วันนี้เป็นวันครบ 5 รอบ หรือ 60 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China)
เมื่อ 60 ปีก่อน การถือกำเนิดขึ้นของสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นเปรียบได้กับการก่อกำเนิดครั้งใหม่ของชาวจีนหลายร้อยล้านคนหลังผ่านศตวรรษแห่งความทุกข์เข็ญซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยุคสงครามฝิ่นในช่วง ค.ศ.1840 ผ่านยุคสมัยของการล่าอาณานิคม ยุคของการล่มสลายของระบอบจักรพรรดิที่ยั่งยืนยาวนานมากว่า 2 พันปี ผ่านสงครามกลางเมือง ผ่านสงครามโลก 2 ครั้ง และผ่านสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน
นอกจากนี้ ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา หลังการถือกำเนิดขึ้นของสาธารณรัฐประชาชนจีน ประชาชนชาวจีนและประเทศจีน ยังต้องผ่านความทุกข์ยาก การเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นสงครามเกาหลี สงครามเย็น ยุคการก้าวกระโดดไกล ยุคการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ยุคการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และปัจจุบันคือ ยุคของการใช้ “ยุทธศาสตร์การก้าวออกไป” ที่ในภาษาจีนกลางใช้คำว่า “โจ่วชูชี่ว์”
หากจะกล่าวไป ความพยายามที่จะสรุปถึงความล้มเหลวและความสำเร็จของการดำเนินนโยบายในการปกครองประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ด้วยบทความชิ้นเดียวนั้นถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ดูจะเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย หากไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะกล่าวถึง อนาคตของประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เข้ามากระทบกับประเทศไทยและวิถีชีวิตของคนไทย
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ วานนี้ (30 ก.ย.) ข่าวใหญ่ในแวดวงการเงิน-การคลัง ก็คือ การที่ประธานกรรมการธนาคารเพื่ออุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน (ไอซีบีซี) เข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงเจตจำนงเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดธนาคารสินเอเซีย ซึ่งปัจจุบันมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ทั้งนี้ หากรัฐบาลอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นธนาคารสินเอเซียดังกล่าวที่มีมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ไอซีบีซี ก็จะกลายเป็นธนาคารจากจีนแผ่นดินใหญ่แห่งแรกที่เข้ามามีบทบาทกับภาคการเงิน-การธนาคารของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ท่านผู้อ่านบางส่วนอาจไม่ทราบว่า ปัจจุบันไอซีบีซี หรือธนาคารเพื่ออุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2527 นี้เองนั้น ถือเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในแง่ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) โดยมีมาร์เกตแคปสูงถึง 254,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสินทรัพย์ทั้งสิ้นราว 9.8 ล้านล้านหยวน (ราว 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) มีสาขาทั้งในและนอกประเทศรวม 18,000 สาขา โดยนอกจากประเทศจีนแล้วยังมีสาขาครอบคลุม 106 ประเทศทั่วโลก
จริงๆ การก้าวเข้ามามีบทบาทในภาคการเงินไทยของธนาคารพาณิชย์จีน อาจถือได้ว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในขั้นต้น และถือเป็นเพียงกองหนุนเท่านั้น เพราะทัพหน้าของจีนที่เข้ามาติดต่อ-ค้าขายกับประเทศไทยนั้นได้เข้ามาในบ้านเราก่อนหน้านี้นานแล้ว คือ บรรดาพ่อค้า และภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น นอกจากนี้ในอนาคตการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่อาจจะตามมาในอนาคตอันใกล้ก็คือ กลุ่มประเทศที่ใช้เงินหยวนเป็นสกุลเงินในการค้าขาย-แลกเปลี่ยน (Yuan Zone)
หากมองให้ทะลุความซับซ้อนของการแลกเปลี่ยนทางการค้าและความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การแผ่ขยายอิทธิพลของสาธารณรัฐประชาชนจีน มิได้จำกัดแต่เพียงเฉพาะในแง่มุมทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในแง่ของการเมืองระหว่างประเทศ การเมืองในประเทศ รวมถึงปัญหาสังคมต่างๆ จีนก็เข้ามามีบทบาทและเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญมากขึ้น
ในเชิงบวก การแผ่อิทธิพลลงมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีน กลายเป็นการถ่วงดุลอิทธิพลของโลกตะวันตกที่เข้ามาแทรกแซงและกอบโกยผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ และเปรียบเสมือนเป็นกันชนลดผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างดี ยกตัวอย่างเช่น กรณีวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 เป็นต้น
ในทางตรงกันข้าม การแผ่อิทธิพลดังกล่าวก็ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ผลกระทบต่อประเทศไทยจากยุทธศาสตร์ในการเปิดทางออกสู่ทะเลจีนใต้และอันดามัน ซึ่งนำมาสู่โครงการสร้างเขื่อนและโครงการปรับปรุงร่องน้ำฯ ในแม่น้ำโขง การสร้างเส้นทางข้ามประเทศเพื่อสะดวกต่อการขนถ่ายสินค้าจากจีนผ่านมายังท่าเรือในเมืองไทย ออกไปยังประเทศต่างๆ
นอกจากนี้ การแผ่ขยายอิทธิพลและการสร้างความสัมพันธ์ของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับรัฐบาลทหารของพม่า ก็ยังก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อการพัฒนาระบบการเมือง ระบอบประชาธิปไตย และการแก้ปัญหาภายในของพม่า ซึ่งกระทบชิ่งมาก่อปัญหาให้กับประเทศไทยอย่างเช่น กรณีนางอองซาน ซูจี และกลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงยา
ด้วยเหตุนี้ คนไทยจึงมิอาจหลงระเริงและมุ่งหวังที่จะกอบโกยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนแต่เพียงอย่างเดียว โดยละเลยการคำนึงถึงปัจจัยเชิงลบที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของประชาชนคนไทยไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มน้อย หรือคนกลุ่มใหญ่เท่าไรก็ตามได้
สาเหตุที่ผมยกตัวอย่างประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาในวโรกาสที่สาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งมาครบรอบ 60 ปีนี้ มิได้มีเป้าประสงค์เพื่อสร้างรอยแตกร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง แต่มีจุดมุ่งหมายชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริง และประเด็นปัญหาต่างๆ โดยคร่าวที่เกิดขึ้นจากการเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีสถานะเป็นพี่ใหญ่ของประเทศในทวีปเอเชีย และกำลังจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีศักยภาพทัดเทียมประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกๆ ด้าน
สุดท้ายผมเพียงหวังว่า วันเกิดครบรอบปีที่ 60 ของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ และก้าวย่างใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน อันเป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและอยู่บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน
เมื่อ 60 ปีก่อน การถือกำเนิดขึ้นของสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นเปรียบได้กับการก่อกำเนิดครั้งใหม่ของชาวจีนหลายร้อยล้านคนหลังผ่านศตวรรษแห่งความทุกข์เข็ญซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ยุคสงครามฝิ่นในช่วง ค.ศ.1840 ผ่านยุคสมัยของการล่าอาณานิคม ยุคของการล่มสลายของระบอบจักรพรรดิที่ยั่งยืนยาวนานมากว่า 2 พันปี ผ่านสงครามกลางเมือง ผ่านสงครามโลก 2 ครั้ง และผ่านสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน
นอกจากนี้ ในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา หลังการถือกำเนิดขึ้นของสาธารณรัฐประชาชนจีน ประชาชนชาวจีนและประเทศจีน ยังต้องผ่านความทุกข์ยาก การเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตมานับครั้งไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นสงครามเกาหลี สงครามเย็น ยุคการก้าวกระโดดไกล ยุคการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ยุคการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ และปัจจุบันคือ ยุคของการใช้ “ยุทธศาสตร์การก้าวออกไป” ที่ในภาษาจีนกลางใช้คำว่า “โจ่วชูชี่ว์”
หากจะกล่าวไป ความพยายามที่จะสรุปถึงความล้มเหลวและความสำเร็จของการดำเนินนโยบายในการปกครองประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา ด้วยบทความชิ้นเดียวนั้นถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ก็ดูจะเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อย หากไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะกล่าวถึง อนาคตของประเทศมหาอำนาจแห่งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เข้ามากระทบกับประเทศไทยและวิถีชีวิตของคนไทย
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ วานนี้ (30 ก.ย.) ข่าวใหญ่ในแวดวงการเงิน-การคลัง ก็คือ การที่ประธานกรรมการธนาคารเพื่ออุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน (ไอซีบีซี) เข้าหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเพื่อแสดงเจตจำนงเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดธนาคารสินเอเซีย ซึ่งปัจจุบันมีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ทั้งนี้ หากรัฐบาลอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นธนาคารสินเอเซียดังกล่าวที่มีมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ไอซีบีซี ก็จะกลายเป็นธนาคารจากจีนแผ่นดินใหญ่แห่งแรกที่เข้ามามีบทบาทกับภาคการเงิน-การธนาคารของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
ท่านผู้อ่านบางส่วนอาจไม่ทราบว่า ปัจจุบันไอซีบีซี หรือธนาคารเพื่ออุตสาหกรรมและการพาณิชย์แห่งประเทศจีน ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2527 นี้เองนั้น ถือเป็นธนาคารพาณิชย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ในแง่ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) โดยมีมาร์เกตแคปสูงถึง 254,000 ล้านเหรียญสหรัฐ มีสินทรัพย์ทั้งสิ้นราว 9.8 ล้านล้านหยวน (ราว 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) มีสาขาทั้งในและนอกประเทศรวม 18,000 สาขา โดยนอกจากประเทศจีนแล้วยังมีสาขาครอบคลุม 106 ประเทศทั่วโลก
จริงๆ การก้าวเข้ามามีบทบาทในภาคการเงินไทยของธนาคารพาณิชย์จีน อาจถือได้ว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงในขั้นต้น และถือเป็นเพียงกองหนุนเท่านั้น เพราะทัพหน้าของจีนที่เข้ามาติดต่อ-ค้าขายกับประเทศไทยนั้นได้เข้ามาในบ้านเราก่อนหน้านี้นานแล้ว คือ บรรดาพ่อค้า และภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น นอกจากนี้ในอนาคตการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่อาจจะตามมาในอนาคตอันใกล้ก็คือ กลุ่มประเทศที่ใช้เงินหยวนเป็นสกุลเงินในการค้าขาย-แลกเปลี่ยน (Yuan Zone)
หากมองให้ทะลุความซับซ้อนของการแลกเปลี่ยนทางการค้าและความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจระหว่างประเทศ การแผ่ขยายอิทธิพลของสาธารณรัฐประชาชนจีน มิได้จำกัดแต่เพียงเฉพาะในแง่มุมทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในแง่ของการเมืองระหว่างประเทศ การเมืองในประเทศ รวมถึงปัญหาสังคมต่างๆ จีนก็เข้ามามีบทบาทและเป็นตัวแปรที่มีความสำคัญมากขึ้น
ในเชิงบวก การแผ่อิทธิพลลงมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของจีน กลายเป็นการถ่วงดุลอิทธิพลของโลกตะวันตกที่เข้ามาแทรกแซงและกอบโกยผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ และเปรียบเสมือนเป็นกันชนลดผลกระทบต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างดี ยกตัวอย่างเช่น กรณีวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงตั้งแต่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 เป็นต้น
ในทางตรงกันข้าม การแผ่อิทธิพลดังกล่าวก็ก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น ผลกระทบต่อประเทศไทยจากยุทธศาสตร์ในการเปิดทางออกสู่ทะเลจีนใต้และอันดามัน ซึ่งนำมาสู่โครงการสร้างเขื่อนและโครงการปรับปรุงร่องน้ำฯ ในแม่น้ำโขง การสร้างเส้นทางข้ามประเทศเพื่อสะดวกต่อการขนถ่ายสินค้าจากจีนผ่านมายังท่าเรือในเมืองไทย ออกไปยังประเทศต่างๆ
นอกจากนี้ การแผ่ขยายอิทธิพลและการสร้างความสัมพันธ์ของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับรัฐบาลทหารของพม่า ก็ยังก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อการพัฒนาระบบการเมือง ระบอบประชาธิปไตย และการแก้ปัญหาภายในของพม่า ซึ่งกระทบชิ่งมาก่อปัญหาให้กับประเทศไทยอย่างเช่น กรณีนางอองซาน ซูจี และกลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงยา
ด้วยเหตุนี้ คนไทยจึงมิอาจหลงระเริงและมุ่งหวังที่จะกอบโกยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนแต่เพียงอย่างเดียว โดยละเลยการคำนึงถึงปัจจัยเชิงลบที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ และวิถีชีวิตของประชาชนคนไทยไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มน้อย หรือคนกลุ่มใหญ่เท่าไรก็ตามได้
สาเหตุที่ผมยกตัวอย่างประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาในวโรกาสที่สาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งมาครบรอบ 60 ปีนี้ มิได้มีเป้าประสงค์เพื่อสร้างรอยแตกร้าวในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง แต่มีจุดมุ่งหมายชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริง และประเด็นปัญหาต่างๆ โดยคร่าวที่เกิดขึ้นจากการเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีสถานะเป็นพี่ใหญ่ของประเทศในทวีปเอเชีย และกำลังจะกลายเป็นประเทศมหาอำนาจที่มีศักยภาพทัดเทียมประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกๆ ด้าน
สุดท้ายผมเพียงหวังว่า วันเกิดครบรอบปีที่ 60 ของสาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ และก้าวย่างใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีน อันเป็นความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและอยู่บนพื้นฐานของความเคารพซึ่งกันและกัน