เอกชนท่องเที่ยวติดใจมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยวต่างชาติเห็นผลนักท่องเที่ยวทุกตลาดโตรับอานิสงส์ เสนอรัฐบาลขอขยายเวลาอีก 6 เดือน ถึง 30 ก.ย.ปีหน้า ด้านปลัดกระทรวงการท่องเที่ยว รับเป็นกาวใจ หารือเอสเอ็มอีแบงก์ เร่งปล่อยเงินกู้สู่เอกชนให้เป็นรูปธรรม ด้านเปิดเสรีบริการตามเงื่อนไขอาฟ้า ล่าสุดเลื่อนอีก 5ปี ไทยโล่งอกมีเวลาพัฒนาบุคลากรเตรียมเข้าสู่เวทีแข่งขัน
นายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ในฐานะกรรมการในสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) เปิดเผยว่า ได้เสนอวาระเร่งด่วนต่อ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อนำเสนอต่อนายชุมพล ศิลปะอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยว นำเข้าขออนุมัติต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยขอให้ขยายเวลามาตรการการช่วยเหลืออุสาหกรรมท่องเที่ยว ใน 2-3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ขยายเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าไปถึง 30 ก.ย.53 หรือขยายอีก 6 เดือน
จากปัจจุบันมาตรการนี้จะครบกำหนด เดือนมี.ค. ปีหน้า 2. ขยายเวลายกเว้นการเก็บค่าเข้าชมอุทยานของชาวต่างชาติ ตามเงื่อนไขเดียวกันกับข้อแรก และ 3 ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมห้องพักโรงแรม ในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพราะขณะนี้นโยบายดังกล่าวยังไม่สามารถนำไปปฎิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้โรงแรมท้องถิ่นต้องเสียค่าธรรมเนียมห้องพักอยู่ในอัตรา 80 บาทต่อห้องต่อปี
****ติดใจมาตรการช่วยได้จริง****
โครงการนี้ถือเป็นการกระตุ้นนักท่องเที่ยวระยะสั้นที่เห็นผลเร็วที่สุด เพราะมาตรการดังกล่าว ก่อเกิดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยใช้งบประมาณน้อยที่สุด จากตัวเลขเปรียบเทียบก่อนและหลังการประกาศใช้มาตรการดังกล่าว พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือน มี.ค.-ก.ค.52
ซึ่งเริ่มประกาศใช้มาตรการเปรียบเทียบกับตัวเลข 3 เดือนก่อนหน้า(ธ.ค.51-ก.พ.52) พบว่า นักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย เพิ่มขึ้น 100% หรือราว 3 แสนคน, ตะวันออกกลาง เพิ่ม 2.4 หมื่นคน, แอฟริกา เพิ่มขึ้น 2 พันกว่าคน อเมริกาเหนือและละตินอเมริกาเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันคน
นอกจากนั้นยังได้หารือกับปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯถึงความล่าช้าของเงินกู้เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย ซึ่งธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เป็นผู้ปล่อยกู้ โดยปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯได้รับจะช่วยประสานงานไปยังเอสเอ็มอีแบงก์ เพื่อให้มีการนัดหารือและทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนทั้ง 4 หน่วยงาน คือ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมโรงแรมไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว และ สมาคมภัตตาคารไทย เพื่อให้ตัวเลขของเงินกู้ที่ไปถึงมือผู้ประกอบการเป็นตัวเลขที่ตรงกัน และ ทำงานได้รวดเร็ว
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของเงินช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเป็นค่าที่พักและอาหาร กรณีที่ติดค้างในประเทศไทย ซึ่งเป็นผลจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งยังเบิกไม่ได้อีก 22 ล้านบาทนั้น น.ส.ศศิธารา ก็รับที่จะทำเรื่องเสนอขออนุมัติครม. โดยใช้เหตุผลที่ว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว แม้จะไม่ถูกกระบวนการก็ตาม
****ชะลอเปิดเสรีบริการไทยได้เตรียมความพร้อม****
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการจัดทำ “การท่องเที่ยววาระแห่งชาติ” ได้มีรายงานนำเสนอในที่ประชุมว่า ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทย รวมถึงภาครัฐบาลเห็นตรงกันที่จะเสนอให้เลื่อนการเปิดเสรีบริการตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AFTA ไปในปี 2015 หรือเลื่อนออกไปอีก 5 ปี จากเดิมที่กำหนดจะเปิดในปี 2010 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเพื่อให้ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นหลังเปิดเสรี
ทั้งนี้เพราะ จุดอ่อนของประเทศไทยที่เห็นชัด มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ด้านภาษาต่างประเทศ 2.ความสามารถด้านไอที และ 3. ความพร้อมด้านเงินลงทุน ซึ่งไทยยังด้อยกว่าบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยของไทยก็ยังสูงกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน ซึ่งไม่เอื้อต่อการลงทุน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากสำนักพัฒนาการท่องเที่ยว (สพท.) เปิดเผยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ 8 เดือนปีนี้(ม.ค.-ส.ค.52) จำนวน 6.015 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.7% โดยประมาณการภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านทุกด่าน 8เดือนแรกไม่น่าจะเกิน 7.5 ล้านคน ดังนั้นภาคเอกชนมองว่า 4 เดือนสุดท้ายปีนี้ ทำได้อีกราว 4 ล้านคน ดังนั้นจำนวนรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2552 ทำได้อย่างดีไม่น่าจะเกิน 12 ล้านคน ซึ่งไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯนายชุมพล ศิลปะอาชา ตั้งไว้อย่างแน่นอน
***ภาคท่องเที่ยวตกงาน 4 แสนคน *****
นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) กล่าวว่า ปัจจุบันภาคแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประสบภาวะว่างงานรวมจำนวนทั้งสิ้น 4 แสนคน หรือราว 20% ของแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ ในจำนวนนี้ได้เข้าฝึกอบรมในโครงการต้นกล้าอาชีพ 5 พันคน ใน 9 สาขาวิชาชีพท่องเที่ยว ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการเตรียมความพร้อมสู่การเปิดเสรีอาฟต้า โดยเฉพาะธุรกิจ เรือสำราญ และ สายการบินต้นทุนต่ำ ที่อยู่ในช่วงการเติบโต ซึ่งไทยต้องเตรียมพร้อมการรับมือเปิดเสรีครั้งนี้ให้ดี เนื่องจากคู่แข่งขันอย่าง ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ประชากรเยอะ ซึ่งแรงงานอาจไหลออกนอกประเทศได้ง่ายขึ้นเมื่อเปิดเสรี
นายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ในฐานะกรรมการในสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) เปิดเผยว่า ได้เสนอวาระเร่งด่วนต่อ น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อนำเสนอต่อนายชุมพล ศิลปะอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยว นำเข้าขออนุมัติต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) โดยขอให้ขยายเวลามาตรการการช่วยเหลืออุสาหกรรมท่องเที่ยว ใน 2-3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ขยายเวลายกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าไปถึง 30 ก.ย.53 หรือขยายอีก 6 เดือน
จากปัจจุบันมาตรการนี้จะครบกำหนด เดือนมี.ค. ปีหน้า 2. ขยายเวลายกเว้นการเก็บค่าเข้าชมอุทยานของชาวต่างชาติ ตามเงื่อนไขเดียวกันกับข้อแรก และ 3 ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมห้องพักโรงแรม ในพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ เพราะขณะนี้นโยบายดังกล่าวยังไม่สามารถนำไปปฎิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม ทำให้โรงแรมท้องถิ่นต้องเสียค่าธรรมเนียมห้องพักอยู่ในอัตรา 80 บาทต่อห้องต่อปี
****ติดใจมาตรการช่วยได้จริง****
โครงการนี้ถือเป็นการกระตุ้นนักท่องเที่ยวระยะสั้นที่เห็นผลเร็วที่สุด เพราะมาตรการดังกล่าว ก่อเกิดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมโดยใช้งบประมาณน้อยที่สุด จากตัวเลขเปรียบเทียบก่อนและหลังการประกาศใช้มาตรการดังกล่าว พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดือน มี.ค.-ก.ค.52
ซึ่งเริ่มประกาศใช้มาตรการเปรียบเทียบกับตัวเลข 3 เดือนก่อนหน้า(ธ.ค.51-ก.พ.52) พบว่า นักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย เพิ่มขึ้น 100% หรือราว 3 แสนคน, ตะวันออกกลาง เพิ่ม 2.4 หมื่นคน, แอฟริกา เพิ่มขึ้น 2 พันกว่าคน อเมริกาเหนือและละตินอเมริกาเพิ่มขึ้นกว่า 1 พันคน
นอกจากนั้นยังได้หารือกับปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯถึงความล่าช้าของเงินกู้เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย ซึ่งธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เป็นผู้ปล่อยกู้ โดยปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯได้รับจะช่วยประสานงานไปยังเอสเอ็มอีแบงก์ เพื่อให้มีการนัดหารือและทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนทั้ง 4 หน่วยงาน คือ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมโรงแรมไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว และ สมาคมภัตตาคารไทย เพื่อให้ตัวเลขของเงินกู้ที่ไปถึงมือผู้ประกอบการเป็นตัวเลขที่ตรงกัน และ ทำงานได้รวดเร็ว
นายอภิชาติ กล่าวอีกว่า ในส่วนของเงินช่วยเหลือนักท่องเที่ยวเป็นค่าที่พักและอาหาร กรณีที่ติดค้างในประเทศไทย ซึ่งเป็นผลจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งยังเบิกไม่ได้อีก 22 ล้านบาทนั้น น.ส.ศศิธารา ก็รับที่จะทำเรื่องเสนอขออนุมัติครม. โดยใช้เหตุผลที่ว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงจากการช่วยเหลือนักท่องเที่ยว แม้จะไม่ถูกกระบวนการก็ตาม
****ชะลอเปิดเสรีบริการไทยได้เตรียมความพร้อม****
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมคณะกรรมการจัดทำ “การท่องเที่ยววาระแห่งชาติ” ได้มีรายงานนำเสนอในที่ประชุมว่า ภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการของประเทศไทย รวมถึงภาครัฐบาลเห็นตรงกันที่จะเสนอให้เลื่อนการเปิดเสรีบริการตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน หรือ AFTA ไปในปี 2015 หรือเลื่อนออกไปอีก 5 ปี จากเดิมที่กำหนดจะเปิดในปี 2010 ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีเพื่อให้ประเทศไทยได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นหลังเปิดเสรี
ทั้งนี้เพราะ จุดอ่อนของประเทศไทยที่เห็นชัด มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ด้านภาษาต่างประเทศ 2.ความสามารถด้านไอที และ 3. ความพร้อมด้านเงินลงทุน ซึ่งไทยยังด้อยกว่าบางประเทศ เช่น สิงคโปร์ ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยของไทยก็ยังสูงกว่าประเทศอื่นๆในอาเซียน ซึ่งไม่เอื้อต่อการลงทุน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากสำนักพัฒนาการท่องเที่ยว (สพท.) เปิดเผยตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ 8 เดือนปีนี้(ม.ค.-ส.ค.52) จำนวน 6.015 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.7% โดยประมาณการภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านทุกด่าน 8เดือนแรกไม่น่าจะเกิน 7.5 ล้านคน ดังนั้นภาคเอกชนมองว่า 4 เดือนสุดท้ายปีนี้ ทำได้อีกราว 4 ล้านคน ดังนั้นจำนวนรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2552 ทำได้อย่างดีไม่น่าจะเกิน 12 ล้านคน ซึ่งไม่ถึงเป้าหมายที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯนายชุมพล ศิลปะอาชา ตั้งไว้อย่างแน่นอน
***ภาคท่องเที่ยวตกงาน 4 แสนคน *****
นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) กล่าวว่า ปัจจุบันภาคแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประสบภาวะว่างงานรวมจำนวนทั้งสิ้น 4 แสนคน หรือราว 20% ของแรงงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ ในจำนวนนี้ได้เข้าฝึกอบรมในโครงการต้นกล้าอาชีพ 5 พันคน ใน 9 สาขาวิชาชีพท่องเที่ยว ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นกำลังสำคัญในการเตรียมความพร้อมสู่การเปิดเสรีอาฟต้า โดยเฉพาะธุรกิจ เรือสำราญ และ สายการบินต้นทุนต่ำ ที่อยู่ในช่วงการเติบโต ซึ่งไทยต้องเตรียมพร้อมการรับมือเปิดเสรีครั้งนี้ให้ดี เนื่องจากคู่แข่งขันอย่าง ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เป็นประเทศที่ประชากรเยอะ ซึ่งแรงงานอาจไหลออกนอกประเทศได้ง่ายขึ้นเมื่อเปิดเสรี