ASTVผู้จัดการรายวัน – “แสนสิริ” เพิ่มทุนล็อตใหญ่กว่า 6,000 ล้านบาท เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้น 6 พ.ย. นี้ แจงใช้ลงทุนซื้อที่ดิน 34 แปลง เม็ดเงินกว่า 8,500 ล้านบาท ส่วนแผนปีหน้าลงทุน 17,500 ล้านบาท เปิด 18 โครงการมูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท ฟุ้งขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งธุรกิจอสังหาฯไทย ตั้งเป้าปี 57 รายได้แตะ 48,000 ล้านบาท
นาย เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) อนุมัติให้นำหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 1,473 ล้านหุ้น จัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement = PP) ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 4.28 บาท โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ภายหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นโดยจะประชุมในวันที่ 6 พ.ย.นี้
ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ดังกล่าว ให้จัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญคราวเดียวเต็มจำนวน หรือแบ่งเป็นหลายจำนวนเพื่อเสนอขายหลายคราวก็ได้ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 4.28 บาท และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดของหุ้นบริษัท ที่คำนวณตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนวันที่เสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด
นอกจากนี้ ยังให้ปรับเปลี่ยนการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมจาก1,473,314,346 หน่วย เป็นให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 (SIRI-W1) จำนวน 736,814,346 หน่วยเพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่คิดค่าตอบแทน ในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยราคาการใช้สิทธิอยู่ที่ 5.20 บาท โดยได้กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Record Date) ในวันที่ 9 ต.ค.นี้
โดยหุ้นดังกล่าวมีระยะเวลา 5 ปี โดยไม่อนุญาตให้ซื้อ-ขายในช่วง 2 ปีแรก ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน(D/E) 1.2 : 1 เท่า แต่ภายหลังจากการเพิ่มทุน จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง โดยจะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 6,307 ล้านบาท เป็น 12,612 ล้านบาทภายในปีนี้ และการออก Warrant ให้ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 2 ต่อ 1 จะส่งผลให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 15,766 ล้านบาท
“ในสัปดาห์หน้าธนาคารยูบีเอส เอจี จะพาบริษัทจะไปโรดโชว์ทั่วโลก ทั้งยุโรป อเมริกา สิงคโปร์และฮ่องกง โดยนโยบายหลักที่บริษัทจะเสนอนั้น คือ การขยายธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ด้วยการกระจายการลงทุนไปในทำเลที่มีศักยภาพ และจะไม่มีนโยบายไปทำธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ” นายเศรษฐากล่าวและมั่นใจว่า จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน และเชื่อว่าจะเสนอขายหุ้นได้หมดภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน การเพิ่มทุนดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะได้ทุนเข้ามาไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท โดยเป้าหมายเพื่อนำเงินไปลงทุนซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย
ปี53หว่าน18โครงการ2.2หมื่นล.
ทั้งนี้ ตนหวังว่า การเพิ่มทุนประสบความสำเร็จ ซึ่งจะผลักดันให้บริษัทมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งในปี 2553 จะเป็นปีของการลงทุนจะมีอัตราการเติบโตเพียง 10-15% แต่ในปี 2554 จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มเป็น 27% และ 29% ในปีถัดไป เพราะโครงการส่วนใหญ่ หากเป็นคอนโดมิเนียมจะสามารถรับรู้รายได้หลังจากเปิดขายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และภายใน 5 ปีหรือในปี2557 บริษัทจะมีรายได้ประมาณ 48,000 ล้านบาท
สาเหตุที่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะมีรายได้ขนาดดังกล่าว เพราะพิจารณาจากสัดส่วนยอดขายของโครงการบ้านจัดสรรของผู้ประกอบการ ได้เบียดเพิ่มส่วนแบ่งของบ้านสร้างเองอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2544 บ้านสร้างเองมีส่วนแบ่งตลาดถึง 58% แต่เมื่อปี 2551 บ้านสร้างเองมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 29% เท่านั้น
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 53 บริษัทเตรียมงบซื้อที่ดินประมาณ 34 แปลง มูลค่าประมาณ 8,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูงในปี 53 และปีถัดไป ส่วนแผนการเปิดโครงในปี 53 นั้น เปิด 18 โครงการ มูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว 6 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการและคอนโดฯ 10 โครงการ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนสูงถึง 17,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังจัดสรรเงินทุนบางส่วน เพื่อลงทุนในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม คาดว่าจะสามารถลงทุนได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า ในรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ และลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นต้น
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ถึง 20,000 ล้านบาท โดยมียอดขายที่เซ็นสัญญาแล้ว ณ วันที่ 14 ก.ย.52 จำนวน 11,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมียอดขายรอบันทึกเป็นรายได้ในครึ่งปีหลังอีกจำนวน 8,600 ล้านบาท จากทั้งหมด 18,000 ล้านบาท และในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่มูลค่าขาย 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างยอดขายได้มากพอสมควร จึงเชื่อว่าจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และจะทำให้บริษัทขึ้นสู่เบอร์หนึ่งของธุรกิจอสังหาฯ.
นาย เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) อนุมัติให้นำหุ้นสามัญที่ออกใหม่จำนวน 1,473 ล้านหุ้น จัดสรรให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement = PP) ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 4.28 บาท โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนดังกล่าวให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ภายหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นโดยจะประชุมในวันที่ 6 พ.ย.นี้
ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ดังกล่าว ให้จัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญคราวเดียวเต็มจำนวน หรือแบ่งเป็นหลายจำนวนเพื่อเสนอขายหลายคราวก็ได้ ในราคาไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 4.28 บาท และไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 ของราคาตลาดของหุ้นบริษัท ที่คำนวณตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนวันที่เสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด
นอกจากนี้ ยังให้ปรับเปลี่ยนการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมจาก1,473,314,346 หน่วย เป็นให้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 (SIRI-W1) จำนวน 736,814,346 หน่วยเพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยไม่คิดค่าตอบแทน ในอัตราส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยราคาการใช้สิทธิอยู่ที่ 5.20 บาท โดยได้กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Record Date) ในวันที่ 9 ต.ค.นี้
โดยหุ้นดังกล่าวมีระยะเวลา 5 ปี โดยไม่อนุญาตให้ซื้อ-ขายในช่วง 2 ปีแรก ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน(D/E) 1.2 : 1 เท่า แต่ภายหลังจากการเพิ่มทุน จะทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง โดยจะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นจาก 6,307 ล้านบาท เป็น 12,612 ล้านบาทภายในปีนี้ และการออก Warrant ให้ผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 2 ต่อ 1 จะส่งผลให้ทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 15,766 ล้านบาท
“ในสัปดาห์หน้าธนาคารยูบีเอส เอจี จะพาบริษัทจะไปโรดโชว์ทั่วโลก ทั้งยุโรป อเมริกา สิงคโปร์และฮ่องกง โดยนโยบายหลักที่บริษัทจะเสนอนั้น คือ การขยายธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้วให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ด้วยการกระจายการลงทุนไปในทำเลที่มีศักยภาพ และจะไม่มีนโยบายไปทำธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ” นายเศรษฐากล่าวและมั่นใจว่า จะได้รับความสนใจจากนักลงทุน และเชื่อว่าจะเสนอขายหุ้นได้หมดภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน การเพิ่มทุนดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะได้ทุนเข้ามาไม่น้อยกว่า 6,000 ล้านบาท โดยเป้าหมายเพื่อนำเงินไปลงทุนซื้อที่ดินและพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย
ปี53หว่าน18โครงการ2.2หมื่นล.
ทั้งนี้ ตนหวังว่า การเพิ่มทุนประสบความสำเร็จ ซึ่งจะผลักดันให้บริษัทมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ซึ่งในปี 2553 จะเป็นปีของการลงทุนจะมีอัตราการเติบโตเพียง 10-15% แต่ในปี 2554 จะมีอัตราการเติบโตเพิ่มเป็น 27% และ 29% ในปีถัดไป เพราะโครงการส่วนใหญ่ หากเป็นคอนโดมิเนียมจะสามารถรับรู้รายได้หลังจากเปิดขายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า และภายใน 5 ปีหรือในปี2557 บริษัทจะมีรายได้ประมาณ 48,000 ล้านบาท
สาเหตุที่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะมีรายได้ขนาดดังกล่าว เพราะพิจารณาจากสัดส่วนยอดขายของโครงการบ้านจัดสรรของผู้ประกอบการ ได้เบียดเพิ่มส่วนแบ่งของบ้านสร้างเองอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2544 บ้านสร้างเองมีส่วนแบ่งตลาดถึง 58% แต่เมื่อปี 2551 บ้านสร้างเองมีส่วนแบ่งตลาดลดลงเหลือ 29% เท่านั้น
สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 53 บริษัทเตรียมงบซื้อที่ดินประมาณ 34 แปลง มูลค่าประมาณ 8,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและแนวสูงในปี 53 และปีถัดไป ส่วนแผนการเปิดโครงในปี 53 นั้น เปิด 18 โครงการ มูลค่ารวม 22,000 ล้านบาท แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว 6 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการและคอนโดฯ 10 โครงการ คาดว่าจะใช้เงินลงทุนสูงถึง 17,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังจัดสรรเงินทุนบางส่วน เพื่อลงทุนในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม คาดว่าจะสามารถลงทุนได้ในช่วงไตรมาส 3 ปีหน้า ในรัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ และลอนดอน ประเทศอังกฤษ เป็นต้น
ส่วนผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้ถึง 20,000 ล้านบาท โดยมียอดขายที่เซ็นสัญญาแล้ว ณ วันที่ 14 ก.ย.52 จำนวน 11,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมียอดขายรอบันทึกเป็นรายได้ในครึ่งปีหลังอีกจำนวน 8,600 ล้านบาท จากทั้งหมด 18,000 ล้านบาท และในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่มูลค่าขาย 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างยอดขายได้มากพอสมควร จึงเชื่อว่าจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และจะทำให้บริษัทขึ้นสู่เบอร์หนึ่งของธุรกิจอสังหาฯ.