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน”

ในส่วนของเอสยูวีรุ่น ซานตาเฟ่ ที่เคยนำเข้ามาจากประเทศเกาหลีใต้ ปัจจุบันบริษัทได้ยุติการทำตลาดไปแล้ว โดยจะรอให้โรงงานในประเทศมาเลเซียขึ้นไลน์ผลิตปีหน้า ซึ่งเป็นรุ่นปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ และคาดว่าเมื่อนำเข้ามาภายใต้กรอบภาษีอาฟต้า น่าจะสามารถทำราคาสู้กับคู่แข่งได้ ส่วนช่วงเวลาเปิดตัวแนะนำสู่ตลาดไทยนั้น คงต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของทางมาเลเซียว่า จะเริ่มผลิตและส่งออกเมื่อไหร่
กำลังโหลดความคิดเห็น