เอเอฟพี – บรรษัทเพื่อการลงทุนแห่งรัฐบาลสิงคโปร์ (The Government of Singapore Investment Corp - GIC) 1 ใน 2 กองทุนความมั่งคั่งภาครัฐของสิงคโปร์ เมื่อวันอังคาร(29) แสดงท่าทีหันมาลงทุนในเอเชียมากขึ้น ภายหลังจากที่พอร์ตโฟลิโอของบรรษัทมีมูลค่าลดลงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ จากการไปลงทุนในตลาดตะวันตกแล้วประสบการขาดทุนอย่างหนัก
แม้ว่าจีไอซีจะไม่ได้ระบุมูลค่าของพอร์ตโฟลิโอในปัจจุบันและยอดขาดทุนแท้จริง แต่โทนี ตัน รองประธานกรรมการและกรรมการบริหารของจีไอซี ระบุในคำแถลง ที่ออกมาประกอบรายงานประจำปีของบรรษัทว่า “เหมือนกับนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่จำนวนมาก พอร์ตโฟลิโอของจีไอซีได้รับผลกระทบจากภาวะทรุดตัวหนักหน่วงทั่วโลกในปี 2008” และ “ในระยะไม่กี่เดือนหลังมานี้ เราสามารถกู้คืนส่วนที่ขาดทุนกลับมาได้มากทีเดียว เนื่องจากตลาดต่างๆ มีผลประกอบการที่ดีขึ้น”
นอกจากนั้น ตันยังกล่าวกับหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ส์ ของสิงคโปร์ซึ่งรายงานในวันอังคาร (29) ว่า “มีความเป็นไปได้ว่าโอกาสเติบโตของธุรกิจจะอยู่ในเอเชียมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดในประเทศพัฒนาแล้ว”
เตรทไทม์ส์ อ้างคำพูดของตันว่า “เราสามารถคาดหมายได้ว่านับจากนี้ไปจีไอซีจะลงทุนในเอเชียมากขึ้น แต่เรายังไม่ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนอย่างชัดเจน”
ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม การลงทุนของจีไอซีในตลาดเอเชียมีสัดส่วนราว 24 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรปอยู่ที่ 38 และ 29 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ โดยอีก 9 เปอร์เซ็นต์เป็นการลงทุนในออสเตรเลียและที่อื่นๆ
จีไอซีเป็นเครื่องมือการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์เช่นเดียวกับเทมาเส็ก โฮลดิงส์
อื๊งก๊กซง ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนของจีไอซีกล่าวในรายงานประจำปีว่าพอร์ตโฟลิโอของจีไอซีสามารถฟื้นตัวได้ส่วนที่ขาดทุนไปในปีที่แล้วกลับคืนมาถึงราวครึ่งหนึ่ง สืบเนื่องมาจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกดีดตัวกลับเมื่อช่วงต้นปีนี้
ทั้งนี้ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเอิกเกริกนั้น การลงทุนในซิตี้คอร์ปแห่งสหรัฐฯของจีไอซี ตอนแรกประสบการขาดทุน แต่ต่อมาก็กลับมีกำไรเมื่อกิจการของแบงก์ยักษ์สหรัฐฯแห่งนี้กระเตื้องขึ้น ทว่าอึ้งเตือนว่า การลงทุนในธนาคารยูบีเอสของสวิตเซอร์แลนด์ อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะกลับมาทำกำไรได้อีก
อึ๊งบอกว่าแม้ซีตีคอร์ปและยูบีเอสจะยังมีปัญหาอีกมากกว่าที่จะฟื้นตัวกลับมาทำกำไรได้ใหม่ แต่เขาก็ยังมีความเชื่อมั่นในธนาคารใหญ่ทั้งสองแห่งในระยะยาว เช่นเดียวกับที่ตันก็ระบุว่า “ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุนในระยะยาว เราต้องไม่หวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดในระยะสั้น”
อนึ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จีไอซีแถลงว่าได้กำไร 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากขายหุ้นของซิตีคอร์ปออกไปมากกว่า 4 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ปัจจุบันจีไอซีถือหุ้นในซิตีคอร์ปไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนั้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกยังทำให้ผลกำไรต่อปีในระยะ 20 ปีเมื่อคำนวณเป็นเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ต้องลดดลงมาอยู่ที่ 4.4 เปอร์เซ็นต์ จากระดับ 5.8 เปอร์เซ็นต์ที่รายงานไว้ในปีการเงินที่แล้วซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2008 แต่หากคิดในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราผลกำไรก็จะลดลงจากระดับ 7.8 เปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ 5.7 เปอร์เซ็นต์
ส่วนเทมาเส็ก โฮลดิงส์ก็เพิ่งประกาศว่าผลกำไรสุทธิลดลง 67 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ราว 6,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (4,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปีการเงินที่สิ้นสุดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
แม้ว่าจีไอซีจะไม่ได้ระบุมูลค่าของพอร์ตโฟลิโอในปัจจุบันและยอดขาดทุนแท้จริง แต่โทนี ตัน รองประธานกรรมการและกรรมการบริหารของจีไอซี ระบุในคำแถลง ที่ออกมาประกอบรายงานประจำปีของบรรษัทว่า “เหมือนกับนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่จำนวนมาก พอร์ตโฟลิโอของจีไอซีได้รับผลกระทบจากภาวะทรุดตัวหนักหน่วงทั่วโลกในปี 2008” และ “ในระยะไม่กี่เดือนหลังมานี้ เราสามารถกู้คืนส่วนที่ขาดทุนกลับมาได้มากทีเดียว เนื่องจากตลาดต่างๆ มีผลประกอบการที่ดีขึ้น”
นอกจากนั้น ตันยังกล่าวกับหนังสือพิมพ์สเตรทไทม์ส์ ของสิงคโปร์ซึ่งรายงานในวันอังคาร (29) ว่า “มีความเป็นไปได้ว่าโอกาสเติบโตของธุรกิจจะอยู่ในเอเชียมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดในประเทศพัฒนาแล้ว”
เตรทไทม์ส์ อ้างคำพูดของตันว่า “เราสามารถคาดหมายได้ว่านับจากนี้ไปจีไอซีจะลงทุนในเอเชียมากขึ้น แต่เรายังไม่ได้กำหนดสัดส่วนการลงทุนอย่างชัดเจน”
ทั้งนี้ ณ เดือนมีนาคม การลงทุนของจีไอซีในตลาดเอเชียมีสัดส่วนราว 24 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การลงทุนในสหรัฐฯ และยุโรปอยู่ที่ 38 และ 29 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ โดยอีก 9 เปอร์เซ็นต์เป็นการลงทุนในออสเตรเลียและที่อื่นๆ
จีไอซีเป็นเครื่องมือการลงทุนของรัฐบาลสิงคโปร์เช่นเดียวกับเทมาเส็ก โฮลดิงส์
อื๊งก๊กซง ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการลงทุนของจีไอซีกล่าวในรายงานประจำปีว่าพอร์ตโฟลิโอของจีไอซีสามารถฟื้นตัวได้ส่วนที่ขาดทุนไปในปีที่แล้วกลับคืนมาถึงราวครึ่งหนึ่ง สืบเนื่องมาจากการที่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกดีดตัวกลับเมื่อช่วงต้นปีนี้
ทั้งนี้ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเอิกเกริกนั้น การลงทุนในซิตี้คอร์ปแห่งสหรัฐฯของจีไอซี ตอนแรกประสบการขาดทุน แต่ต่อมาก็กลับมีกำไรเมื่อกิจการของแบงก์ยักษ์สหรัฐฯแห่งนี้กระเตื้องขึ้น ทว่าอึ้งเตือนว่า การลงทุนในธนาคารยูบีเอสของสวิตเซอร์แลนด์ อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะกลับมาทำกำไรได้อีก
อึ๊งบอกว่าแม้ซีตีคอร์ปและยูบีเอสจะยังมีปัญหาอีกมากกว่าที่จะฟื้นตัวกลับมาทำกำไรได้ใหม่ แต่เขาก็ยังมีความเชื่อมั่นในธนาคารใหญ่ทั้งสองแห่งในระยะยาว เช่นเดียวกับที่ตันก็ระบุว่า “ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุนในระยะยาว เราต้องไม่หวั่นไหวกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดในระยะสั้น”
อนึ่ง เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จีไอซีแถลงว่าได้กำไร 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากขายหุ้นของซิตีคอร์ปออกไปมากกว่า 4 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ปัจจุบันจีไอซีถือหุ้นในซิตีคอร์ปไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนั้น ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกยังทำให้ผลกำไรต่อปีในระยะ 20 ปีเมื่อคำนวณเป็นเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ต้องลดดลงมาอยู่ที่ 4.4 เปอร์เซ็นต์ จากระดับ 5.8 เปอร์เซ็นต์ที่รายงานไว้ในปีการเงินที่แล้วซึ่งสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2008 แต่หากคิดในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราผลกำไรก็จะลดลงจากระดับ 7.8 เปอร์เซ็นต์ มาอยู่ที่ 5.7 เปอร์เซ็นต์
ส่วนเทมาเส็ก โฮลดิงส์ก็เพิ่งประกาศว่าผลกำไรสุทธิลดลง 67 เปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ราว 6,000 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (4,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปีการเงินที่สิ้นสุดเดือนมีนาคมที่ผ่านมา