ข่าวในประเทศ – “จีเอ็ม” เดินหน้าลุย หลังได้รับเงินกู้ 1.3 หมื่นล้านบาท คาดใช้งบได้ 60-70% ภายในปีนี้ สำหรับขึ้นไลน์ผลิตโรงงานเครื่องยนต์ดีเซล และเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ในไตรมาส 3 ของปี 2554 พร้อมปรับแผนธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน แยกไลน์ผลิตรถแต่ละประเภทให้ชัดเจนตามสภาพตลาด และฉวยประโยชน์จากกรอบเสรีการค้าอาฟต้า มั่นใจภายใน 3-4 ปีข้างหน้า จะสามารถเติบโตเป็นเท่าตัว
นายสตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอรชั่นส์ จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือของเจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือจีเอ็ม(GM) เปิดเผยว่า หลังจากจีเอ็มได้รับอนุมัติเงินกู้จากธนาคารในประเทศไทย มูลค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ทำให้แผนงานทุกอย่างเดินหน้าเป็นไปตามปกติ โดยในปีนี้น่าจะใช้งบประมาณได้ไม่น้อยกว่า 60-70% ซึ่งขณะนี้โรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลได้จัดการโครงสร้างพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร เพื่อทำการทดลองผลิตเครื่องยนต์ดีเซล สำหรับปิกอัพโมเดลใหม่ในอนาคตเร็วๆ นี้
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นั่นหมายความว่าปิกอัพโมเดลใหม่ของเชฟโรเลต จะสามารถเปิดตัวสู่ตลาดไทยได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2554 รวมถึงรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีที่ใช้พื้นฐานจากปิกอัพรุ่นใหม่ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตระดับโลก ในการส่งออกปิกอัพ 1 ตัน และรถเอสยูวีไปจำหน่ายทั่วโลก”
ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนแผนงานดังกล่าว จะทำให้จีเอ็มสามารถเติบโตเป็น 2-3 เท่าตัวในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากการเปิดตัวปิกอัพโมเดลใหม่ รถอเนกประสงค์จากพื้นฐานปิกอัพ รวมถึงการแนะนำรถยนต์นั่งคอมแพ็กต์ เชฟโรเลต ครูซ สู่ตลาดแทนรุ่นออพตร้าในปัจจุบัน โดยจะเปิดตัวประมาณช่วงปลายปีนี้
นายคาร์ไลส์เปิดเผยว่า ในส่วนของแผนธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ภายหลังจากจีเอ็มได้บรรลุแผนฟื้นฟูธุรกิจ และอาเซียนได้เปิดเสรีทางการค้าสินค้ายานยนต์ตามกรอบข้อตกลงอาฟต้า จีเอ็มได้มีการปรับสายการผลิตใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและสามารถเอื้อประโยชน์ระหว่างกันในภูมิภาค โดยไทยจะเป็นฐานการผลิตเครื่องยนต์ดีเซล ปิกอัพ 1 ตัน รถอเนกประสงค์เอสยูวีจากพื้นฐานปิกอัพ และเอสยูวี(SUV)รุ่นแคปติวา ขณะเดียวกันโรงงานในอินโดนีเซียที่ปัจจุบันยังไม่มีการผลิต จะใช้เป็นฐานการผลิตรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี(MPV)
ทั้งนี้จีเอ็มพิจารณาความเหมาะสมในการผลิตรุ่นต่างๆ ตามสภาพตลาดของประเทศนั้นๆ แต่รถยนต์นั่งคอมแพ็กต์ขนาดตลาดไม่แตกต่างกันมาก และปริมาณรวมทุกตลาดไม่ได้มีมากพอ ที่จะคุ้มในการลงทุนใช้ฐานผลิตแห่งใดแห่งหนึ่ง จึงจำเป็นต้องกระจายการประกอบไปแต่ละประเทศ แต่ยืนยันเชฟโรเลต ครูซ ยังจะผลิตในโรงงานประเทศไทย และอาจจะส่งออกไปยังอินโดนีเซียแทนการนำเข้าจากเกาหลีด้วย
ในส่วนของประเทศมาเลเซีย จีเอ็มได้มีการเซ็นสัญญาแต่งตั้งให้กลุ่มนาซ่าเป็นดิสทริบิวเตอร์ และมีแผนจะประกอบซีเคดีรุ่นครูซควบคู่ไปกับไทยด้วย ขณะที่เชฟโรเลต อาวีโอ ยังไม่มีการตัดสินใจจะใช้ฐานการผลิตแห่งไหน แต่ปัจจุบันไทยยังคงผลิตเพื่อส่งออกในภูมิภาคนี้อยู่
“หากจะมองอาเซียนให้เป็นตลาดเดียวจริง ๆ ยังมีเรื่องที่้ต้องทำอีกมาก นอกเหนือจากกาลดภาษีตามกรอบอาฟต้า เช่นเรื่องของกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่ต้องแก้ไขไปในทิศทางเดียวกัน แต่จากการปรับแผนธุรกิจของจีเอ็ม จะทำให้เราสามารถเติบโตเป็นเท่าตัวใน 3-4 ปีข้างหน้า เมื่อไลน์การผลิตในโรงงานต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนเริ่มการผลิตได้ตามแผน” นายคาร์ไลส์กล่าวและว่า
ทั้งหมดสิ่งเหล่านี้เป็นแผนงานที่ได้วางเอาไว้และจะดำเนินต่อไป แม้ว่าตนเองจะหมดวาระทำงานในตำแหน่งประธานอาเซียนในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยจะไปดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายขายของจีเอ็มที่สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการสานสัมพันธ์กับพันธมิตรส่วนต่างๆ รวมถึงสหภาพแรงงานของจีเอ็มในประเทศไทย ที่ประสบความสำเร็จด้วยดีในช่วงที่ผ่านมา
นายสตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์เอเชีย โอเปอรชั่นส์ จำกัด และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทในเครือของเจนเนอรัล มอเตอร์ส หรือจีเอ็ม(GM) เปิดเผยว่า หลังจากจีเอ็มได้รับอนุมัติเงินกู้จากธนาคารในประเทศไทย มูลค่ากว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ทำให้แผนงานทุกอย่างเดินหน้าเป็นไปตามปกติ โดยในปีนี้น่าจะใช้งบประมาณได้ไม่น้อยกว่า 60-70% ซึ่งขณะนี้โรงงานผลิตเครื่องยนต์ดีเซลได้จัดการโครงสร้างพื้นฐานเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการติดตั้งเครื่องจักร เพื่อทำการทดลองผลิตเครื่องยนต์ดีเซล สำหรับปิกอัพโมเดลใหม่ในอนาคตเร็วๆ นี้
“ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ นั่นหมายความว่าปิกอัพโมเดลใหม่ของเชฟโรเลต จะสามารถเปิดตัวสู่ตลาดไทยได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2554 รวมถึงรถอเนกประสงค์แบบเอสยูวีที่ใช้พื้นฐานจากปิกอัพรุ่นใหม่ ซึ่งจะทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตระดับโลก ในการส่งออกปิกอัพ 1 ตัน และรถเอสยูวีไปจำหน่ายทั่วโลก”
ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนแผนงานดังกล่าว จะทำให้จีเอ็มสามารถเติบโตเป็น 2-3 เท่าตัวในอีก 2-3 ปีข้างหน้า จากการเปิดตัวปิกอัพโมเดลใหม่ รถอเนกประสงค์จากพื้นฐานปิกอัพ รวมถึงการแนะนำรถยนต์นั่งคอมแพ็กต์ เชฟโรเลต ครูซ สู่ตลาดแทนรุ่นออพตร้าในปัจจุบัน โดยจะเปิดตัวประมาณช่วงปลายปีนี้
นายคาร์ไลส์เปิดเผยว่า ในส่วนของแผนธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน ภายหลังจากจีเอ็มได้บรรลุแผนฟื้นฟูธุรกิจ และอาเซียนได้เปิดเสรีทางการค้าสินค้ายานยนต์ตามกรอบข้อตกลงอาฟต้า จีเอ็มได้มีการปรับสายการผลิตใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและสามารถเอื้อประโยชน์ระหว่างกันในภูมิภาค โดยไทยจะเป็นฐานการผลิตเครื่องยนต์ดีเซล ปิกอัพ 1 ตัน รถอเนกประสงค์เอสยูวีจากพื้นฐานปิกอัพ และเอสยูวี(SUV)รุ่นแคปติวา ขณะเดียวกันโรงงานในอินโดนีเซียที่ปัจจุบันยังไม่มีการผลิต จะใช้เป็นฐานการผลิตรถอเนกประสงค์แบบเอ็มพีวี(MPV)
ทั้งนี้จีเอ็มพิจารณาความเหมาะสมในการผลิตรุ่นต่างๆ ตามสภาพตลาดของประเทศนั้นๆ แต่รถยนต์นั่งคอมแพ็กต์ขนาดตลาดไม่แตกต่างกันมาก และปริมาณรวมทุกตลาดไม่ได้มีมากพอ ที่จะคุ้มในการลงทุนใช้ฐานผลิตแห่งใดแห่งหนึ่ง จึงจำเป็นต้องกระจายการประกอบไปแต่ละประเทศ แต่ยืนยันเชฟโรเลต ครูซ ยังจะผลิตในโรงงานประเทศไทย และอาจจะส่งออกไปยังอินโดนีเซียแทนการนำเข้าจากเกาหลีด้วย
ในส่วนของประเทศมาเลเซีย จีเอ็มได้มีการเซ็นสัญญาแต่งตั้งให้กลุ่มนาซ่าเป็นดิสทริบิวเตอร์ และมีแผนจะประกอบซีเคดีรุ่นครูซควบคู่ไปกับไทยด้วย ขณะที่เชฟโรเลต อาวีโอ ยังไม่มีการตัดสินใจจะใช้ฐานการผลิตแห่งไหน แต่ปัจจุบันไทยยังคงผลิตเพื่อส่งออกในภูมิภาคนี้อยู่
“หากจะมองอาเซียนให้เป็นตลาดเดียวจริง ๆ ยังมีเรื่องที่้ต้องทำอีกมาก นอกเหนือจากกาลดภาษีตามกรอบอาฟต้า เช่นเรื่องของกฎระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่ต้องแก้ไขไปในทิศทางเดียวกัน แต่จากการปรับแผนธุรกิจของจีเอ็ม จะทำให้เราสามารถเติบโตเป็นเท่าตัวใน 3-4 ปีข้างหน้า เมื่อไลน์การผลิตในโรงงานต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนเริ่มการผลิตได้ตามแผน” นายคาร์ไลส์กล่าวและว่า
ทั้งหมดสิ่งเหล่านี้เป็นแผนงานที่ได้วางเอาไว้และจะดำเนินต่อไป แม้ว่าตนเองจะหมดวาระทำงานในตำแหน่งประธานอาเซียนในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้ โดยจะไปดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายขายของจีเอ็มที่สหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการสานสัมพันธ์กับพันธมิตรส่วนต่างๆ รวมถึงสหภาพแรงงานของจีเอ็มในประเทศไทย ที่ประสบความสำเร็จด้วยดีในช่วงที่ผ่านมา
